playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว My Name (Netflix) เมื่อผีเสื้อกลายร่างมาสาดแอ็กชั่นคิวบู๊สุดระห่ำ (ไม่มีสปอยล์)

My Name

สรุป

งานที่ยกระดับแนวทางใหม่ของซีรีส์เกาหลีไปสู่สากลทั่วโลกได้อย่างน่าชื่นชม ทั้งสไตล์ฟิล์มนัวร์ที่วางบทได้เข้มข้นดาร์คได้ใจ คิวบู๊แอ็กชั่นที่อัดมากระหน่ำตลอดเรื่องพร้อมบทรองรับแบบมีเหตุผล ตัวดาราสาวฮันโซฮีที่เป็นจุดขายหลักก็ผ่านเลยกับบทบู๊ต่างๆ ในเรื่อง จะมีตินิดหน่อยแค่หุ่นที่ยังไม่ได้ฟิตกล้ามของเธอเท่านั้น นอกจากนี้ตัวฉากในเรื่องยังรุนแรงโหดดิบทะลุเรตความรุนแรงกันสุดๆ พร้อมแอบขายฉากเซ็กส์ซีนโชว์เนื้อหนังมากกว่าซีรีส์เกาหลีปกติให้ได้ชมอีกด้วย

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
4.8 (5 votes)

Pros

  • นำเสนอโลกเทาๆ สองด้านตำรวจกับอาชญากรแบบฟิล์มนัวร์ที่เข้มข้นมาก
  • ฉากแอ็กชั่นอัดมาตลอดเรื่องพร้อมความโหดติดเรตรุนแรงสูงมาก
  • ดราม่าดึงอารมณ์ได้ในระดับที่มีอินตามได้แน่ๆ
  • มิตรภาพในโลกอาชญากรที่ทำออกมาดีมาก
  • ความสวยของฮันโซฮีที่ดึงดูดให้น่าดูขึ้นมาก
  • นักแสดงตีบทแตก ตัวหลักมีความสำคัญกับเรื่องเท่าเทียมกันหมด
  • มีเสียงพากย์ไทยที่ดีเลย

Cons

  • นางเอกไม่ได้ฟิตกล้ามจนหุ่นดูบาง
  • เนื้อเรื่องช่วงหลังเดาได้ไม่ยาก
  • ตอนจบหาทางออกง่าย เนื้อเรื่องถูกสคิป ขาดรายละเอียด
  • ตอน 8 สุดท้ายมีช่วงยืดยาวกับดราม่าฉากรักแทรกมาเยอะมากไปหน่อย

My Name ซีรีส์เกาหลีแนวแอ็กชั่นอาชญากรรม สไตล์ฟิล์มนัวร์ของ Netflix 8 ตอนจบ เรื่องราวของหญิงสาวผู้มีไฟแค้นหวังจะตามล่าฆาตกรที่สังหารพ่อ จนยอมเชื่อใจเจ้าพ่ออิทธิพลมืดแฝงตัวเข้าสังกัดกรมตำรวจ กลายเป็นสายลับสองหน้าที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการค้นหาความจริงภายใต้เรื่องราวความขัดแย้งของโลกทั้งสองด้านที่เทาๆ พอกัน

 My Name (2021) on IMDb

ตัวอย่าง My Name

ซีรีส์เกาหลีที่ Netflix สร้างเองมารวดเดียว 8 ตอนจบ ที่มีจุดขายหลักๆ คือดาราสาว ฮันโซฮี จากบท ดาคยอง เมียน้อยจาก A World of Married Couple กับ ผีเสื้อ Nevertheless รักนี้ห้ามไม่ได้  ซึ่งบทที่ผ่านมาเป็นแนวดราม่ารักทั้งนั้น ผลงานคราวนี้ของเธอเป็นแนวแอ็กชั่นจึงเป้นการพลิกบทบาทที่น่าสนใจว่าจากดาราสายละครดราม่าจะกลายมาเป็นดารานักบู๊ได้ดีพอหรือไม่

เนื้อเรื่องเริ่มจาก “ยุนจีอู” เด็กสาวที่เห็นพ่อถูกฆ่าตายต่อหน้า จึงออกตามหาคนที่ฆ่าพ่อของเธอโดยร่วมมือกับ “ชเวมูจิน” หัวหน้าแก๊งค้ายาดงชอนที่ช่วยเธอตามหาฆาตกร ด้วยการแทรกซึมเข้าไปในหน่วยงานยาเสพติดตำรวจตามเบาะแสที่เขาให้ไว้ว่าคนที่ฆ่าพ่อของเธอเป็นตำรวจ  โดยมีคู่หู “จอนพิลโด” ที่มีอดีตอันขมขื่นเช่นกันคอยช่วยเหลือโดยไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของเธอคือการหาหลักฐานความจริงจากหัวหน้าหน่วย “ชากีโฮ” ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนร้ายในคดีนี้

