playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Only Murders in the Building (Disney+) ซีรีส์สืบสวนแบบบ้านๆ แต่สดใหม่ไม่เหมือนใคร

Only Murders in the Building

สรุป

ซีรีส์สืบสวนแบบบ้านๆ แต่สดใหม่ในแนวทางนี้ได้แบบไม่เหมือนใคร ตัวเรื่องดูสนุกเพลินไปกับการไขคดีที่ลึกลับซับซ้อนคาดเดาเรื่องแทบไม่ได้เลยไปจนจบ โดยปิดคดีหลักเคลียร์ได้ทั้งหมดก่อนเปิดทางทำต่อซีซั่น 2 กันทันทีจากตอนจบ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • การสืบสวนแบบบ้านๆ แต่สดใหม่สนุกอย่างไม่น่าเชื่อ
  • คดีลึกลับซับซ้อนเกินคาดเดาได้
  • แต่ละตอนมีเอกลักษณ์การเล่าเรื่องเฉพาะตัวแตกต่างกัน
  • นักแสดงหลัก 3 คนเล่นได้เข้าขากันดีมาก
  • มีติดตลกเพี้ยนๆ หลุดโลกปนมาด้วย
  • การเล่าเรื่องโดยใช้พอดแคสต์มาเป็นเรื่องราวหลักด้วย

 

Cons

  • มีฉากตลกเพี้ยนๆ ค่อนข้างเยอะ ทำให้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแนวสืบสวนเข้มๆ หรือเน้นสมเหตุผลอะไรมาก ถ้าใครคาดหวังแบบนี้คงต้องข้ามผ่านไปเลย

Only Murders in the Building ซีรีส์แนวตลกสืบสวนของ Hulu มาลง Disney+ เรื่องราวของคดีฆาตกรรมในอาคาร ผ่านการสืบสวนผู้อยู่อาศัยในตึก 3 คนต่างวัยมาร่วมกันทำพอดแคสต์ไขคดีปริศนาในตึกนี้

 Only Murders in the Building (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Only Murders in the Building

ลืมแนวสืบสวนฆาตกรรมแบบเดิมๆ ไปได้เลย เพราะนี่เป็นซีรีส์แนวสืบสวนฆาตกรรมแบบบ้านๆ ธรรมดาๆ แต่กลับสร้างออกมาได้สนุกน่าติดตามอย่างเหลือเชื่อ ด้วยเรื่องราวของแฟนพอดแคสต์อาชญากรรม 3 คน ชาร์ลส์, โอลิเวอร์ และเมเบิล (แสดงโดย Martin Short  Steve Martin Selena Gomez) ที่อยู่อาศัยในตึกที่เกิดคดีฆาตกรรม “ทิม โคโน” ชายผู้รักสันโดษยิงตัวตาย แต่พวกเขาเชื่อว่าเป็นการจัดฉากฆาตกรรมอำพราง จึงลงมือสืบสวนเรื่องราวนี้พร้อมกับทำพอดแคสต์คดีนี้ในชื่อ Only Murders in the Building

ซีรีส์มีทั้งหมด 10 ตอน ตอนละประมาณ 30 นาทีเท่ากันหมด โดยทำเรื่องราวในแต่ละตอนเป็นแนวพอดแคสต์ผสมกับการสืบสวนคดีฆาตกรรมไปพร้อมกัน จุดเด่นที่สุดคือการให้แต่ละตอนมีเอกลักษณ์พิเศษแตกต่างกันไปเรื่อยๆ โดยเริ่มจากตอนแยกเล่าเรื่องของตัวละครหลักทั้ง 3 คนเพื่อให้รู้แบ็คกราวด์ที่มาที่ไปนิสัยใจคอ อย่างชาร์ลส์คือคนสูงวัยที่กำลังจะเสียบ้านเพราะไม่มีงานทำ ลูกก็ไม่รัก โอลิเวอร์คือคนสูงวัยที่ยึดติดกับชื่อเสียงเก่าๆ จากที่เล่นเป็นตัวเอกในซีรีส์สืบสวน เมเบิลคือผู้หญิงรุ่นใหม่ที่มีอดีตลึกลับเกี่ยวข้องกับตึกแห่งนี้  โดยตอนแยกก็เล่าเรื่องราวการสืบคดีในปัจจุบันไปพร้อมกัน นอกเหนือจากนั้นก็เป็นตอนที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะเล่าเรื่องต่างกันไปเรื่อยๆ อย่างตอน 7 เป็นการเล่าเรื่องแบบไม่มีบทพูด เหมือนหนังเงียบ โดยอิงกับเหตุการณ์ในเรื่องตอนนั้นที่ต้องห้ามใช้เสียงพูดคุย แต่ใช้ท่าทางแทนบทพูดที่คนดูเข้าใจอย่างเป็นธรรมชาติ กลายเป็นตอนที่ติสแหวกแนวมาก แต่กลับออกมาสนุกด้วยจังหวะต่างๆ ที่ลงตัว หรือตอนที่เล่าเรื่องในมุมของแฟนคลับพอดแคสต์ ที่แฟนแต่ละคนก็มีไอเดียทฤษฎีฆาตกรรมแหวกแนวในมุมมองแบบแฟนคลับที่เก็บรายละเอียดจากจุดที่ตัวเอกหลักมองไม่เห็น

