playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว I Used to be Famous หนังดนตรีที่ขาดๆ เกินๆ แต่ก็ยังพอดูเพลินๆ ได้

I Used to be Famous

Summary

หนังแนวดนตรีจากผู้กำกับมือใหม่ที่ทำออกมาขาดๆ เกินๆ ในหลายจุด มีปมของตัวพระเอกที่วางไว้ดีเลย แต่กลับไม่ขยี้ให้สุดกลายเป็นเคลียร์ง่ายๆ เบาๆ ส่วนเพลงที่แม้จะน้อยแต่ก็ท่วงทำนองกับเนื้อร้องก็เพราะ แต่ไม่ถึงกับสุดมากเพราะในเรื่องเป็นแค่นักดนตรีข้างถนนเท่านั้น แต่ปัญหาของเรื่องที่ค่อนข้างแย่เลยคือ นักแสดงในบทเด็กออทิสติกส์มือกลองที่เล่นไม่เหมือนคนเป็นออทิสติกส์เลย ทำให้ตัวเรื่องขาดการบิ้วอารมณ์แบบที่ควรเป็นกับบทนี้ไปเยอะมาก และขาดการส่งอารมณ์ถึงตัวพระเอกที่เล่นได้ดีแล้ว แต่ถึงตัวหนังจะขาดๆ เกินๆ แต่ก็ไม่ได้แย่หรือเลวร้ายอะไร สามารถดูเพลินๆ ได้ มีเพลงเพราะๆ ตามสูตรได้อยู่ครับ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • หนังดนตรีที่เล่าถึงการขอโอกาสครั้งที่ 2 คืนวงการ
  • หนังอังกฤษ โลเกชั่นอังกฤษ
  • เพลงสั้นๆ แต่เพราะ

 

Cons

  • นักแสดงในบทเด็กออทิสติกส์เล่นได้ไม่เหมือนรวมถึงแม่ของเด็กออทิสติกส์
  • ปมในเรื่องไม่ถูกขยี้ให้สุด

I Used to be Famous คนเคยดัง หนัง Netflix แนวดนตรีฟอร์มเล็กจากอังกฤษ เรื่องราวของหนุ่มใหญ่วัย 40 กว่าจนๆ ที่อดีตเคยเป็นสมาชิกบอยแบนด์วงดัง และกำลังพยายามพาตัวเองกลับเข้าวงการด้วยการแต่งเพลงใหม่ของตัวเอง แต่ก็ไม่สำเร็จ จนมาพบกับเด็กหนุ่มออทิสติกส์ที่มีพรสวรรค์การเป็นมือกลองมาจับคู่กับเขาทำวงดนตรีด้วยกัน
 I Used to Be Famous (2022) on IMDb

 

รีวิว I Used to be Famous

หนังฟอร์มเล็กที่โนเนมมาก ผู้กำกับก็มือใหม่เรื่องแรก แต่ด้วยเครดิตที่มาจากการทำหนังสั้นชื่อเดียวกันพล็อตเดียวกันเข้าชิงและได้รางวัลมาหลายตัวใช่เล่น ซึ่งเน็ตฟลิกซ์ก็ยื่นโอกาสให้รีเมคสร้างใหม่เป็นหนังยาวเต็มตัว ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็มีทั้งส่วนดีและไม่ดีผสมกัน 

ส่วนที่ดีของเรื่องนี้คือ ปมของเรื่องดี เพลงเพราะ ส่วนที่แย่คือนักแสดง โดยปมของเรื่องตามสูตรแนวดนตรีก็มักจะเป็นการหาโอกาสแจ้งเกิด แต่เรื่องนี้คือพระเอกเคยดัง และต้องการโอกาสที่สองอีกครั้ง ตัวเรื่องเปิดมาคือข้ามมา 20 ปีเลยหลังจากเกริ่นนิดเดียวว่าพระเอกเคยดังมากจริงๆ เป็นตำนานบอยแบนด์คนนึงเลย แต่ก็ขยักปมว่าทำไมเขากลายมาเป็นคนตกอับได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งเรื่องจะมีแฟลชแบ็คย้อนไปเป็นช่วงๆ ให้เห็นว่าเขามีน้องชายคนหนึ่งที่ป่วยอยู่ และมีคำสัญญาที่ให้ไว้แก่กันแต่เขาทำมันไม่ได้จากงานดนตรีที่เขากำลังรุ่ง ซึ่งจุดนี้เองคือจุดเปลี่ยนชีวิตและสร้างแผลใจทำให้เขากลายมาเป็นคนตกอับอย่างทุกวันนี้

