playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Most Dangerous Game (Amazon Prime) เกมล่าคนที่สนุกต่อเนื่องไม่มีหยุด

Most Dangerous Game

สรุป

พล็อตเกมล่าคนแบบเดิมๆ แต่ตัวเรื่องทำออกมาได้สนุกลุ้นระทึกกันต่อเนื่องกับฉากแอ็กชั่นไล่ล่ากันไม่หยุด ฉากล่าอาจจะไม่แหวะแต่ก็โหดพอตัว พร้อมกฎของเกมที่วางไว้ค่อนข้างรอบคอบจนดูเป็นไปได้จริง ใครที่ชอบแนวนี้ก็เรียกว่าห้ามพลาดครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • พล็อตเรื่องแนวเกมล่าคนแบบทั่วไป แต่กฎของเกมลงรายละเอียดไว้เยอะจนดูน่าเชื่อถือ
  • การไล่ล่าภายใน 24 ชั่วโมงที่ดูยุติธรรมทั้งสองฝ่าย
  • ฉากแอ็กชั่นไล่ล่ากันตลอดเวลา
  • มีปมดราม่าสะเทือนใจเป็นแบ็คกราวด์ของเรื่อง
  • จบในซีซั่นเลย ก่อนทำต่อซีซั่นใหม่ ขึ้นเรื่องใหม่ ตัวละครใหม่
  • มีบรรยายไทย

Cons

  • บทช่วงหลังรวบรัดจบง่ายไป และค่อนข้างดรอปลงจากช่วงแรกมาก
  • สเกลของเรื่องยังไม่ใหญ่โตมากเพราะถูกจำกัดจากการเป็นซีรีส์ขนาดสั้น

Most Dangerous Game ซีรีส์ขนาดสั้นความยาวเท่ากับหนังสองชั่วโมง เรื่องราวของเกมล่าคนภายในเวลา 24 ชั่วโมง พร้อมเงินรางวัลผู้รอดตายหลายล้านเป็นแรงจูงใจสำคัญ

 Most Dangerous Game (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Most Dangerous Game

ซีรีส์ขนาดสั้นตอนละไม่ถึงสิบนาทีจากค่ายสตรีมใหม่ Quibi ที่ปิดตัวไป โดยการขายกิจการให้ Roku Channel  ซึ่ง Amazon prime ก็ซื้อสิทธิ์มาฉายพ่วงที่นี่อีกที โดยปรับจาก 15 ตอนสั้นตามรูปแบบเดิมของ Quibi มาเป็นตอนเดียวยาวสองชั่วโมงกว่า เหมือนหนังเรื่องนึง ซึ่งก็แทบไม่รู้สึกว่าแตกต่างกันยังไง เพราะแต่ละตอนของต้นฉบับก็เหมือนการตัดฉากในหนังเป็นช่วงๆ เท่านั้น

พล็อตเรื่องนี้มาในแนวเกมไล่ล่าแบบทั่วไป อาจจะไม่ได้ใหม่อะไรนัก แต่ว่าพล็อตเดิมๆ แบบนี้ก็เป็นอะไรที่สร้างมาได้เรื่อยๆ แล้วก็ดูจะถูกใจคนดูง่ายถ้าทำออกมาได้ดีไม่น่าเบื่อก็ผ่านแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก้เข้าข่ายแบบนั้นเช่นกัน โดยการเซ็ตเรื่องให้พระเอก ดอดจ์ (รับบทโดย Liam Hemsworth) หัวหน้าครอบครัวที่กำลังมีปัญหาชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด ลงทุนสร้างตึกแต่กลับไม่ได้ตามเป้าจนแทบล้มละลาย ภรรยาก็ใกล้คลอด แถมเขายังต้องเจอกับโรคเนื้องอกในสมองที่พึ่งมารู้ตัว โดยมีเวลาไม่ถึงสองอาทิตย์ก่อนจจะตาย เขาต้องดิ้นรนหาทางต่อชีวิตให้รอดอีกนิดเพื่อครอบครัว จนในที่สุดก็ได้พบกับกองทุนช่วยคนไร้ค้ำประกัน ที่มี ไมล์ (รับบทโดย Christoph Waltz) เป็นผู้ติดต่อประสานหาเงินให้เขา โดยมีข้อเสนอให้เขาเข้าร่วมเล่นเกมล่า โดยเขาต้องเป็นเหยื่อให้นักล่า 5 คนตามล่าในเมืองดีทรอยต์ ภายในเวลา 24 ชั่วโมง มีกฎสำคัญคือ ห้ามออกจากเมือง ห้ามเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับตำรวจ ห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร ห้ามใช้อาวุธปืน ซึ่งฝ่ายนักล่าเองก็มีกฎในรูปแบบเดียวกันเพื่อความเท่าเทียม โดยดอดจ์จะได้รับเงินทุกชั่วโมงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนครบ 24.5 ล้านเหรียญ และต้องพกมือถือเครื่องเดียวที่ไมล์ให้ไว้ติดต่อกับเขาโดยตรง และยังเป็นตัวแสดงตำแหน่งที่เขาอยู่ทุกชั่วโมงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนสัญญาณจะดับหายไป เพื่อให้ผู้ล่าได้สนุกกับการค้นหาล่าเขาเต็มที่ ซึ่งสุดท้ายดอดจ์ก็ไม่มีทางเลือกจนต้องเข้าร่วมเกมนี้ ก่อนจะพบว่าเกมนี้มันอันตรายถึงครอบครัวเขาอีกด้วย

