playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ Lovecraft Country (HBO) รวมเรื่องสยองขวัญย้อนยุคอเมริกันเหยียดผิวสุดโต่ง (อัพเดทจบ EP10)

Lovecraft Country

สรุป

ซีรีส์สยองขวัญที่ยำหลายอย่างเข้ามาไว้ด้วยกันจนเรียกว่าเป็นหนังคัลท์ก็ว่าได้ในแต่ละตอนยังมีแนวทางที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ ไม่ซ้ำเดิม อย่างการผจญภัยล่าสมบัติ การแปลงร่างแบบสยองขวัญ ตำนานปีศาจจิ้งจอกเก้าหางของทางเอเชีย หรือแนวไซไฟล้ำยุคไปยังต่างมิติ  Love Craft เป็นซีรีส์ที่รวมเรื่องทุกแนวไว้ด้วยกันจริงๆ โดยมีธีมสยองขวัญเป็นเรื่องหลักในทุกๆ ตอน ซึ่งถ้าใครชอบอะไรที่เลือดสาดติดเรตโหดๆ ผสมเรื่องลึกลับหลากหลายแบบก็ห้ามพลาดเลยครับ แรกๆ อาจจะมึนๆ งงๆ กับการเปลี่ยนแนวไปมาสักหน่อย แต่หลังจากนั้นคือเรื่องมันส์มาก 

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
4 (2 votes)

Pros

  • ได้แนวทางการดำเนินเรื่องของ J. J. Abrams ผสมกับความสยองของ Jordan Peele มารวมกันจนออกมาแปลกใหม่ดี
  • ย้อนไปยังยุคสมัยที่มีการเหยียดผิวรุนแรงในอเมริกา
  • ฉากโหดติดเรตรุนแรงเยอะมาก
  • โปรดักชั่นงานสร้างย้อนยุคสมจริง
  • ความแปลกแบบคาดเดาแนวเรื่องไม่ได้ในแต่ละตอน
  • จบสมบูรณ์ในซีซั่นเดียวเลย

Cons

  • การยำหลายอย่างเข้ามาแบบจะให้มีอะไรก็ได้ ทำให้เรื่องดูมั่วๆ ได้เหมือนกัน
  • ตัวเรื่องหลากอารมณ์เกินทั้ง ตลก ดราม่า สยองขวัญ โรแมนติก จนไปไม่สุดสักทาง

Lovecraft Country ซีรีส์ HBO Go แนวสยองขวัญย้อนยุค สร้างจากนิยายชื่อดังของ 2 โปรดิวเซอร์ชื่อดัง J. J. Abrams กับ Jordan Peele ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวอเมริกันผิวดำที่ถูกตามล่าโดยกลุ่มคนผิวขาวชนชั้นสูงที่มีอำนาจเวทมนตร์ลึกลับ

 Lovecraft Country (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Lovecraft Country

รีวิวไม่มีเปิดเผยเนื้อหาสำคัญ 

ซีรีส์ที่ขายชื่อของสองคนดัง J. J. Abrams กับ Jordan Peele (ผู้กำกับเขียนบทจาก Get Out ที่ได้ออสการ์มาครอง) ซึ่งทั้งคู่มีชื่อเสียงกับแนวหนังคนละแบบทั้งแแนวหนัง ประเด็นที่เล่น แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันตรงหนังของทั้งคู่จะมีความสดใหม่ในเนื้อเรื่องที่ไม่เหมือนเรื่องไหนมาก่อน และจุดเด่นของทั้งคู่ก็มารวมกันอยู่ในซีรีส์เรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด ทั้งการมิกซ์ยำเรื่องราวเหนือธรรมชาติย้อนยุคของเจเจเข้ากับเรื่องสยองขวัญผ่านตัวละครผิวดำในช่วงยุคที่การเหยียดผิวยังรุนแรงอันเป็นสไตล์ของ จอร์แดน พีล

ตัวเรื่องเกิดขึ้นในช่วงยุค 1950 สมัยที่อเมริกันยังเต็มไปด้วยการเหยียดผิวอย่างรุนแรง มีการแบ่งพื้นที่อยู่อาศัยของคนขาวคนดำชัดเจน ตัวเอกของเรื่อง Atticus Freeman เป็นทหารผิวดำผ่านศึกที่กลับตามหาพ่อที่หายตัวไปในเมืองลึกลับแห่งหนึ่ง โดยอาศัยความช่วยเหลือจากอาและเพื่อนสาววัยเด็กที่ตกงานเลยติดสอยห้อยตามมาผจญภัยด้วย จนไปพบเจอกับเรื่องแปลกพิสดารที่เกิดตามมาติดๆ หลังจากพ่อของเขาถูกกลุ่มคนผิวขาวชั้นสูงลึกลับกักตัวไว้ และต้องการบางสิ่งซ่อนอยู่ในตัวเอกของเรื่องนี้

