playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Major Grom: Plague Doctor (Netflix) หนังจากการ์ตูนฮีโร่รัสเซียที่ยำไอเดียอเมริกา(ไม่สปอยล์)

Major Grom: Plague Doctor

สรุป

หนังแนวฮีโร่สร้างจากการ์ตูนของรัสเซียที่แอบยำไอเดียหลายๆ เรื่องจากอเมริกาเข้าไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะโครงเรื่องตัวร้ายที่เหมือนแบทแมนดีๆ นี่เองแต่กลับด้านไปไล่ฆ่าคน ในขณะที่ตัวเอกเป็นตำรวจบ้าดีเดือดที่มีสกิลจำลองภาพเหตุการณ์ต่อสู้ล่วงหน้าหลายๆ แบบ จนกลายมาเป็นฉากแอ็กชั่นแตกแขนงในเหตุการณ์เดียวหลายรอบ เรียกว่าเป็นจุดขายเด่นสุดของเรื่องนี้ รวมๆ ถ้าใครชอบแนวฮีโร่ก็ดูสนุกเพลินๆ ได้ แต่เนื้อเรื่องก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไรเลยแม้มาจากรัสเซียที่เราไม่คุ้นเคยก็ตาม

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • สร้างมาจากภาคแรกของการ์ตูนดังของรัสเซียที่จบไปแล้ว (มี 50 เล่มจบ)
  • การนำไอเดียแบทแมนมาเปลี่ยนให้เป็นวายร้ายเว่อร์ๆ
  • สกิลจำลองภาพต่อสู้หลายแบบของตัวเอก
  • มีเสียงพากย์ไทย
  • มีเอนด์เครดิต 2 ฉากทิ้งท้ายตัวร้ายใหม่ 2 ตัว

Cons

  • หยิบยืมไอเดียจากการ์ตูนฮีโร่มาหลายเรื่องเลยไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่
  • ฉากแอ็กชั่นซ้ำๆ หลายแบบในหัวของพระเอกทำให้เรื่องดูวนยืดๆ มากกว่าปกติ
  • ความสัมพันธ์ในทีมพระเอกดูไม่ค่อยอินอะไรนัก เหมือนยัดๆ มาให้มีทีมเท่านั้น
  • ในเรื่องมีมุกติดตลกแบบการ์ตูนบ่อย จนดูไม่เรียลหรือดาร์คไปกับเนื้อเรื่องเท่าที่ควร

 

Major Grom: Plague Doctor หนังโรงแนวฮีโร่จากรัสเซียที่มาลง Netflix เรื่องราวของกร็อมตำรวจฮีโร่นอกระบบที่ต้องมาตามล่าวายร้ายศาลเตี้ยที่กลายมาเป็นขวัญใจประชาชนในเมืองแทนที่จะเป็นเขา

 Major Grom: Plague Doctor (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Major Grom: Plague Doctor

หนังโรงจากรัสเซียที่มาลงเน็ตฟลิกซ์เป็นเรื่องที่ 2 ต่อจาก The Silver Skates หนังรักสเก็ตน้ำแข็งสุดตื่นตาจากประเทศรัสเซีย คาดว่าเน็ตฟลิกซ์กำลังเริ่มดีลหาหนังจากรัสเซียมาลงในระบบเป็นออริจินอลคอนเทนต์ของตัวเอง เพราะมีอีกหลายเรื่องที่จะตามมา สำหรับเรื่องนี้เป็นแนวแอ็กชั่นกึ่งซูเปอร์ฮีโร่ ต้นฉบับมาจากการ์ตูนของนักเขียน Artem Gabrelyanov ของค่าย Bubble Comics. มีทั้งหมด 50 เล่มจบ ตั้งแต่ปี 2012 ถึง 2016 มี 6 ภาคจบ ในหนังเอาภาคแรกของการ์ตูนมาเขียนในชื่อ Plague Doctor หรือ หมอกาฬโรค ซึ่งเป็นตัวร้ายหลักตัวแรกของเรื่องนี้

