playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One แอ็กชั่นอัดแน่นเต็มที่ แต่เนื้อเรื่องยืดเยื้อไม่จบ

Summary

ภาคที่ขยายเนื้อเรื่องแบ่งเป็น 2 ภาค ฉายปีนี้กับปีหน้าเป็นภาคจบ เนื้อเรื่องเป็นการเริ่มเรื่องถึง AI สุดล้ำที่ขยายวงมาแทรกซึมอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต เป็นเนื้อเรื่องแบบที่ทุกประเทศต้องตามล่าหากุญแจเพื่อยึดครองมัน ต่างกับพระเอกที่ตั้งใจทำลายมัน เนื้อเรื่องมีความลึกในรายละเอียดที่ดูแล้วแอบงงๆ อยู่บ้าง แต่หนังเน้นที่ฉากแอ็กชั่นเต็มทั้งเรื่องมากกว่า ซึ่งตรงนี้มีทั้งส่วนที่ตอบโจทย์กับกับแอบผิดหวังอยู่บ้าง โดยเฉพาะกับการตั้งใจตัดตัวละครสำคัญออก และก็พยายามใส่ตัวละครใหม่เข้ามาทดแทนกันอย่างเต็มที่ รวมถึงตัวร้ายที่ใส่เข้ามามีบทเยอะ แต่ดูแล้วก็ไม่ได้เก่งอะไรมาก เนื้อเรื่องจบแบบค้างคาไว้ครึ่งเรื่องเพื่อไปจบในปีหน้าครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ฉากแอ็กชั่นทุนสูงเต็มทั้งเรื่อง
  • เทคโนโลยีในเรื่องยังล้ำยุค
  • นางเอกคนใหม่มีความสำคัญมาก

Cons

  • ฉากแอ็กชั่นบางจุดไม่ได้จำเป็น
  • ตัวละครสำคัญถูกตัดออกกลางเรื่อง
  • บอสตัวร้ายที่ดูแล้วไม่ค่อยเก่ง

 

Mission: Impossible - Dead Reckoning Part One (2023) on IMDb

ตัวอย่าง Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One

Mission: Impossible – Dead Reckoning Part One รีวิว

*มีสปอยล์เนื้อหาบางส่วนกลางเรื่อง

มิชชั่นอิมพอสซิเบิลที่นับเป็นภาคคือลำดับที่ 7 เป็นภาคที่ยังกำกับและเขียนบทโดย Christopher McQuarrie เหมือน 2 ภาคก่อน ด้วยภาคนี้ทุนสร้างสูงถึง 290 ล้าน (คาดว่ารวมบางส่วนของ Part 2 ไปด้วย) ก็ทำให้รายได้ต้องถูกคาดหวังถึง 700 ล้านขึ้นไปถึงจะทำกำไร ซึ่งในช่วงนี้หนังซัมเมอร์คว่ำกันไปหลายเรื่องแล้ว จากที่ดูรอบแรก IMAX LASER มา แต่ทางโรงมาแจ้งภายหลังว่าไม่มีสเกล IMAX มีแต่ระบบเสียง 12 แทร็คเท่านั้น และก็ลงแค่ระยะสั้น 9 วัน ก่อนเทโรงให้กับ Oppenheimer ของผู้กำกับโนแลน ซึ่งจากที่ดูมาก็ข้ามไปได้เลยกับโรงไอแม็กซ์จากเหตุผลที่ว่ามาครับ

เนื้อเรื่องในภาคนี้ถูกเล่าถึงโครงการ AI. ในเรือดำน้ำรัสเซีย ที่กลายเป็นภัยในเวลาต่อมาเมื่อมันแทรกซึมเข้ามาในระบบอินเตอร์เน็ตของโลกมนุษย์ปกติ ซึ่งเนื้อเรื่องโดยรวมเข้าใจไม่ยาก แต่จะลำบากตรงรายละเอียดยิบย่อย ที่ถูกวางไว้เพื่ออธิบายกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ AI. ตัวนี้ก่อร้างสร้างไว้ และจุดชนวนให้ทุกประเทศในโลกไล่ล่าตามหาเพื่อควบคุมมันเพื่อหวังเป็นเจ้าโลก ต่างกับทางพระเอก Ethan Hunt ที่ต้องการทำลายมันเพื่อไม่ให้เกิดชนวนปัญหาระดับโลกขึ้นมา ซึ่งถ้าไม่ใส่ใจรายละเอียดเบื้องลึกตรงนั้นก็ยังสามารถดูแล้วเข้าใจได้อยู่ดี เพราะนี่คือหนังที่สร้างมาเพื่อยัดฉากแอ็กชั่นใส่เข้าไปตรงๆ มากกว่าจะมาเน้นรายละเอียดจุกจิกที่วางไว้ 