นี่เป็นงานซีรีส์เกาหลีที่พยายามยกระดับเปลี่ยนแนวทางของตัวเองจากละครแบบเดิมๆ ในทีวีที่มาขายพ่วงสตรีมมิ่ง ซึ่งที่ผ่านมาหลังๆ เราจะเห็นว่างานซีรีส์เน็ตฟลิกเกาหลีแตกต่างออกจากพวกที่ลงต่อสัปดาห์มาก ซึ่งงานที่ทำลงเน็ตฟลิกซ์มีอิสระยืดหยุ่นมากขึ้นเยอะ เกือบจะเรียกว่าไร้ข้อจำกัดเลยก็ได้ แม้จะยังมีติดๆ บางอย่างที่ยังไม่เท่าของฝรั่งอยู่บ้าง อย่างฉาก SEX โป๊เปลือยหรือตัวละคร LGTB แบบจัดจ้าน แต่งาน My Name นี้ก็เรียกว่าเกือบจะทลายข้อจำกัดนั้นได้หมดแล้ว  ซึ่งก็ต้องชมการเลือกดาราสาวฮันโซฮีมารับบทนี้ที่กล้าฉีกแนวทางก่อนๆ ของตัวเองไปจนหมดสิ้น

เริ่มตั้งแต่ฉากแอ็กชั่นที่เป็นจุดขายหลักของเรื่องนี้ เอากันตรงๆ ก็เป็นความพยายามทำตามแนวแอ็กชั่นนิยมหลังๆ จากจอห์นวิคที่มักให้ตัวเอกลุยเดี่ยวสู้คนเป็นสิบได้ อย่างเรื่อง Kate ที่ผ่านมาของ Netflix ก็เช่นกัน ซึ่งตัวฮันโซฮีกับฉากแอ็กชั่นต้องบอกว่าให้คะแนน 9 เต็ม 10 ได้เลย คือก่อนดูก็แอบปรามาสว่าเธอไม่น่าจะเล่นบทบู๊แหลกแบบนี้ได้เนียนมาก แต่พอได้รับชมจริงๆ คือผ่านเลย ไม่ขัดตา แอ็กชั่นลื่นไหล คิวบู๊ของเรื่องถูกวางเซ็ตติ้งออกมาดี แทบไม่รู้สึกถึงจังหวะหลอกตาอะไร แต่อาจจะติงนิดเดียวคือหุ่นของเธออย่างแขน ท้องน้อยยังไม่ได้ฟิตกล้ามมาเข้ากับบทสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ในเรื่องนี่จะเห็นเธอฝึกซ้อมหนักหลายครั้ง และตัวเรื่องก็วางว่าเธอฝึกซ้อมจากแก๊งอาชญากรรมมาก่อนเข้ากรมตำรวจ หุ่นของเธอน่าจะบึ๊กสมบทบาทกว่านี้แบบเดียวกับ  แมรี เอลิซาเบธ วินสตี ที่ปั้นหุ่นมารับบท Kate นักฆ่าสาวขององกรค์ลับในแบบเดียวกัน ซึ่งถ้าหุ่นเธอได้ผู้เขียนก็คงให้คะแนน 10 เต็มแบบไม่ลังเลเลยจริงๆ

