รีวิว Moving Disney+ เล่าเรื่องชีวิตฮีโร่พลังพิเศษในสไตล์เกาหลีที่ย้อนอดีตลงลึกกันทุกตอน
Moving
Summary
สรุปเป็นซีรีส์เกาหลีแนวพลังพิเศษที่แม้พล็อตเรื่องกับพลังพิเศษจะไม่แปลกใหม่แล้วในยุคนี้ แต่เนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่องที่เน้นย้อนอดีตเยอะมาก ก็พาผู้ชมดำดิ่งลงไปยังชีวิตของทุกตัวละครแบบละเอียดยิบ เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ตามสไตล์ซีรีส์เกาหลีได้เป็นอย่างดี พร้อมฉากแอ็กชั่นที่มีให้ค่อนข้างเยอะ ตัวนักแสดงโดดเด่นจากบทที่ลงลึกทุกตัวละครก็ทำให้เนื้อเรื่อง 20 ตอนแน่น แม้จะมีความเอื่อยเล่าเรื่องช้าๆ อยู่ค่อนข้างเยอะ มีจุดด้อยของเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุผลหลายครั้ง แต่โดยรวมก็ดูสนุกน่าติดตาม และก็จบปิดปมหลักของซีซั่นได้ดี ก่อนทิ้งท้ายว่ามีซีซั่น 2 ต่อในตอนจบ
Overall
8/10User Review
( votes)Pros
- แนวพลังพิเศษเล่าเรื่องชีวิตตัวละครสไตล์ซีรีส์เกาหลี
- เน้นเล่าเรื่องย้อนอดีตชีวิตตัวละครทุกคน
- งาน CG คุณภาพดี (ในระดับซีรีส์สตรีมมิ่ง)
- ฉากแอ็กชั่นเยอะ
- นักแสดงโดดเด่นทุกคน
Cons
- ฉากย้อนอดีตเยอะมากกว่าเนื้อเรื่องปัจจุบันหลายเท่า
- การเดินเรื่องช้าพอสมควร
- มีหลายฉากที่ไม่มีคำอธิบายให้สมเหตุผลได้
Moving ซีรีส์แนวฮีโร่พลังพิเศษของเกาหลี 20 ตอน บน Disney+ ดัดแปลงจากเว็บตูน ด้วยเรื่องราวของกลุ่มสายลับที่มีพลังพิเศษ แต่เกิดเหตุให้พวกเขาหลบหนีซ่อนตัวไปจากสังคมและปกปิดพลังพิเศษนี้ไว้ ในเวลาต่อมาลูกๆ ของพวกเขาสืบทอดพลังนี้ต่อจากพ่อแม่ และก็เริ่มมีคนมาตามหาไล่ฆ่าพวกเขา
รีวิว Moving (20 ตอนไม่สปอยล์)
ซีรีส์แนวพลังพิเศษที่ทางฝรั่งทำมานานแล้ว ตั้งแต่เรื่อง Heroes เมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งเรื่องนี้เองก็ดำเนินเรื่องในรูปแบบเดียวกันคือ มีตัวละครมีพลังพิเศษหลายคนซ่อนตัวอยู่ในโลก มีคนมาไล่ตามล่าแบบปริศนา ทำให้ตัวละครที่หลบซ่อนอยู่ต้องเริ่มใช้พลังตอบโต้ ซึ่งแทบทั้งหมดแล้วตัวเรื่องมักจะเดินหน้าไปในช่วงปัจจุบัน เป็นการเล่าเรื่องแบบผจญภัยไปในเหตุการณ์ต่อเนื่องข้างหน้าเรื่อยๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ Moving สร้างกลับกันคือ เปิดมาเป็นปัจจุบันรุ่นลูกกับ 3 ตัวละครหลักเพื่อให้มีเนื้อเรื่องเกริ่นนำสักหน่อย จากนั้นก็เริ่มย้อนอดีตตัวละครทั้ง 3 คน ซึ่งก็คือการเชื่อมโยงไปถึงรุ่นพ่อแม่ จากนั้นก็เล่าพ่อแม่ในปัจจุบันสั้นๆ ก่อนจะย้อนพ่อแม่ยาวๆ ไปจนถึงเรื่องราวที่มาต่างๆ ก่อนจะมาเกิดเหตุการณ์ในปัจจุบัน ซีรีส์เลือกเล่าย้อนเบื้องหลังของทุกตัวละครจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ตัวร้ายทุกตัว ไม่ว่าบอสหรือลูกน้องตัวรองๆ โดยที่เรื่องในปัจจุบันมีความคืบหน้าน้อยมากๆ เพราะฉากย้อนอดีตปาไป 70-80% ของเรื่อง ซึ่งเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่ตั้งใจทำให้แปลกแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเพราะเป็นซีซั่นแรกที่จบแบบเลือกเล่าปิดปมในอดีตให้หมด เพื่อไปต่อซีซั่น 2 ต่อไปที่จะเป็นปัจจุบันกันแล้วก็ได้ (แต่ก็ไม่แน่ อาจจะหาเรื่องย้อนอดีตกันได้อีก)
ด้วยความที่เรื่องเน้นย้อนอดีต แต่ก็เพื่อทำให้เห็นว่ารุ่นพ่อแม่นั้นมีพลังมากกว่าหลายเท่า ฉากแอ็กชั่นใช้พลังต่างๆ ในเรื่องนี้ส่วนใหญ่เลยจึงไปอยู่ในช่วงอดีตที่เป็นสายลับ และตัวเอกจริงๆ ของเรื่องก็คือ “ตัวละครพ่อแม่มากกว่า” เพราะตัวรุ่นลูกเองหลังจากช่วง 3 ตอนแรกก็ได้บทน้อย และบทก็ไม่ได้ขยับคืบหน้าไปมากด้วย แม้จะพยายามปูความสัมพันธ์ของ 3 ตัวละครเด็กไว้ แต่ก็ไม่ได้คืบหน้าไปไหนมากในตอนจบ ซึ่งตัวละครพ่อแม่คือช่วงหลักของเรื่องทั้งหมด แม้แต่ฉากแอ็กชั่นใช้พลังทั้งในอดีตกับปัจจุบันก็มีความแตกต่าง สเกลพลังในอดีตมีมากกว่า ด้วยตัวเรื่องที่เปิดให้เป็นสายลับภารกิจเว่อร์ๆ ไปทั้งในเกาหลีเหนือ-ใต้ จีน โซเวียต เป็นเรื่องราวในอดีตย้อนไป 20-30 ปีก่อน แล้วค่อยๆ ถอยกลับมาปัจจุบัน ซึ่งวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้ก็ทำให้เรื่องค่อนข้างอืดมาก แต่ถ้าใครชอบก็จะชอบไปเลย ส่วนตัวผู้เขียนพอรับได้ แต่ก็รู้สึกว่าอืดในหลายตอนมากไปเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เล่าสั้นๆ ก็เข้าใจได้เหมือนกัน
และถึงเป็นเนื้อเรื่องแนวพลังพิเศษ พลังดูมีความโม้โอเวอร์อยู่มาก อย่างพลังฟื้นฟูตัวเองจนเกือบเป็นอมตะ พลังบินได้ สัมผัสหูตาดีเป็นพิเศษ แต่พลังในเรื่องทั้งหมดก็ยังอยู่ในรูปแบบที่ไม่หลุดจากพื้นฐานปกติไปมาก ยิ่งเทียบกับซีรีส์ฝรั่งอย่าง Heroes ที่มีย้อนเวลา มีปล่อยแสงยิงพลังกันได้แล้ว ซึ่งนี่เป็นซีรีส์ที่ทางดิสนีย์+ ลงทุนด้วย ไม่ใช่ลงทีวีเกาหลีด้วยงบปกติ และผู้สร้างเรื่องนี้ก็คือผู้กำกับ Kingdom ของ Netflix ที่ผ่านงานสเกลทุนสูงมากมาแล้ว ดังนั้นนี่คือการเล่าเรื่องแนวละครทีวีเกาหลีเน้นพัฒนาตัวละคร แต่ผสมส่วนของพลังพิเศษลงไปมากกว่าจะไปเน้นที่พลังพิเศษโดยตรง ทำให้เรื่องและอารมณ์เป็นไปตามสไตล์เกาหลีมีครบทุกอย่าง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผู้กำกับคิดถูกที่ไม่เลือกเล่นเรื่องพลังแหวกแนวมากจนไปซ้ำกับทางฝรั่งครับ
