playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Into the Night SS2 มุดลงใต้ดินไม่มีลุ้นกับแสงอาทิตย์จนน่าเบื่อ

Into the Night ss2

สรุป

เนื้อเรื่องมุดลงอยู่ใต้ดินวนเวียนกับดราม่าทหารสติแตก โดยไม่มีเรื่องราวการลุ้นระทึกกับแสงอาทิตย์อีกเลย  ทำให้ไม่เหลือความสนุกตื่นเต้นแบบซีซั่นแรกไว้เลยสักนิด

Overall
5/10
5/10
Sending
User Review
4.67 (3 votes)

Pros

  • โครงเรื่องแนวไซไฟล้างโลกที่ไม่ค่อยมีทำเป็นซีรีส์
  • 6 ตอน ตอนละ 30 นาทีสั้นๆ ดูจบง่าย

 

Cons

  • ขาดจุดเด่นจากซีซั่นแรกทั้งหมด
  • บทใส่ปมความขัดแย้งมาแบบไม่เมคเซนส์

 

 

Into the Night ss2 ซีรีส์แนวไซไฟทริลเลอร์ที่เล่นกับแสงอาทิตย์ล้างโลกโดยนั่งเครื่องบินหนี แต่มาคราวนี้ลงไปอยู่ใต้ดินแทน พร้อมกับเรื่องราวการเอาตัวรอดจากทหารนาโต้สติแตกที่มองพวกเขาเหมือนเป็นส่วนเกินที่ต้องถูกกำจัด แต่กลายเป็นหายนะของซีรีส์เรื่องนี้แทน

ตัวอย่าง Into the Night ss2

ซีรีส์แนวไซไฟทริลเลอร์ ที่ซีซั่นแรกเรื่องเกิดบนเครื่องบินที่พยายามบินหนีโซนแสงสว่างสู่ความมืดมิดหนีแสงอาทิตย์ล้างโลก พอมาซีซั่น 2 เรื่องราวถูกย้ายมาอยู่หลุมหลบภัยใต้ดินของนาโตที่ถูกปูไว้ในตอนจบ ซึ่งเรื่องราวก็ต่อจากตรงนั้น แต่มีการสคิปข้ามเวลา 9 วันผ่านไป กลุ่มตัวเอกบนเครื่องบินที่รอดมาก็ทำงานช่วยนาโตหาวิธีแก้ปัญหาแสงอาทิตย์ล้างโลก ก่อนที่อาหารจะใกล้หมดลง ทุกคนจึงต้องหาทางไปเอาเมล็ดพันธ์พืชมาปลูกใต้ดินเพื่อต่อชีวิตให้รอดต่อไปเรื่อยๆ ก่อนจะหาทางแก้ไขสถานการณ์นี้ได้ ซึ่งเรื่องราวจะวนเวียนอยู่กับหลุมหลบภัยใต้ดินทั้งซีซั่นจนจบ ต่างกับซีซั่นแรกที่บินไปมาน่าระทึกกว่ามากมาย 

ต้องบอกเลยว่าซีซั่นแรกแม้จะมีหลายอย่างที่น่าหงุดหงิดอย่างดราม่าตัวละครทะเลาะกันทั้งเรื่อง แต่ด้วยความสดใหม่ของเรื่องราวการบินข้ามโซนเวลากับทฤษฎีไซไฟผลกระทบจากแสดงอาทิตย์ล้างโลก ทำให้หลายๆ อย่างดูสนุกน่าตื่นเต้นจนหยวนๆ เรื่องดราม่าน่าเบื่อนั้นไปได้ แต่พอมาซีซั่นสองการที่ทั้งเรื่องเอาตัวละครมาแช่นิ่งไว้ใต้ดินก็กลายเป็นเนื้อเรื่องแบบเก่าๆ ที่สื่อแววไม่ดีตั้งแต่แรกแล้ว เพราะการที่ซีซั่นแรกสนุกลุ้นระทึกได้ก็เนื่องจากโปรดักชั่นที่ใหญ่พอตัวด้วยการบินข้ามไปประเทศนั้นนี้มีฉากเครื่องบินหนีแสงอาทิตย์ระทึกๆ กันตลอดเรื่อง พอมาอยู่ในหลุมหลบภัยที่ป้องกันแสงอาทิตย์ได้ร้อยเปอร์เซนต์ ความกดดันลุ้นระทึกที่เป็นจุดขายของเรื่องนี้ก็หมดไปทันที ไม่มีแม้แต่ฉากการที่ต้องลุ้นกับแสงอาทิตย์เลยสักครั้ง โดยตัวเรื่องหันมาเล่นกับความขัดแย้งของกลุ่มตัวเอกกับทหารที่เริ่มสติแตก พยายามตัดสินโทษที่ซิลวี (สาวนักขับฮอที่มาขับเครื่องบิน) ฆ่าแทแรซิโอ (ตัวร้ายของซีซั่นแรก) ในตอนจบซีซั่น 1