ฉากแอ็กชั่นในเรื่องคือตัวขับเคลื่อนเรื่องแบบจริงจังตลอดเวลา โดยเนื้อเรื่องถูกวางจังหวะให้มีฉากแอ็กชั่นคั่นกันตั้งแต่แรกเริ่ม อย่างตอนเธอยังเป็นนักเรียนก็ต้องสู้กับพวกที่มารังแกเธอก็ยังไม่วายโชว์คิวบู๊ในห้องเรียนกันแต่แรก ซึ่งการที่ตัวเรื่องอัดแอ็กชั่นมาถี่ๆ บทก็ต้องคิดมาดีไม่ใช่แบบต้มยำกุ้งของไทยที่ยัดมาดุ่ยๆ โดยไม่มีบทดีๆ รองรับ ซึ่งเรื่องนี้คิวบู๊ถูกใส่มาพร้อมกับผลักดันเนื้อเรื่องไปข้างหน้าแบบค่อนข้างลงตัวไม่ขัดกับบท อาจจะมีความรู้สึกว่าผู้กำกับอยากโชว์ของถี่ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะเป็นปัญหาอะไร เพราะจุดขายของเรื่องคือตรงนี้ และทุกคิวบู๊ก็ออกแบบมาแตกต่างกันทั้งหมดเป็นอย่าง มีการใช้มือเปล่า เตะ ต่อย มีด ปืน สิ่งของรอบตัวครบ รวมถึงฉากขับรถไล่ล่าก็ยังมีเข้ามาหลายครั้ง ซึ่งแอ็กชั่นของเรื่องนี้ก็ติดเรตรุนแรงกันแบบจะๆ อย่างปาดคอเลือดพุ่ง มีดแทงทะลุตัว ยิงหัวทะลุแบบไม่เซ็น ซึ่งเทียบได้กับหนังฝรั่งแนวนี้ดีๆ เลย ผู้กำกับไม่มีลิมิตเรตติ้งอะไรทั้งสิ้นจึงประเดประดังความโหดเลือดสาดกันมาเต็มที่สมใจคนที่ชอบแนวนี้แน่นอนครับ

แต่ถึงฉากแอ็กชั่นจะเป็นจุดขายหลัก แต่ทางผู้กำกับเองก็ไม่ทิ้งสไตล์ดราม่าเกาหลีไปซะทีเดียว ต้องบอกว่าบทดราม่าของเรื่องนี้ถูกยกระดับขึ้นมาเป็นแนวฟิล์มนัวร์อาชญากรรมแบบจริงจัง ซับซ้อน สะเทือนใจ และเข้มข้นมากในระดับที่ผู้เขียนอยากนิยามว่ามันเป็นเหมือน สองคนสองคม Infernal Affairs  หนังฮ่องกงในตำนานที่ฮอลลีวู๊ดเองก็รีเมคไปจนได้ออสการ์ ที่ว่าหมือนเรื่องนี้ก็เพราะว่าบทของนางเอกคือสายแก๊งอาชญากรรมที่แฝงตัวเข้าไปในกรมตำรวจแบบเดียวกัน และตัวเรื่องยังมีจุดที่เหมือนสองคนสองคมซ่อนไว้อีก ผู้เขียนจะไม่สปอยล์แต่เอาว่าใครที่เคยดูสองคนสองคมมาก่อนก็ต้องแอบคิดบ้างว่านี่เป็นงานสไตล์เดียวกันแต่ไม่ได้ลอกอะไร และน่าชื่นชมมากกว่าที่บทแนวฟิล์มนัวของเกาหลีเขียนออกมาได้ดีขนาดนี้ ซึ่งมีทั้งความลึกของวงการอาชญากรรมแบบจริงจัง อย่างโรงฝึกซ้อมลูกน้องก่อนเข้าแก๊ง ลำดับชั้นในแก๊ง บทลงโทษ พิธีกรรมต่างๆ ของแก๊ง ซึ่งอะไรหลายอย่างชวนให้คิดถึงพวกหนังยากูซ่าญี่ปุ่นมากกว่าเกาหลี อาจจะเพราะแนวทางการใส่ชุดสูทแบบยากูซ่า การใช้ดาบซามูไรเป็นอาวุธของ ชเวมูจิน หัวหน้าแก๊งดงชอน มันชวนให้มองว่าเป็นยากูซ่ามากกว่า แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะเราเข้าใจได้ว่าคลาสของแก๊งในเรื่องคือใหญ่โตที่ 1 ของประเทศมีธุรกิจบังหน้าเป็นโรงแรมใหญ่โต ซึ่งตัวเรื่องวางบทของแก๊งไว้ละเอียดยิบจริงๆ ทำให้โลกอาชญากรรมในเรื่องดูสมจริงมาก ซึ่งตัวนางเอกเองก็ช่วงดราม่าความสัมพันธ์แบบมิตรภาพกับหัวหน้าแก๊งที่ทำออกมาดีมาก มันเป็นความสัมพันธ์แบบที่ดูแล้วกึ่งๆ พ่อลูกกับลูกน้องเจ้านาย ซึ่งทั้งคู่ก็มีช่วงตอบแทนกันและกันที่ดูแล้วทำให้เราแอบอินคล้อยตามไปกับมิตรภาพในโลกอาชญากรได้เลยเหมือนกัน

