playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Outside the Wire (Netflix) สงครามยุคอนาคตสุดล้ำกับชีวะจักรกลประดิษฐ์

สรุป

หนังตอบโจทย์คอแอ็กชั่นหนังสงครามได้แน่ๆ หนังโชว์ฉากรบในอนาคตในแบบเรียลๆ ต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลังจะพลิกเป็นอีกแนว แต่สิ่งที่หนังพยายามเป็นมากกว่านั้นคือการพูดถึงล้วงลึกถึงความคิดของชีวะจักรกลประดิษฐ์ของตัวเอกในเรื่อง ซึ่งทำออกมาได้ดีเลย แล้วนักแสดงอย่าง Anthony Mackie ก็ถนัดกับบทแบบนี้มาก ปัญหากลับกลายเป็นตัวเอกร่วมอีกคนที่เป็นดาราโนเนม แต่ถูกดันขึ้นมาคู่กับเขา โดยบทที่เขียนออกมาพยายามให้เขาเป็นอเมริกันฮีโร่แบบไม่น่าเชื่อถือ จนฉุดให้ส่วนของ Anthony ดูอ่อนยวบตามไปด้วยอย่างน่าเสียดายจริงๆ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ฉากสงครามไซไฟในอนาคตอันใกล้ที่มีอุปกรณ์การรบในแบบเป็นไปได้จริง
  • มีส่วนของศีลธรรมความคิดของตัวเอกชีวะจักรกล ช่วยยกระดับให้เรื่องดูมีอะไรลึกๆ มากขึ้น
  • ฉากแอ็กชั่นไซไฟเยอะ CG เนียนตา

Cons

  • บทในช่วงหลังขาดความสมเหตุผลหลายอย่าง
  • เรื่องช่วงหลังเคลียร์สถานการณ์ผ่านกันง่ายๆ จนไม่มีอะไรให้ลุ้น
  • นักแสดงนำในบทฮาร์ฟยังไม่มีพลังพอถึงขั้นเป็นพระเอกหนังแอ็กชั่นได้

Outside the Wire สมรภูมินอกลวดหนาม หนังสงครามในยุคอนาคตของ Netflix ที่หยิบจับเอาเรื่องราวปัญหาการแบ่งแยกดินแดนของยูเครนในปัจจุบันมาเป็นฉากหลังเรื่อง โดยมีทหารเหนือมนุษย์ที่ต้องปฏิบัติภารกิจลับเพื่อหยุดยั้งชนวนเหตุสงครามระดับโลกจากเรื่องนี้ กับนักบินโดรนที่ต้องออกมาปฏิบัติภารกิจภาคสนามจริงครั้งแรก
 Outside the Wire (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Outside the Wire สมรภูมินอกลวดหนาม

หนังแนวสงครามแอ็กชั่นไซไฟที่ได้ Anthony Mackie นักแสดงขาประจำที่มักรับบทแนวไซไฟที่คุ้นกันดีคือบท ฟาลคอน ในหนังของ Marvel ต่อด้วย Altered Carbon ss2  และก็มาเล่นตอนหนึ่งใน Black Mirror SS5 ตอน Striking Vipers ที่ยังคงเกี่ยวกับเทคโนโลยีเกมต่อสู้ล้ำๆ และมาเรื่องนี้เขาก็รับบทเป็น “ลีโอ” นายทหารที่ไม่ใช่มนุษย์ แต่เหมือนมนุษย์ และมีความสามารถเหนือมนุษย์ ที่ในเรื่องเรียกว่า “เทคโนโลยีชีวภาพ รุ่นที่ 4” ในยุคอนาคต ปี 2034 ที่มีหุ่นยนตร์ทหารใช้งานกันเป็นปกติแล้วในทุกประเทศ โดยเล่นคู่กับ Damson Idris ดาราที่ค่อนข้างโนเนม มีผลงานจาก Black Mirror SS5 ในตอน Smithereens  มาในเรื่องนี้เขารับบทนักบินโดรนนามว่า “ฮาร์ฟ” ที่ถูกส่งมาประกบคู่ทำภารกิจกับลีโอ เพื่อหยุดยั้งแผนของผู้ก่อการร้ายครั้งใหญ่ในรัสเซีย

ตัวหนังเริ่มขึ้นด้วยฉากโชว์สงครามไฮเทคในยุคนั้น ที่มีหุ่นทหารแนวหน้าออกลุยแทนมนุษย์ที่อยู่เบื้องหลัง ส่วนฮาร์ฟเองเป็นนักบินโดรนสังหารที่ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา โดยคิดตัดสินใจเองว่าการยิงจรวดถล่มอีกฝ่ายเพื่อช่วยทหารฝ่ายที่เหลือ แม้จะมีทหารฝ่ายอเมริกาตายจากลูกหลงนี้ไป ก็ถือว่าช่วยทหารส่วนใหญ่ออกจากสมรภูมิปิดตายนี้ได้ ซึ่งเรื่องนี้เองทำให้เราได้รู้ว่า นี่ไม่ใช่หนังสงครามหรือบู๊ล้างผลาญโดยตรง เพราะเปิดเรื่องด้วยคำถามที่ว่าการเสียสละคนส่วนน้อยเพื่อคนส่วนใหญ่ถูกต้องหรือไม่? ซึ่งฮาล์ฟเองมั่นใจว่าตัดสินใจไม่ผิด แต่เขาก็ถูกรับโทษที่ขัดคำสั่ง และถูกส่งไปหาลีโอ ซึ่งเขามารู้ต่อมาว่าลีโอไม่ใช่มนุษย์ และก็ไม่ใช่เครื่องจักรสงคราม มีความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากมนุษย์และสติปัญญาความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งเป็นอะไรที่เหนือล้ำเกินคาดเดาได้

