playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Money Heist Part 5 Vol. 1 สงครามย่อมๆ ที่มันส์ระเบิด (ไม่มีสปอยล์จุดสำคัญ)

Money Heist Part 5 Vol.1

สรุป

โดยรวมซีรีส์ยังคงเส้นวาในเรื่องความสนุกได้เหมือนเดิม และยิ่งเพิ่มมาทางฉากแอ็กชั่นสงครามยิงกันกระหน่ำแบบนี้ด้วยยิ่งน่าจะทำให้คนดูชอบมากขึ้นไปอีก แต่ส่วนด้อยของเรื่องก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม เช่นความไม่เมคเซนส์ในการกระทำบางอย่าง กับช่วงดราม่าย้อนชีวิตตัวละครหลายตัวที่แทรกสลับมาแบบคนดูเองก็ไม่ได้ต้องการรู้อดีตเพิ่มแล้ว

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • จัดเต็มกับฉากแอ็กชั่นสงคราม
  • เนื้อเรื่องจริงจังมีตัวละครที่ต้องสูญเสียกับตายทั้งสองฝ่าย
  • ตัวละครใหม่ลูกชายเบอร์ลิน
  • เสียงพากย์ไทยดี

Cons

  • ดราม่าย้อนอดีตตัวละครตัดสลับมาเรื่อยๆ แอบน่าเบื่ออยู่บ้าง
  • ยังมีจุดไม่เมคเซนส์ปนๆ อยู่ตลอดเรื่อง

Money Heist Part 5 Vol. 1 ทรชนคนปล้นโลก ภาค 5 ชุด 1 ทางเน็ตฟลิกซ์แบ่งซอยออกเป็น 2 ชุด โดยชุดแรก (Vol.1) ออกมาก่อน 5 ตอน ก่อนจะไปต่อ Vol.2 ในวันที่ 3 ธันวาคม 2021 เป็นตอนจบสุดท้ายของซีรีส์เรื่องนี้แล้ว (แต่ยังไม่แน่ว่าจะมีภาคแยกตามมาหรือไม่)

Money Heist Part 5 Vol. 1

เนื้อเรื่องหลักของภาคนี้ยังวนเวียนอยู่ในธนาคารกลางของสเปนเหมือนเดิมไม่ได้ขยับไปไหนเหมือนซีซั่น 4 เรื่องหลอมทองก็ยังเป็นปริศนาไม่เฉลยอะไรเพิ่ม แต่การที่ไม่ได้ขยับไปไหนก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวจะนิ่งๆ หรือน่าเบื่อ แต่กลับกันซีรีส์เลือกนำเสนอทิศทางใหม่ๆ ให้ผู้ชมนอกจากการชิงไหวพริบที่เป็นจุดเด่นแบบที่ผ่านมา โดยให้ภาคนี้เป็นเหมือนหนังสงครามย่อมๆ ซึ่งถ้าดูจบจนถึงสารคดีเบื้องหลังการถ่ายทำภาคนี้ที่มีมาพร้อมกันจะเห็นเลยว่า ทางทีมงานยอมรับว่าไม่เคยทำหนังสงครามมาก่อน การทำงานในภาคนี้จึงเป็นของใหม่ทั้งทีมงานเบื้องหลังและนักแสดง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผลงานที่ออกมาจะไม่ดี กลับกันผู้ชมต้องทึ่งฉากสงครามในภาคนี้ 5 นี้มาก เพราะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ซีรีส์ชุดนี้จัดเต็มฉากแอ็กชั่นตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนจบแบบต่อเนื่อง เสิร์ฟคอร์สแอ็กชั่นเป็นเมนหลักของเนื้อเรื่องในภาคนี้เลย