แต่สิ่งที่ดีสุดของเรื่องนี้เลยคือตัวนักแสดงที่เลือกมาอย่างดีมาก ทั้งหน้าตา การแสดง บทบาทที่ได้รับเหมาะเจาะลงตัว ตั้งแต่รุ่นลูกทั้ง 3 คน ซึ่งเด่นสุดคือนางเอกวัยรุ่นของเรื่อง โกยุนจอง รับบทเป็น จางฮีซู ซึ่งความสวยน่ารักของเธอโดดเด่นมากจนทำให้เนื้อเรื่องช่วงวัยเด็กที่น้อยดูน่าติดตามมากขึ้นหลายเท่า และทุกตัวละครทั้งเด็กและผู้ใหญ่เฉลี่ยมีบทบาทของตัวเองเท่าเทียมกันหมด ไม่มีตัวละครไหนถูกทิ้ง แม้แต่ตัวร้ายหลายคนก็มีบทบาทมีมิติของชีวิตให้เห็นมากเช่นกัน
จุดด้อยของเรื่องนอกจากฉากย้อนอดีตที่แล้วแต่ใครชอบไม่ชอบ แต่สำหรับผู้เขียนนี่คือซีรีส์เกาหลีที่ยังมีปัญหาเรื่องเหตุผลของบทแปลกๆ อยู่หลายจุด และก็เป็นฉากสำคัญๆ ทั้งนั้น อย่างการถูกคนทั้งโรงเรียนถ่ายคลิปการใช้พลังเต็มๆ แต่เรื่องก็ตัดเงียบไม่อธิบายใดๆ และยังมีฉากบอสของเรื่องบอกว่าการใช้พลังในยุคปัจจุบันลำบากเพราะทุกคนมีมือถือกันหมด โดยถ่ายได้ทีเดียวก็จบเผยแพร่ไปทั้งโลก แต่ตัวเรื่องกลับย้อนแย้งในตัวเอง หรือฉากพนักงานขับรถเมล์ไล่บี้ตัวร้ายบนถนนหลวงอย่างบ้าเลือดจนรถพังเละ แต่พอจบฉากนั้นก็กลับมาทำงานเดิมได้ปกติไม่มีการอธิบายใดๆ ตำรวจก็ไม่มาติดตามตอนเกิดเหตุอีก จะอ้างว่ารัฐบาลปิดข่าวหมดก็ใช้ซ้ำกับรูปแบบเหล่านี้มากเกินไป หรือสเกลพลังต่อยกันในเรื่องก็ไม่แน่ใจว่าใครมีพลังแค่ไหน เพราะเหมือนสู้กันด้วยพลังคนละแบบ แต่แทบทุกคนต่อยตีกันเหมือนมีพลังแบบฮัลค์กันแทบทุกคน (มีพลังซ้ำกันเยอะด้วยในตอนหลัง) อย่างต่อยกำแพงแตก เหวี่ยงคนจนปลิวทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง หรือบางทีพลังก็ลดลงมาเป็นการต่อยกันธรรมดาพื้นๆ ไปเลย ซึ่งถ้าใครดูจับผิดหน่อยก็จะมีเอ๊ะแน่นอนครับ (โดยเฉพาะคอซีรีส์ฝรั่ง)
สรุปเป็นซีรีส์เกาหลีแนวพลังพิเศษที่แม้พล็อตเรื่องกับพลังพิเศษจะไม่แปลกใหม่แล้วในยุคนี้ แต่เนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่องที่เน้นย้อนอดีตเยอะมาก ก็พาผู้ชมดำดิ่งลงไปยังชีวิตของทุกตัวละครแบบละเอียดยิบ เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ตามสไตล์ซีรีส์เกาหลีได้เป็นอย่างดี พร้อมฉากแอ็กชั่นที่มีให้ค่อนข้างเยอะ ตัวนักแสดงโดดเด่นจากบทที่ลงลึกทุกตัวละครก็ทำให้เนื้อเรื่อง 20 ตอนแน่น แม้จะมีความเอื่อยเล่าเรื่องช้าๆ อยู่ค่อนข้างเยอะ มีจุดด้อยของเหตุการณ์ที่ไม่สมเหตุผลหลายครั้ง แต่โดยรวมก็ดูสนุกน่าติดตาม และก็จบปิดปมหลักของซีซั่นได้ดี ก่อนทิ้งท้ายว่ามีซีซั่น 2 ต่อในตอนจบ