ตัวเรื่องเอาปมอดีตของพระเอกมาผูกเข้ากับเด็กหนุ่มออทิสติกส์ที่พึ่งพบเจอพรสวรรค์มือกลองและเข้าขากันอย่างมาก และก็เหมือนน้องชายเขาในอดีตที่เขาทำผิดพลาดไปนั่นเอง ซึ่งตัวเด็กก็มีปมว่าถูกแม่กั๊กไว้ไม่ให้ไปเรียนดนตรีจริงจังเพราะห่วงเรื่องการเข้าสังคมที่ขาดคนช่วยเหลือ แม่ของเขาเองถึงกับยอมทิ้งอาชีพนักเต้นมาเพื่อดูแลลูกด้วยเช่นกัน เมื่อมาเห็นพระเอกพยายามชวนลูกไปทำดนตรี เลยรู้สึกเขากำลังพาลูกไปเสี่ยงอันตราย แม้ลูกจะชอบสิ่งนี้ก็ตาม ซึ่งตัวเรื่องสร้างปมขัดแย้งของตัวละครได้ค่อนข้างดีเลย มีความน่าติดตามว่าเรื่องจะเคลียร์ปมต่างๆ นี้ได้อย่างไร แต่กลับพลาดตรงขยี้ดราม่าน้อยมาก ตัวเรื่องหาทางออกแบบเบาๆ กับทุกเรื่องจนรู้สึกเหมือนเรื่องปูมาเยอะแต่จบแบบเบาหวิวสุดๆ 

ตัวเพลงคืออีกส่วนที่เรื่องนี้ทำได้ดีเลย ซึ่งในเรื่องนี้คือมุมนักดนตรีข้างถนนเล็กๆ มีเพลงแค่ 3 เพลงหลักในเรื่อง แต่ทุกครั้งที่เรื่องเข้าทำนองดนตรีธีมหลักของเรื่องก็ทำให้ฉากนั้นดูสนุกชวนอินเล็กๆ ไปกับความสำเร็จบ้านๆ ของวงพระเอกกับเด็กออทิสติกส์ได้ดีเลย

ปัญหาของเรื่องหลักๆ อยู่ตรงตัวนักแสดงสำคัญที่เป็นเด็กออทิสติกส์ในเรื่อง ซึ่งก็แคสดาราใหม่มาเล่นเลยชื่อ Leo Long ซึ่งลุคดูเหมือนได้ แต่ความสามารถทางการแสดงเป็นเด็กออทิสติกส์กลับไม่ได้เลย ขาดความน่าเชื่อว่าเป็นจริงด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่เหมือน แม้บทจะค่อนข้างส่งให้เขามีโอกาสแสดงความเป็นออทิสติกส์ที่ต้องมีปัญหาในชีวิตหลายครั้งเวลาเจอเสียงดังหรือผู้คนรบกวน ซึ่งพอนักแสดงเล่นไม่ได้เข้าไม่ถึง ก็เลยไม่ชวนอินกับบทนี้ไปด้วย อีกทั้งตัวแม่ของเด็กก็ยังคล้ายๆ กันคือเป็นบทแม่ที่ต้องดูแลเด็กออทิสติกส์ แต่กลับเล่นไม่เหมือนไม่ชวนอิน จนทำให้ดูแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าห่วงลูก กลับเป็นตัวละครที่คอยกันท่ารังเกียจพระเอกซะมากกว่า ซึ่งตัวพระเอก Ed Skrein เองเล่นได้ดีแล้วในบทนี้ด้วย แต่อารมณ์มันกลับส่งไม่ถึงกันกับบทเด็กออทิสติกส์ในเรื่องนี้นัก

และด้วยความที่เป็นผู้กำกับเรื่องแรกจากหนังสั้นของตัวเอง ก็เหมือนได้โอกาสอยากใส่อะไรก็ใส่มาเยอะจนทำให้เรื่องหลายช่วงดูไม่จำเป็น เวลารวมของเรื่องเกือบสองชั่วโมงที่มีจุดพีคเบาบางด้วยทำให้ดูยืดๆ มาก แม้ระหว่างที่ดูจะไม่ถึงขนาดเบื่อ แต่เรื่องก็น่าจะกระชับให้สั้นมากกว่านี้ก็จะดีขึ้น

 

ถึงตัวหนังจะขาดๆ เกินๆ จากความเป็นผู้กำกับมือใหม่ แต่ตัวหนังก็ไม่ได้แย่หรือเลวร้ายอะไร ออกจะดูเพลินๆ มีเพลงเพราะๆ ตามสูตรด้วยครับ

 

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!