ส่วนโลกอีกด้านที่นางเอกใช้ชีวิตอยู่คือในหน่วยปราบปรามยาเสพติดของตำรวจ เนื้อเรื่องด้านนี้ก็ต้องบอกว่าดีงามไม่แพ้กัน  ด้วยความที่เป็นฟิล์มนัวร์จึงนำเสนอโลกตำรวจแบบเทาๆ เป็นหลัก ไม่ใช่ตำรวจแบบสายขาวสะอาดตั้งใจจับโจรแบบปกติในหนังทั่วไป ซึ่งการที่นางเอกเป็นตัวละครเทาๆ ต้องมาเจอกับโลกของตำรวจแบบเทาๆ ก็ทำให้ตัวเรื่องส่วนนี้น่าติดตามมากถึงมากที่สุด ในแง่ที่ว่านางเอกเองก็พยายามช่วยเหลือแก๊งดงซอนไปพร้อมกับการเป็นตำรวจบังหน้า เราจึงเห็นตัวละครจีอูเป็นตำรวจที่ทำเรื่องผิดกฎหมายตลอดทั้งเรื่องยันจบ แบบที่มีชะงักกลับมาขาวๆ ก็เป็นแค่ช่วงตอนท้ายไม่มาก ซึ่งการที่คาแรกเตอร์นางเอกเป็นแบบนี้แล้วทำให้คนดูยังเอาใจช่วยได้ก็เพราะการวางบทมาดีว่าเธอมีความแค้นเป็นไฟชีวิต และเป้าหมายที่แค้นคือคนในหน่วยที่เธอแฝงตัวเข้ามาเองแต่ยังหาหลักฐานเอาผิดตรงๆ ไม่ได้ ซึ่งตัวเรื่องก็วางบทให้ตัวละครตำรวจดูเป็นคนเทาๆ แยกไม่ออกตั้งแต่ จอนพิลโด คู่หูของนางเอกแม้เราจะรู้ว่าหมอนี่คือพระเอก แต่นี่ไม่ใช่คาแรกเตอร์แบบพระเอกเกาหลีปกติเลย เขามีความแรงใส่กับจีอูตั้งแต่แรก และยังแอบสงสัยพฤติกรรมแปลกๆ ของเธอจนแอบตามสืบ โดยที่ตัวเขาเองก็มีอะไรบางอย่างปกปิดไว้ร่วมกับหัวหน้าชากีโฮที่ดูมีลับลมคมในมาก ซึ่งตัวเรื่องวางเขาเป็นตัวละครเทาๆ เข้มสุดของฝ่ายตำรวจในเรื่อง อย่างการทำงานแบบปล่อยให้อาชญากรฆ่ากันเองโดยไม่ห้าม เพราะมองว่าพวกเลวๆ แบบนี้ตายไปซะได้ก็ดี หรือความเกี่ยวข้องปิดบังคดีการตายของพ่อนางเอก ซึ่งอะไรหลายอย่างทำให้ตัวละครนี้ดูเทาๆ จนคนดูต้องอ่านไม่ออกว่าเขาคือตำรวจดีหรือร้ายของเรื่องนี้กันแน่

 

นอกจากนี้ยังมีบทพ่อของนางเอกที่ตายตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง โดยเขาเป็นคนในแก๊งดงชอนที่พาลทำให้ชีวิตนางเอกตอนเด็กถูกรังเกียจ กลายเป็นดราม่าพ่อลูกที่เข้าใจกัน แต่เมื่อเขาตายไปเธอจึงพึ่งรู้ถึงความสำคัญของการมีพ่อที่แม้ไม่ใช่คนดีในสังคม แต่กับเธอก็เป็นพ่อที่พยายามทำอะไรดีๆ ให้เธอตลอด ตัวเรื่องใช้ความทรงจำของนางเอกเล่าย้อนกลับไปช่วงเวลาดีๆ ที่ทั้งคู่ผูกพันกันหลายครั้ง และยังมีฉากย้อนอดีตของชเวมูจินที่เป็นเพื่อนรักกับพ่อของเธอด้วย ซึ่งตัวละครนี้จะมีฉากแฟลชแบ็คกลับมาเรื่อยๆ และมีปมเฉลยเรื่องราวรันทดหดหู่ชวนให้อินตามได้เลย