ในเรื่องนี้เรียกว่าเป็นการยำใหญ่ของอะไรก็ได้ที่เป็นเรื่องสยองขวัญมาไว้ในเรื่องนี้ทั้งหมด อย่างปีศาจที่ออกแนวเหมือนหมาจากนรก ผีตายโหงที่สิงในคฤหาสน์เก่าแก่ออกมาหลอกหลอนไล่คนมาอยู่ใหม่ออกไป หรือพิธีบูชายัญแบบตะวันตก คำสาป หรือแม้แต่ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางของทางเอเชียก็ยังมีในเรื่องนี้ได้อย่างเหลือเชื่อว่ายัดมาจนได้ การยำใหญ่ในเรื่องนี้เป็นแบบหยิบจับยัดใส่มาให้มีกันดื้อๆ ไม่ต้องสนใจเหตุผลอะไรกันมาก ขอเพียงแค่เลือดสาดเป็นใช้ได้ อารมณ์ของเรื่องก็ไม่ได้วางไว้แค่สยองขวัญ แต่ยังมีตลก โรแมนติก ดราม่า แฟนตาซี ผจญภัย ไซไฟ แทบทุกแนวรวมอยู่ในความสยองด้วย ตัวเรื่องจึงจัดว่าเป็นแนวหนังคัลท์เลยก็ว่าได้ครับ สำหรับคนที่ชอบให้เรื่องมีเซอร์ไพรส์สยองหลากหลายแบบก็คงถูกใจแน่นอน เพราะเรื่องติดเรต 21 ของ HBO เลย ความรุนแรงจึงใส่มาแบบไม่อั้นตลอดเวลา (รวมถึงฉาก SEX ด้วย)

แต่สิ่งที่โดดเด่นจริงๆ และทำให้เรื่องดูมีอะไรดีมากกว่าการขายฉากรุนแรงแบบนั้นก็คือ การที่โฟกัสเรื่องอยู่ในช่วงยุคสมัยที่มีการล่าหัวคนผิวดำแบบไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมายกันเลย เพราะยุคนั้นตำรวจผิวขาวก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับคนผิวดำอยู่แล้ว ซึ่งตัวเรื่องแทรกการเหยียดผิวรุนแรงแทบจะตลอดเวลาในทุกๆ ฉากที่กลุ่มตัวเอกของเรื่องพบเจอคนผิวขาว ผ่านตัวละครพระเอกนางเอกที่มีนิสัยไม่ยอมใคร และกล้าท้าทายความอยุติธรรมที่เกิดในยุคนั้นด้วย ในเรื่องจะมีฉากการเหยียดผิวผ่านการคุกคามหลายๆ แบบที่ดูแล้วสยองน่ากลัวกว่าพวกฉากรุนแรงจากเรื่องเหนือธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ ซึ่งส่วนนี้ถอดมาจากหนัง จอร์แดน พีล ตรงๆ เลยก็ว่าได้ แถมยังให้กลุ่มตัวร้ายของเรื่องเป็นคนผิวขาวแบบเดียวกับหนัง Get Out ที่ภายนอกดูดีมีน้ำใจ แต่เบื้องหลังโหดร้ายเกินคาดคิด ตัวเรื่องส่วนนี้จึงเป็นอะไรที่สยองของจริงมากที่สุดในเรื่องนี้ครับ

แต่ปัญหาของเรื่องก็คือการยำใหญ่แบบนึกจะใส่อะไรก็ใส่มานี่แหละครับ ซึ่งก็เป็นสไตล์บทหนังของเจเจที่ตั้งใจให้คนดูคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีอะไรแหวกแนวโผล่เข้ามา แต่มันกลับทำให้เรื่องดูเป็นการยำของอะไรหลายๆ อย่างมากไปหน่อย จนทำให้อารมณ์ของเรื่องแกว่งไปมามีทั้งตลก สยอง ดราม่า รัก เหมือนอยากให้มีทุกแนวในอยู่ในเรื่อง ซึ่งถ้าคนชอบก็อาจจะชอบเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบเพราะความมั่วของอะไรหลายๆ อย่างในเรื่องนี้นี่แหละครับ

ซีรีส์แบ่งเป็นตอนๆ ในแต่ละตอนจะมีจุดสยองขวัญเด่นๆ แตกต่างกัน โดยมีโครงเรื่องหลักเชื่อมกันหลวมๆ ไว้อยู่ ตอนนี้ตัวเรื่องถึงแค่ตอน 3 มาทุกวันจันทร์ช่วงเช้าเก้าโมงเป็นต้นไป มีทั้งหมด 10 ตอนจบซีซั่นครับ ซึ่งจบสมบูรณ์ในตัวเลย ยังไม่ได้กำหนดทำต่อซีซั่น 2 ในตอนนี้ครับ

อ่านรีวิวหนังซีรีส์เรื่องอื่นของ HBO คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!