ซึ่งการที่เรื่องจัดเต็มฉากแอ็กชั่นแนวสงครามในเรื่องได้ก็มาจากเนื้อเรื่องในภาคนี้ดึงเอาทหารหน่วยรบพิเศษเข้ามาลุยกับทีมโจรกันตรงๆ จากที่ผ่านมาเป็นแค่ตำรวจที่พยายามจับโจรกับช่วยตัวประกันให้ปลอดภัย แต่ภาคนี้การใช้ทหารมาเป็นผู้เล่นหลักคือยุทธการสังหารเป็นหลัก โดยไม่ต้องแคร์เรื่องช่วยตัวประกันมาก ตามสูตรสำเร็จของการรบที่ใช้ทหารเพื่อจัดการขั้นเด็ดขาด ตัวประกันตายได้เพราะถือเป็นความเสียหายจากการรบที่ยอมรับได้ ทำให้ภาคนี้เราจะได้เห็นฉากการใช้อาวุธสงครามยิงกันอย่างต่อเนื่อง และไม่ใช่แค่ฝ่ายทหารเท่านั้น แต่ฝ่ายตัวประกันเองก็ลุกขึ้นสู้โดยอาศัยจังหวะยึดคลังอาวุธของฝ่ายโจรตัวเอกไว้ได้ ทำให้กลายเป็นสงครามทั้งด้านในกับด้านนอก และก็ทำออกมาได้สะใจมาก มีฉากระเบิดกันถล่มทลายต่อเนื่องลงทุนสูง อย่างฉากระเบิดพิพิธภัณฑ์เก็บวัตถุทองโบราณในธนาคารสเปน ซึ่งจำลองมาจากของจริงทุกชิ้น คอหนังแอ็กชั่นต้องชอบภาคนี้ในส่วนของสงครามแน่นอน เรียกว่าให้ 9-10 กับตรงนี้ได้เลย

ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเรื่องราวมาเน้นสงครามก็ต้องมีการสูญเสียกันเกิดขึ้นแน่นอน ต้องบอกเลยว่าทางผู้สร้างถือว่าใจกล้ามากที่เลือกให้มีตัวละครที่เจ็บหนักถึงขั้นพิการกับตายในภาคนี้ โดยไม่ได้มีแค่คนเดียวหรือฝ่ายเดียวเดียว เนื้อเรื่องมีการสูญเสียกันทั้งสองฝ่าย เรียกว่าไม่มีการปราณีผู้ชมอีกแล้ว และการที่ตัวละครต้องเจ็บตายลาจากซีรีส์ชุดนี้ไปก็เหมือนเป็นความผูกพันที่ทั้งคนดูกับนักแสดงมีร่วมกัน ซึ่งบททุกตัวละครก่อนจะไปถึงจุดนี้มีการบิ้วมาอย่างดี ย้อนไปถึงปูมหลังในอดีตที่ช่วยเติมเต็มเนื้อเรื่องในภาคแรกสุด ซึ่งตอนแรกอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาปูเรื่องราวเหล่านี้เพิ่มอีก แต่จุดนี้เป็นการส่งท้ายอำลาตัวละคร ซึ่งรับรองเลยว่าคนดูจะรู้สึกเข้าถึงการสูญเสียในภาคนี้ได้จริงๆ ยิ่งได้ดูสารคดีชุดอำลาตัวละครที่ต้องตายไป ยิ่งทำให้เราเข้าใจเลยว่าตัวนักแสดงเองก็ผูกพันกับซีรีส์ชุดนี้มากพอกัน แนะนำว่าให้ดูต่อกันหลังจบตอน 5 ผู้ชมจะได้รับทราบอะไรหลายๆ อย่างที่ช่วยเติมเต็มความรู้สึกนี้ให้อินมากขึ้นไปอีก

ถึงแม้บทจะเทหนักไปที่ฉากแอ็กชั่นสงครามย่อมๆ ในเรื่อง แต่เรื่องราวการชิงไหวพริบก็ยังมีอยู่เช่นเดิม แต่อาจจะไม่ได้เป็นจุดพลิกตลอดแบบที่ผ่านมา เพราะในตอนจบภาค 4 เราก็ได้เห็นฉากที่ซิเอร์ร่าตามมาถึงที่ซ่อนของโปรเฟสเซอร์ ซึ่งการที่เธอเข้ามาควบคุมตัวโปรเฟสเซอร์ได้ถึงที่นี่ ก็ทำให้เรื่องราวแนววางแผนของโปรเฟสเซอร์ต้องหยุดชะงักลง ซึ่งมันก็ช่วยส่งเสริมให้พาร์ทสงครามในเรื่องดูหนักแน่นขึ้นด้วย เพราะไม่มีการวางแผนจากโปรเฟสเซอร์ทำให้ฝ่ายโจรต้องดิ้นรนต่อสู้สุดชีวิตด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้เรื่องดูลงตัวสมเหตุผลตอนธีมสงครามของภาคนี้ด้วย ในขณะที่เรื่องราวการเผชิญหน้าของซิเอร์ร่ากับโปรเฟสเซอร์ก็เป็นจุดพลิกผันใหญ่สุดของเรื่อง ซึ่งคนดูอาจจะคาดเดาได้ แต่ก็มาพร้อมฉากเซอร์ไพรซ์กับตัวซิเอร์ร่าที่ทำให้เรื่องราวเคลียร์จุดนี้ได้ลงตัวจริงๆ