นอกจากนี้ยังมีตัวละครที่อาจจะพิเศษหน่อยคือ “โดคังแจ” คู่อริของนางเอกตั้งแต่นางเริ่มเข้าแก๊ง และพยายามมอมยาข่มขืนนาง แต่ไม่สำเร็จ จนกลายเป็นถูกขับออกแก๊งพร้อมบาดแผลฝังลึกบนใบหน้า ตัวละครนี้คือตัวแทรกมากลางเรื่องเป็นชนวนระเบิดที่ทำให้แก๊งดงชอนสั่นคลอน และถูกตำรวจนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางอ้อมไปด้วย ซึ่งบทของโดคังแจคืออะไรที่ดีงามมากในเรื่อง เรียกว่าเขาไปสุดโต่งของขั้วความเลวในเรื่องแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อมหรือมีพิธีการอะไรแบบดงชอน ทุกครั้งที่เขาออกมาคือความโหดดิบของเรื่องจะทะลุปรอททันที เอาว่าแม้แต่ตัวเอกหลักอย่างชเวมูจินก็ยังไม่รู้สึกว่ามีฉากโหดดิบเท่ากับฉากของตัวละครนี้เลย

ส่วนแฟนซีรีส์เกาหลีปกติที่ยังติดฉากรักโรแมนติก ก็ต้องบอกเลยว่าในเรื่องนี้แทบไม่มีแห้งหืดเลยก็ว่าได้ไปตลอดเรื่องจนตอน 8 เหมือนผู้กำกับกลัวโดนว่าจากแฟนๆ ดั้งเดิมก็เลยจัดมาให้ในตอนสุดท้ายนี้เยอะหน่อย มีฉากพูดคุยซึ้งๆ คั่นยาวจนดูอืดๆ ไปบ้าง รวมถึงมีซีนฉาก SEX ให้ได้รับชมกันในแบบที่เป็นไปได้ที่สุดเท่าที่ดาราเกาหลีจะให้ได้ในตอนนี้ ซึ่งก็ประมาณว่าเห็นทั้งตัวนางเอกแต่จากด้านข้าง และก็มีการเบลอภาพผ่านฟิลเตอร์ช่วยเพิ่มอีกทาง ซึ่งฉากตรงนี้มีความหมายสำคัญกับเรื่อง เพราะจะเป็นตัวพาเนื้อเรื่องไปสู่จุดหักเหครั้งใหญ่ตอนท้าย

และการที่ตัวนางเอกเทาๆ จนถึงขั้นดาร์คก็ทำให้ตอนจบของเรื่องนี้ดูท้าทายมากว่าจะให้ลงเอยแบบไหน ซึ่งตามสไตล์ฟิล์มนัวร์มักจบหดหู่กันทั้งนั้น ก็ต้องบอกว่าตัวเรื่องนี้จบแบบค่อนข้างชิลมากไปหน่อยในสไตล์ฟิล์มนัวร์ อาจจะเป็นจุดด้อยหลักของเรื่องเลยก็ได้ คือต้องบอกว่าทุกอย่างในเรื่องถูกปูมาเพื่อตั้งความคาดหวังว่าตอนจบต้องพีคสุดๆ ทั้งฉากแอ็กชั่น เนื้อเรื่องที่บีบคั้นแทบไร้ทางออก แต่ตัวเรื่องขายแค่ฉากแอ็กชั่นนางเอกลุยเดี่ยวล้วนๆ กับการดวลกับลาสบอสที่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าพีคเท่ากับช่วงที่ผ่านมานัก แต่ก็ต้องบอกว่าไม่ใช้ทำออกมาไม่ดี คือดีแต่แค่ไม่สุด แล้วก็จบแบบหาทางออกให้นางเอกง่ายๆ โดยไม่มีรายละเอียดให้เราได้รับรู้ เนื้อเรื่องถูกสคิปข้ามไปเลย จนเหมือนบทตอนจบละเลยเหตุผลตามจริงมากไปครับ

อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นผลงานยกดับซีรีส์เกาหลีสู่อินเตอร์แบบที่น่ายกย่องมากๆ เรียกว่ามาถูกทางแล้วกับการสร้างซีรีส์ลงเน็ตฟลิกเองของผู้สร้างเกาหลีทีทะยอยมาลงเรื่อยๆ กลายเป็นรสชาติใหม่ของเกาหลีที่อร่อยในแบบสากลที่เชื่อว่าโลกน่าจะตอบรับซีรีส์เรื่องนี้ให้ดังได้แน่นอนครับ

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!