ซีซั่นนี้เนื้อเรื่องวนเวียนอยู่กับการต่อสู้กับทหารในหลุมเดียวกัน ที่อยู่ๆ ทหารพวกนี้ก็กลายเป็นพวกป่าเถื่อนขึ้นมาง่ายๆ โดยฝ่ายที่ยังมีสติดีๆ ก็บินไปหลุมหลบภัยอีกที่เพื่อเอาเมล็ดพันธุ์พืชมาปลูก ซึ่งทั้งสองเหตุการณ์จะคู่ขนานกัน แต่บอกตรงๆ ว่าเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากทั้งสองด้าน และก็ไม่สมเหตุผลเลยทั้งเรื่อง เพราะประเด็นต่างๆ ที่เรื่องพยายามใส่มาให้เกิดความขัดแย้งมันดูยัดเยียดดราม่ากันสุดๆ เกินไป อย่างจุดเริ่มเสบียงอาหารหมดก็มาจากทำครัวพลาดแล้วไฟไหม้เสบียง ต่อมาก็มีเรื่องดราม่าแม่ลูกจากซีซั่นแรกไปติดในห้องปั่นไฟแล้วออกไม่ได้จนเป็นชนวนให้ทหารเริ่มเกลียดพวกพลเรือนที่มากับเครื่องบิน โดยโทษว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ซึ่งมันเป็นการใส่ปมทะเลาะเบาะแว้งมาแบบงี่เง่ามาก เพราะนี่คือทหารของนาโต ไม่ควรจะกลายเป็นทหารเลวชั้นต่ำกันได้ง่ายๆ และก็คัดเลือกคนลงมาที่นี่ด้วยไม่ใช่ความบังเอิญหนีกันลงมา แม้จะบอกว่าเพราะทุกคนเจอหายนะสิ้นโลกก็ตาม แต่พล็อตแบบทหารสติแตกไล่ฆ่าคนมันก็เป็นอะไรที่เดิมๆ แบบน่าเบื่อมาก และยังวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ยาวไปจนจบซีซั่นเลย

เจีย ตัวละครใหม่ผู้หญิงบ้าที่บทใส่มาแบบดูงี่เง่ากับเรื่องมาก

เนื้อเรื่องอีกส่วนคือกลุ่มที่บินไปเอาเมล็ดพันธุ์ กลุ่มนี้รวมคนสติดีๆ มีความสามารถ ดูน่าจะมีเรื่องลุ้นระทึกจากการบินแบบซีซั่นแรกได้ เพราะต้องใช้เครื่องบินเดินทางไปกลับมาให้ทัน แต่ตัวเรื่องกลับไม่มีเรื่องลุ้นระทึกอะไรแบบนั้นเลย แถมยังพาตัวละครกลุ่มนี้มาติดอยู่ในเหตุการณ์โง่ๆ แบบเหลือเชื่อเลยว่าบทเขียนขึ้นมาได้ โดยให้มีตัวละครใหม่เป็นผู้หญิงสติแตกที่เจอในที่นั้น และต้องพากลับมาด้วยเหตุผลทางมนุษย์ธรรม แต่นางกลับทำลายเครื่องบินด้วยอาการคลั่งขาดยาของตัวเอง ซึ่งเอาจริงๆ ตรงเมล็ดพันธุ์ก็ดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือแล้วว่าต้องไปเอากันถึงที่นั่นเยอะแยะเพื่ออะไร เพราะพืชต่างๆ ถ้าปลูกขึ้นมาก็สามารถออกเมล็ดต่อยอดกันได้อยู่แล้ว แต่เรื่องกลับทำให้ใหญ่โตว่าต้องหาเครื่องบินจัมโบ้มาขนไปให้ได้ พอมาบวกกับเรื่องผู้หญิงบ้าที่ใส่เข้ามาทำลายเครื่องบินอีก ตัวเรื่องเลยดูงี่เง่ามากๆ ว่าไม่สามารถหาเหตุการณ์ลุ้นระทึกแนวไซไฟอะไรได้อีกแล้วหรือ ถึงต้องมาเล่นกับเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยแบบนี้ คือไปจับผู้หญิงบ้ามาไว้ในห้องนักบินทำไม?

นอกจากนี้ตัวเรื่องก็ยังไม่เลิกแฟลชแบ็คตัวละครในตอนต้นเรื่องกันอีก แม้จะมาถึงซีซั่นสองแล้ว โดยแต่ละตอนเป็นชื่อตัวละครแต่ละตัวก็แฟลชแบ็คเรื่องราวของคนนั้นเข้ามา ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยเสริมเรื่องราวอะไรได้สักเท่าไหร่เลย เหมือนเป็นการใส่มายืดเวลาแต่ละตอนเพิ่มเท่านั้น แต่ตอนก็ยังสั้นๆ ประมาณ 30 นาทีต่อตอน มีทั้งหมด 6 ตอนแบบเดิม ซึ่งก็อาจจะเป็นข้อดีเดียวที่ยังทำให้ทนดูเรื่องนี้ได้เพราะมันใช้เวลาไม่มากนี่แหละ แต่บอกเลยว่าความสนุกแบบซีซั่นแรกหายไปหมดเกลี้ยงเลย

ซีซั่น 2 จบเรื่องแบบค้างไว้ทำต่อโดยตรง ตอนจบมีลุ้นระทึกเล็กๆ พอชวนให้อยากดูต่อได้มากกว่าทั้งเรื่องที่น่าเบื่อมาก ซึ่งคราวนี้ก็มีเรื่องเรือดำน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง และก็มีเรื่องการเอาชีวิตรอดจากแสงอาทิตย์ได้เพิ่มขึ้นมา ซึ่งตัวเรื่องทดลองกับหนู ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าซีซั่น 3 จะวกกลับหาแนวไซไฟได้อีกหรือไม่ครับ

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!