ถึงโครงเรื่องจะมาในแนวเดิมๆ แต่ตัวเรื่องก็ได้ลุ้นระทึกสนุกอยู่ตลอดเวลา อาจจะเพราะต้นฉบับเป็นซีรีส์ขนาดสั้นไม่ถึงสิบนาที จึงทำให้การดำเนินเรื่องต้องมีจุดบิ้วลุ้นระทึกกันทุกช่วงต่อเนื่องมากกว่าแบบภาพยนตร์ที่อาจจะมีการทิ้งช่วงยาวกว่า ซึ่งช่วงแรกมีการปูความเป็นมาแบบย้อนอดีตกลับไปนิดหน่อยว่าทำไมพระเอกถึงยอมมาเล่นเกมนี้ได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าถึงตายแน่ๆ ก็เพราะเขาป่วยหนักจนหมดหนทางจริงๆ ซึ่งตัวเรื่องปูส่วนนี้ได้เป็นเหตุเป็นผลน่าเชื่อถือ พร้อมกับความมีไมตรีจากไมล์ที่ดูเหมือนหวังดีกับเขาจริงๆ ก่อนจะเริ่มเกมในร้านอาหารเล็กๆ ที่นักล่าก็มาร่วมอยู่ด้วยแบบไม่เปิดเผย ซึ่งจุดนี้เองที่เรื่องทำได้ระทึกมากขึ้น เพราะเราก็เหมือนตกอยู่ในสภาพเดียวกับพระเอก ไม่รู้ว่าใครในฝูงคนคือนักล่า แม้จะมีกฎว่าห้ามฆ่าในที่โจ่งแจ้งเพื่อให้เรื่องดูสมเหตุผล อาจจะดูว่าก็ไปซ่อนในกลุ่มคนที่สาธารณะสิ ซึ่งตัวเรื่องก็เหมือนดักผู้ชมที่คิดไว้แบบนี้อยู่แล้ว โดยให้ไมล์บอกกับดอดจ์เองแต่แรกว่าฝูงคนคือที่ซ่อนดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงการที่เรารู้ว่ามีนักล่าจ้องฆ่าเราอยู่ในฝูงชน มันก็ทำให้คนนั้นเกิดอาการแพนิคได้ง่ายๆ และถึงไม่ฆ่ากลางแจ้ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำร้ายหรือขู่ไม่ได้ ซึ่งบทก็เขียนบีบคั้นพระเอกให้ไปจนมุมในที่ลับตาของเมืองได้ดี ทำให้เกมดูน่าเชื่อถือว่าเป็นไปได้ในโลกจริง แถมยังมีแบ็คกราวด์เสริมไว้นิดๆ ว่านี่ไม่ใช่เกมที่เกิดในยุคนี้ แต่มีมานับพันปีแล้ว ซึ่งเข้าใจว่าคงไปเฉลยเพิ่มในซีซั่น 2 ซึ่งตอนนี้ทาง Roku ก็อนุมัติให้สร้างต่อแล้ว โดยเป็นการขึ้นเรื่องใหม่ไม่เกี่ยวข้องกับดอดจ์ ที่ตัวเรื่องน่าจะวางเกมล่าเป็นซีซั่นแยกตัวละครจากกัน โดยมีตัวไมล์เป็นตัวเชื่อมของทุกซีซั่นอีกที ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ไมล์ แต่ยังมีลูกน้องที่เป็นนักเก็บกวาดที่เกิดเหตุอีกคนเป็นตัวละครสำคัญประจำเรื่อง แยกออกจากนักล่าอีกที ทั้งคู่มีรายละเอียดการทำงานที่แตกต่างกัน เป็นเหมือนจักรวาลเกมล่าที่มีเครือข่ายใหญ่โตกว่าที่คิดมาก