Grom (อ่านว่า กร็อม) เป็นพระเอกของเรื่องนี้ที่เป็นตำรวจบ้าดีเดือดชอบฉายเดี่ยว ไม่ใส่เครื่องแบบปราบโจร แถมยังชอบใช้วิธีห่ามๆ นอกกฎมาจับโจร จนกลายเป็นเรื่องปวดหัวให้กรมตำรวจเสมอ แต่กลับไม่ค่อยมีใครรู้จักเขาดีนัก เพราะความที่ไม่ต้องการเด่นดังหรือสุงสิงกับใคร จนกระทั่งการปรากฎตัวของ หมอกาฬโรค ศาลเตี้ยในชุดรบใส่หน้ากากนก ออกมาจัดการคนร้ายที่กร็อมจับได้ แต่ศาลปล่อยตัวไป โดยใช้วิธีเผาทั้งเป็น และโชว์ตัวเองลงโซเชียลมีเดียของรัสเซียจนกลายเป็นฮีโร่ของเมือง กร็อมจึงต้องหาทางสืบให้ได้ว่าหมอกาฬโรคคือใคร โดยมีนักข่าวสาวในเน็ตตามเกาะติดคดีนี้ พร้อมกับตำรวจฝึกหัดที่ถูกส่งมาเรียนรู้งานกับกร็อมมาช่วยอีกแรง

โครงเรื่องนี้เหมือนเป็นการเอาแบทแมนมาทำในแบบของตัวเอง เริ่มจากเมืองที่กร็อมอยู่ถึงจุดตกต่ำอาชญากรรมพุ่งสูง คนรวยอยู่เหนือกฎหมาย ประชาชนโกรธแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ กร็อมเองถ้าไม่ได้เป็นตำรวจก็เกือบๆ เป็นศาลเตี้ยแล้วเช่นกัน เพราะแนวสืบสวนแบบนอกกฎหมาย โดยที่เขาเองยึดถือคติว่าคนร้ายเล่นนอกกฎก่อน ถ้าทำตามกฎไม่ทันกินแน่ๆ จนการปรากฎตัวของหมอกาฬโรคก็เหมือนเมืองนี้มีแบทแมนตัวจริงออกมา เพียงแต่ว่าหมอนี่เน้นฆ่าพวกที่รอดกฎหมายอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยกลายเป็นเมืองนี้ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นไปอีกเมื่อศาลเตี้ยนอกกฎหมายกลายเป็นฮีโร่ของคนในเมือง จนดูเหมือนแอบสะท้อนเรื่องราวของแบทแมนนี่แหละ แต่ต่างกันที่แบทแมนดั้งเดิมไม่ฆ่าใครเท่านั้น (ไม่ใช่ในเวอร์ชั่น BvS)

ภาคแรกนี้เหมือนเป็นจุดกำเนิดทีมของกร็อมและโลกของวายร้าย ซึ่งก็เหมือนแบทแมนเลยนั่นแหละที่พอมีคนบ้าแบบนี้ออกมา ก็กลายเป็นการจุดชนวนให้มีคนจิตไม่ปกติออกมาทำตาม แต่ตัวเรื่องจะไปเผยเอาไว้ในสองเครดิตตอนจบ ว่ายังมีต่อ และโลกของกร็อมยังมีตัวร้ายอื่นๆ เพิ่มมาอีก ในส่วนของกร็อมเองจากที่ฉายเดี่ยวมาตลอด ก็ได้เริ่มเรียนรู้ว่าการมีทีมดีกว่า ซึ่งตัวละครในทีมก็ดูทันสมัยหน่อยเพราะนักข่าวในเรื่องที่เป็นนางเอกด้วยทำงานแบบยูทูบเบอร์ คือหาข่าวเอง แฝงตัวเอง เรียกยอดวิวจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งในเรื่องนี้มีประเด็นของโซเชียลมีเดียสมมุติถึงระบบอิสระไม่มีการติดตามได้ว่าใครโพสต์อะไร (ฟรีสปีช) ซึ่งก็กลายเป็นเครื่องมือของวายร้ายในเรื่องไปในตัว ทำให้ตำรวจไม่สามารถติดตามหมอนี่ได้ว่าเป็นใคร ส่วนตำรวจน้องใหม่ที่ตามกร็อมก็เป็นตัวละครเสริมเรื่องราวชีวิตของกร็อมที่ไม่เคยยอมรับ ได้เรียนรู้และปรับปรุงตัวเองใหม่เปิดใจให้กับการทำงานเป็นทีมในภายหลัง