สำหรับตัวละครที่คนเกลียดสุดในเรื่องก็คงไม่พ้นอาร์ตูโร แต่บทในภาคนี้เปลี่ยนไปกลายเป็นแนวสงครามให้เขาเป็นหัวโจกลุยกับเหล่าโจรแทน ซึ่งเนื้อเรื่องก็จัดเต็มฉากแอ็กชั่นให้กับอาร์ตูโรมากจนลืมบทพูดกับการกระทำน่ารำคาญในภาคก่อนๆ ไปได้เลย เรียกว่าถึงจะน่ารำคาญอยู่บ้าง แต่บทก็ไม่ได้วนเวียนอยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้วครับ และยังเคลียร์เรื่องราวกับสต็อกโฮล์มแฟนเก่าของเขาอีกด้วย แต่บทก็เหมือนแกล้งกันเพราะกลายเป็นสต็อกโฮล์มในช่วงหลังของภาคนี้กลับดูเป็นตัวละครน่ารำคาญแทน ออกแนวเลอะเทอะด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใจมากว่าทำไมบทถึงพยายามทำให้เธอกลายมาเป็นแบบนี้ แม้เรื่องจะพยายามปูสาเหตุให้เข้าใจอยู่บ้าง

ราฟาเอลตัวละครใหม่ลูกชายของเบอร์ลิน

แต่ที่แปลกสุดในภาคนี้คือการเปิดตัวละครใหม่ “ราฟาเอล” ลูกชายของเบอร์ลิน มาในพาร์ทย้อนอดีตของเบอร์ลินแบบที่ผ่านๆ มา แต่คราวนี้เป็นฉากทีมปล้นของเขาเองไม่เกี่ยวกับโปรเฟสเซอร์ โดยเขาดึงลูกชายมาร่วมงานครั้งแรก แม้เจ้าตัวจะไม่เห็นด้วยเพราะเป็นถึงวิศวกรมีการงานดีอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยอมมาร่วมทีมปล้นด้วย ซึ่งเรื่องราวก็ดูซอฟต์ง่ายๆ แต่สนุกจากการวางแผนปล้นแบบไร้ร่องรอย ที่ต่างจากของโปรเฟสเซอร์ที่ประกาศโจ่งแจ้ง แต่เนื้อเรื่องในส่วนนี้ก็แยกออกจากเรื่องหลักของภาค 4 ในตอนนี้แบบเป็นเอกเทศ ยังไม่มีจุดเชื่อมโยงให้เห็นว่าตัวราฟาเอลจะไปเกี่ยวข้องยังไงกับเนื้อเรื่องหลักในธนาคารกลาง จนดูเหมือนเป็นการหยั่งเชิงลองนำเสนอเนื้อเรื่องแยกออกมาก็เป็นได้ แต่คิดว่าผู้เขียนบทคงไม่ได้ทำมาแค่นั้น น่าจะมีบทบาทสำคัญต่อไปในตอนจบครับ

โดยรวมซีรีส์ยังคงเส้นวาในเรื่องความสนุกได้เหมือนเดิม และยิ่งเพิ่มมาทางฉากแอ็กชั่นสงครามยิงกันกระหน่ำแบบนี้ด้วยยิ่งน่าจะทำให้คนดูชอบมากขึ้นไปอีก แต่ส่วนด้อยของเรื่องก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม เช่นความไม่เมคเซนส์ในการกระทำบางอย่าง กับช่วงดราม่าย้อนชีวิตตัวละครหลายตัวที่แทรกสลับมาแบบคนดูเองก็ไม่ได้ต้องการรู้อดีตเพิ่มแล้ว ทำให้เรื่องราวยังไม่ถึงกับมันส์ต่อเนื่องได้อย่างพวกหนังแอ็กชั่นโดยตรง แต่ก็ต้องยอมรับว่าการปูดราม่าสลับมาในเรื่องก็ช่วยส่งให้บทที่ตัวละครหลักต้องสูญเสียหรือตายดูแล้วอินเพิ่มได้อีกครับ

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!