อีกส่วนที่เรื่องนี้ทำได้ดีเลยคือ การวางคาแรกเตอร์นักล่าทั้ง 5 คนแตกต่างกัน ทุกคนรู้จักกันในชื่อนามแฝง เหมือนเป็นนักล่าประจำเกมของไมล์ โดยมีหนุ่มผู้ดีอังกฤษที่ใช้ไขควงแหลมเป็นอาวุธเป็นตัวหลักของฝั่งนักล่า ซึ่งตัวเกมแม้จะเปิดให้รุมเหยื่อได้ แต่นักล่าเองก็มีการขัดแข้งขากันเองด้วย ทำให้เรื่องไม่ใช่แค่ผู้ล่ากับเหยื่อ แต่มีการเล่นงานผู้ล่าด้วยกันทางอ้อมอีกด้วย แต่ในเรื่องก็มีกฎละเอียดยิบว่าห้ามใครแทรกแซงถ้านักล่ากับเหยื่อกำลังต่อสู้กัน รวมถึงตัวนักล่าเองก็ไม่ได้มีอภิสิทธิ์อะไรเพิ่มจากที่ไมล์กำหนดให้รู้ตำแหน่งเหยื่อในเวลาสั้นๆ แค่นั้น รวมถึงการไม่เข้าช่วยเหลือนักล่าไม่ว่าทางใดทั้งสิ้น ถ้าพลาดก็ต้องตายเองเช่นกัน ทำให้ดูๆ ไปเกมนี้ก็ค่อนข้างยุติธรรม ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ รวมถึงไม่มีปืนในตอนแรกตามกฎ แต่ตัวเรื่องก็หาทางซิกแซกให้ตอนหลังมีการใช้ปืนกันจนได้ทั้งสองฝั่ง แต่ก็ยังอยู่ในกฎของเกมที่แจ้งไว้แล้วว่า ถ้าใช้ปืนก็ต้องใช้ทั้งคู่ ซึ่งตัวฝั่งนักล่าแม้จะมีปืนพกติดตัวแต่ก็ไม่ใช้ ใช้แค่อาวุธส่วนตัวคนละแบบ มีด ค้อน ลวดเชือก ซึ่งแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์การใช้อาวุธประจำตัวต่างไป กลายเป็นความโหดดิบคนละแบบ ติดเรต 18+ อาจจะไม่แหวะแต่ก็โหดพอตัว และเรื่องก็ค่อยๆ ทะยอยเปิดโฉมหน้านักล่ามาทีละคน ไม่ได้ให้เห็นกันแต่แรก ทำให้สถานการณ์ในเรื่องดูไม่น่าไว้ใจตลอดเวลา แม้พระเอกจะพยายามปะปนไปกับฝูงคนก็ตาม

ตัวเรื่องใช้เกมล่าต่อเนื่องเป็นฉากแอ็กชั่นต่อสู้กันไปเรื่อยๆ แต่พอมาถึงจุดหนึ่งก็มีการเฉลยความลับสำคัญของเรื่อง ที่ทำให้เกมล่าถูกพลิกบทบาทกันใหม่ ตัวละครสำคัญไม่ใช่แค่นักล่ากับเหยื่อแค่นั้น แต่ขยายวงไปยังเพื่อนกับภรรยาที่เป็นตัวละครสมทบ รวมถึงตัวไมล์ผู้คุมเกมก็มีเบื้องลึกกว่าที่เห็น ทำให้เรื่องถูกยกระดับให้มีความน่าสนใจขึ้นไปได้อีก พร้อมปมดราม่าเฉลยความจริงที่บีบหัวใจกันสุดๆ ซึ่งตัวนักแสดงอย่าง Liam Hemsworth ก็เล่นได้ดีสุดๆ แต่ก็แอบน่าเสียใจว่าช่วงหลังตัวเรื่องเหมือนแผ่วลง รีบจบมัดรวมตัวนักล่าไว้ที่เดียวกันง่ายๆ ไปหน่อย ต่างกันช่วงไล่ล่าแยกคนที่ดูสนุกกว่า ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะบทในแต่ละตอนถูกแยกกันเขียนคนละคน ก็เลยทำให้ช่วงท้ายเรื่องดรอปลงไปพอสมควร แต่ก็ยังดีที่ตอบจบมีเซอร์ไพรซ์เล็กๆ ปิดท้าย ทำให้อารมณ์คนดูที่ถูกบีบคั้นตามตัวพระเอกมาตลอดเรื่องได้ผ่อนคลายลงไป พร้อมกับการวางเนื้อเรื่องต่อไปยังเกมใหม่ เมืองใหม่ เหยื่อคนใหม่กันทันที ซึ่งก็น่าดูว่าถ้าทำต่อแล้วจะมีอะไรให้เล่นได้อีกในรูปแบบเกมเดิมๆ นี้ครับ

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ Amazon Prime VIDEO เพิ่มคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!