 

จุดเด่นของเรื่องคือฉากแอ็กชั่นจากสกิลคิดล่วงหน้าของกร็อม ที่เขามักจะประเมิณสถานการณ์ออกมาหลายรูปแบบก่อนเข้าต่อสู้ ทำให้เรื่องนี้มีฉากแอ็กชั่นในซีนเดิมซ้ำๆ แต่แตกแขนงออกมาหลายแบบ ซึ่งแรกๆ อาจะดูงงๆ หน่อยเพราะตัวเรื่องก็ไม่มีเกริ่นอะไรเลย แถมยังทำซะเหมือนเป็นการเดินเรื่องจริง ก่อนที่จะย้อนกลับมาเล่าเรื่องจุดนั้นใหม่ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นจุดขายของการ์ตูนเรื่องนี้แหละที่พระเอกจำลองภายในหัวไว้มากมายก่อนลุย แต่พอมาเป็นหนังแล้วมีการใช้บ่อยๆ ซ้ำๆ ก็กลายเป็นฉากเดียวโดนยืดไปหลายรอบจนเซ็งนิดๆ เหมือนกันว่าอันไหนจะเป็นเรื่องจริงสักที

ส่วนตัวร้ายของเรื่องก็เว่อร์กว่าพระเอกมาก เพราะมีชุดรบไฮเทค ใส่ผ้าคลุมเต็มยศ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวชุดทำอะไรได้บ้างนอกกันกระสุน แต่อาวุธสำคัญคือเครื่องพ่นไฟที่ติดไว้ที่ข้อมือสองข้าง โดยใช้สารเคมีเป็นหลอดติดไว้ แล้วหลอดนี้ก็เป็นระเบิดได้ในตัวเองด้วย แต่จุดเด่นของเจ้านี่จริงๆ คือ มันสมองมากกว่า ด้วยแผนการร้ายที่วางไว้เป็นสเต็ปโดยกร็อมเองก็ติดอยู่ในแผนนี้ด้วย กึ่งๆ เหมือนเล็กซ์ลูเธอร์ประมาณนั้น แต่เอาจริงๆ แผนร้ายในเรื่องก็ไม่ได้ใหม่ มีความคล้ายกับ V for Vendetta การ์ตูนแนวฮีโร่ด้านมืดและถูกนำมาสร้างเป็นหนังเช่นกัน เข้าใจว่ากร็อมหยิบยืมไอเดียมาบ้างแน่ๆ เพราะเป็นการยำหลายอย่างในหนังฮีโร่ดังก่อนๆ มารวมกัน นอกจากนี้ตัวร้ายในเรื่องก็แอบมีหักมุมนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเซอร์ไพรส์อะไร เพราะหลายเรื่องก็เคยทำออกมาแล้ว

ด้วยความที่ตัวเรื่องสร้างจากการ์ตูนที่ไม่ได้ดาร์คมาก แม้ตัวเรื่องจะดูดาร์คๆ ก็ตาม ทำให้เรื่องนี้เป็นแนวการ์ตูนเว่อร์ๆ ล้นๆ ติดตลกอยู่เรื่อยๆ ซึ่งถ้าใครหวังแนวฮีโร่เข้มๆ แบบแบทแมนหรือแนวเรียลๆ ของ DC เรื่องนี้คงไม่ใช่ แต่รวมๆ ถ้าเป็นคนชอบดูหนังแนวฮีโร่ต่างๆ ที่ทำออกมามากมายเรื่องมากกว่าดีซีมาร์เวล Major Grom หนังกึ่งซูเปอร์ฮีโรเรื่องนี้จากรัสเซียก็ถือว่าใช้ได้เลยล่ะ แต่แค่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่กว่าที่เคยดูจากฝั่งอเมริกาเท่านั้น

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!