ฉากแอ็กชั่นที่ใส่เข้ามาคือ ฉากเรือดำน้ำ ฉากทะเลทราย ฉากสนามบิน ฉากซิ่งกลางเมืองเวนิส ฉากในโรงละคร และฉากรถไฟคือท้ายสุด ทั้งหมดที่ใส่เข้ามาคือแทบจะกินเวลาทั้งเรื่องเลยก็ได้ (2 ชั่วโมง 43 นาที) เพราะแต่ละฉากยาวนานมากเป็นพิเศษ และส่วนใหญ่ก็แทบไม่ได้ใช้ CG แต่เป็นการเล่นสดของทอมครูสเอง ซึ่งที่เด่นเตะตามากคือฉากซิ่งกลางเมืองโดยขับมือเดียว เพราะมืออีกข้างถูกผูกกุญแจมือติดกับอีกคนไว้ และรถที่ใช้ยังเป็นรถไฟฟ้าขนาดเล็กที่ทนทรหดกับการถูกรถใหญ่ไล่ชนสุดๆ ส่วนอีกฉากคือฉากรถไฟที่ยาวนานมาก ตั้งแต่การซิ่งมอเตอร์ไซค์หาที่ร่อนลงไปที่รถไฟ ฉากรถไฟตกสะพานที่ถูกระเบิดขาดแล้วหล่นลงไปทีละโบกี้ ซึ่งโดยรวมฉากเหล่านี้ถือว่าทำได้ดี เป็นจุดขายที่ดึงคนดูไว้ได้มากสุดของเรื่องนี้ 

 

แต่ก็มีปัญหาเกิดขึ้นในบางฉากเช่นกัน อย่างฉากกลางเรื่องที่มีตัวละครสำคัญต้องเสียสละ ตัวเรื่องทำเหมือนตัวละครนี้ไม่จำเป็นกับเรื่องมาตั้งแต่แรก ด้วยบทที่น้อยนิด แล้วพอถึงเวลาที่ต้องไปก็ไปแบบเงียบๆ เหมือนตัดฉากลากันดื้อๆ ซึ่งไม่โอเคเลยกับการเขียนบทแบบนี้ 

นอกจากนี้แล้วการพยายามดันตัวละครใหม่ขึ้นมาอย่าง Grace (เล่นโดย Hayley Atwell) ก็เหมือนตั้งใจเอามาแทนตัวละครที่จากไป คือโดยสกิลการเป็นนักล้วงขั้นเทพมันอาจจะเหมาะกับการที่ทีมขาดอยู่ แต่ดูยังไงก็แปลกๆ ที่มีการเปลี่ยนบทแบบนี้เกิดขึ้นอยู่ดีครับ


 

ส่วน The White Widow ก็มีบทแบบที่กำลังดีกับเรื่อง โดยเป็นนายหน้ารับงานหาสิ่งของมาให้ผู้จ้างวานอีกที แต่แทบไม่มีบทบู๊อะไรเกิดขึ้น ต่างกับ Paris (เล่นโดย Pom Klementieff) ที่มีแต่บทบู๊มาเต็มทั้งเรื่อง แต่บทพูดอย่างน้อย ซึ่งก็เหมาะกับเธออยู่

 

ส่วน Luther Stickell กับ Benji Dunn บทของสองคนนี้ก็ถือว่ายังคงสำคัญและเป็นตัวประจำช่วยแก้ไขสถานการณ์สำคัญของเรื่องไว้ได้อยู่

ตัวร้ายของเรื่อง Gabriel (เล่นโดย Esai Morales) บทออกมาค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเก่งอะไรมากเมื่อเทียบกับบอสภาคก่อนๆ บางฉากก็ดูไม่จำเป็นอย่างการดวลตัวๆ กับอีธานบนหลังคารถไฟ ดูแล้วเป็นฉากเวิ่นเว้อไม่จำเป็นเลยจริงๆ 

 

นอกจากนี้ยังมีการขุดเอาตัวละครจากภาคแรก Kittridge (เล่นโดย Henry Czerny) ซึ่งแทบไม่มีการบอกใบ้ให้คนดูจำเขาได้เลย แต่ตัวละครนี้เป็นตัวสำคัญของเรื่องคนหนึ่ง โดยมี Briggs (เล่นโดย Shea Whigham) กับ Degas (เล่นโดย Greg Tarzan Davis) มารับบทลูกน้องทีมงานสายลับอเมริกาที่มาไล่ตามจับอีธานอยู่ตลอดทั้งเรื่องด้วย ซึ่งจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

ด้วยความที่ตัวเรื่องนี้ยังไม่จบ เนื้อเรื่องจึงค้างคาไว้ครึ่งเรื่อง แค่ให้เรารู้ว่า AI ทำอะไรได้ และมีใครที่ยังไปต่อ ซึ่งกำหนดฉายก็คือปีหน้า 2024 นี้ครับ

 

ดูรีวิวหนังโรงเรื่องอื่นได้ที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!