ส่วนคดีในเรื่องหลักคือการสืบหาการตายของทิมโคโน ที่ยาวไปจนจบ 10 ตอนถึงจะปิดคดีลงได้ แต่ในระหว่างทางจะมีคดีซ้อนอีกถึง 2 คดีที่เกี่ยวข้องทั้งในอดีตกับปัจจุบัน ทำให้ตัวเรื่องลึกกว่าที่เห็นมาก แต่แนวทางการสืบคดีในเรื่องจะเป็นแบบบ้านๆ คนธรรมดา 3 คนที่คลั่งไคล้อาชญากรรมพยายามสืบเรื่องราวกันเองจากการสอบถามข้อมูลผู้คนในตึก การปะติดปะต่อเรื่องราวจากคนในตึกเมาธ์นินทากันเอง  หลักฐานจากการคุ้ยถุงขยะ ทฤษฎีสมคบคิดที่แต่ละคนพยายามถกกัน  โดยมีตำรวจมาเกี่ยวข้องนิดหน่อยจากวงนอกเท่านั้น แต่ในความบ้านๆ นั้นกลับทำให้รู้สึกสดใหม่แบบที่ไม่มีเรื่องไหนทำแบบนี้อย่างจริงจังมาก่อน เพราะส่วนมากตัวเอกในแนวสืบสวนต้องเก่งมาแต่แรก ไหวพริบดี มีโปรไฟล์ด้านการสืบสวนติดตัวมา แต่ในเรื่องนี้ตัวเอกทั้ง 3 คนไม่ได้มีโปรไฟล์ด้านการสืบสวนของจริงเลยสักนิด (มีแค่โอลิเวอร์เป็นพระเอกซีรีส์สืบสวนยุคเก่า) และทั้ง 3 คนก็ยังมีความขัดแย้งถกเถียงในแนวทางสืบสวนกันอยู่ตลอดเวลา และก็ไม่มีใครถูกหรือผิดหรือใครเก่งกว่ากัน เนื้อเรื่องมีพลิกไปพลิกมาตามทางของแต่ละคนไปจนจบเรื่องแบบที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย เพราะความบ้านๆ ของเรื่องราวแบบที่คาดเดายากมากว่าใครกันแน่เป็นร้ายในตึกแห่งนี้

และจุดเด่นอีกอย่างคือพวกมุกติดตลกในเรื่องทำออกมากลมกลืนไปกับเรื่องราวได้ดี อาจจะมีเพี้ยนๆ หลุดโลกบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในกรอบแนวทางการสืบสวนที่มีประโยชน์กับเรื่อง โดยตัวละครหลักที่เน้นยิงมุกคือ ชาร์ลส์กับโอลิเวอร์ สองคนแก่วัยเกษียนที่มีปมบอบช้ำในชีวิตแตกต่างกัน แต่ตัวเรื่องเอาปมบอบช้ำของทั้งคู่มาเป็นมุกตลกให้เข้ากับเรื่องได้เป็นอย่างดี อย่าง โอลิเวอร์ที่มีปัญหาถูกแฟนทิ้งต้องมาเจอกับสาวคนใหม่วัยเดียวกันในตึก ที่กลายมาเป็นคู่หูช่วยกันยิงมุกคนแก่ที่อาจจะดูตลกฝืด แต่ก็ติดขำเล็กๆ เข้ากับบทสนทนาในเรื่อง ส่วนตัวชาร์ลส์ที่ตกงานไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้องก็หวังใช้พอดแคสต์มาหาเงิน โดยหลอกล่ออีกสองคนมาร่วมด้วยช่วยเสียตังโดยไม่รู้ตัว และตัวเขาเองก็มักจะมีจินตนาการประหลาดถึงแนวทางการสืบสวนแบบจำลองละครเวทีในอดีตที่เขาเคยมีชื่อเสียง ซึ่งทั้งสองคนนี้มีจุดร่วมกันคือการยึดติดกับอดีตอันรุ่งโรจน์ และพยายามทำให้การสืบคดีพร้อมกับทำพอดแคสต์นี้เป็นจุดกลับมาแจ้งเกิดของทั้งคู่ให้ได้

ทิม โคโน

ตัวเรื่องจบในซีซั่นเกี่ยวกับคดีหลักของทิม โคโน แต่ตอนเริ่มเรื่องฉากแรกก็มีการวางซีซั่น 2 ไว้แล้วเมื่อเมเบิลถูกจัดฉากใส่ร้ายฆาตกร ซึ่งจุดนี้เป็นเทคนิคหลอกให้คนดูติดตามเพราะคิดว่าฉากนี้จะเกี่ยวกับคดีหลักที่อาจจะปิดไม่ลง แต่กลายเป็นฉากเปิดเรื่องกลับเป็นฉากปิดท้ายเพื่อไปต่อซีซั่น 2 ต่อเนื่องทันที และก็วางเส้นเรื่องสืบสวนคดีใหม่ที่ยังอยู่ในตึกเดิมได้น่าตื่นเต้นกว่าซีซั่นแรกซะอีก เพราะคราวนี้กลุ่มตัวเอกหลักโดนตกเป็นผู้ต้องหาซะเอง

ปิดท้ายเลยว่านี่เป็นซีรีส์แนวสืบสวนแบบบ้านๆ ที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครจริงๆ แม้จะไม่ใช่ซีรีส์ของดิสนีย์+แท้ๆ แต่ก็ควรค่ากับการรับชมมากครับ

 

 

ติดตามอ่านรีวิวเรื่องอื่นในดิสนีย์+ ได้ที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!