ตัวหนังเดินเรื่องด้วยฉากแอ็กชั่นสงครามกลางเมืองในยูเครน ซึ่งสหรัฐเข้ามามีเอี่ยวพยายามลดบทบาทของรัสเซียไม่เปลี่ยนไปจากปัจจุบัน ซึ่งเรื่องก็ไม่รีรอที่จะใส่ฉากแอ็กชั่นเข้ามาเรื่อยๆ ไม่หยุด ใครที่คาดหวังฉากแอ็กชั่นสงครามไซไฟไม่น่าจะผิดหวังเลย CG เนียนตา แม้อาจจะไม่ล้ำแบบมีเลเซอร์ยิงกัน แต่เทคโนโลยีทางทหารในเรื่องก็เป็นอะไรที่ดูเป็นไปได้ และก็มีฉากโชว์หุ่นสงครามทั้งอเมริกากับรัสเซียพอกัน แต่อาจจะไม่ถึงขั้นอมตะอะไรมากแบบคนเหล็ก เพราะยังเป็นแค่หุ่นรบแนวหน้าแทนมนุษย์ที่ถูกยิงทำลายด้วยอาวุธหนัก (หน่อย) ได้อยู่ดี แต่ฉากพวกนี้ก็ถือว่าเป็นจุดขายหลักของเรื่องที่ดีเลย โดยมีฉากโชว์ความสามารถจากร่างชีวะจักรกลของลีโอเสริมเข้ามาทำให้เรื่องดูล้ำเข้าไปอีก

แต่สิ่งที่หนังอยากขายและเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องคือ คำถามในตอนแรกที่เรื่องเริ่มไว้กับการตัดสินใจของฮาร์ฟว่าถูกต้องหรือไม่? เมื่อมาอยู่กับลีโอที่เป็นเครื่องจักรสงครามที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่ปฏิบัติตัวนอกกรอบแบบเดียวกับฮาล์ฟ ฉากแอ็กชั่นแต่ละครั้งที่เรื่องใส่เข้ามามักจะต้องมีคำถามในแง่ศีลธรรมตามมา เมื่อลีโอไม่แคร์ที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายตายอย่างทรมาน แต่ก็ช่วยเหลือผู้คน และยึดมั่นในภารกิจกู้โลกจากผู้ก่อการร้ายบ้าคลั่งที่หวังได้จรวดหัวรบนิวเคลียร์จากในอดีตมาครอบครอง กลายเป็นฮาร์ฟเองที่กลับเริ่มรู้สึกผิดจากการตัดสินใจที่ผ่านมาในฐานะนักบินโดรนสังหารของเขา เมื่อมาอยู่ในพื้นที่สมรภูมิภาคสนามด้วยตัวเองครั้งแรก ทำให้เห็นภาพความเสียหายจากสงครามที่เขาเคยก่อขึ้น โดยมีพลเรือนจำนวนมากถูกลูกหลงที่เขาไม่เคยคิดถึง ซึ่งนี่เองเป็นสิ่งที่ทำให้หนังดูมีอะไรมากกว่าฉากแอ็กชั่นสงครามยิงกันทั่วไป และก็เป็นที่มาของชื่อเรื่อง Outside the Wire สมรภูมินอกลวดหนาม

ตั้งแต่ย่อหน้านี้ไปมีสปอยล์เบาๆ บางส่วนของเรื่อง

ตัวเรื่องจริงๆ เริ่มขึ้นในชั่วโมงหลัง เมื่อฮาร์ฟเองเริ่มกลายเป็นคนละคนกับตอนแรก และลีโอเองก็เผยให้เห็นว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นเช่นไร ซึ่งอาจจะไม่ถึงกับหักมุมอะไร เพราะเรื่องค่อนข้างเผยมาเป็นระยะๆ ว่าไม่ได้จบที่ภารกิจตามล่าผู้ก่อการร้ายอย่างที่เรื่องวางไว้ในตอนแรก ต้องบอกว่าจุดนี้เป็นจุดที่ดีสุดของเรื่องแล้ว เมื่อหนังเอาเรื่องศีลธรรม ความขัดแย้งในใจ ความเป็นมนุษย์ในจักกลชีวะของลีโอมาเล่นจริงจัง แม้อาจจะไม่ได้สมเหตุผลและก็ดูง่ายไปเหมือนกันที่ลีโอกลายมาเป็นแบบนี้ แต่นี่ก็คือสิ่งที่หนังทำได้ดีสุด ในแง่ของหนังสงครามไซไฟที่ไม่ได้มีแค่ฉากแอ็กชั่นยิงกันจนจบเรื่องไปเฉยๆ ทำให้เรื่องดูมีอะไรน่าพูดถึงลึกๆ มากกว่าที่เห็นภายนอก

แต่ปัญหาของเรื่องก็เริ่มมาตอนนี้พร้อมกัน ด้วยการดันบทให้ฮาร์ฟกลายมาเป็นตัวนำเรื่องเต็มตัวชัดเจน โดยที่พื้นฐานตัวละครที่ปูมาไม่น่าเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ซึ่งเวลาในเรื่องคือวันเดียว การเปลี่ยนตัวละครจากนักบินโดรนหลังจอ กลายมาเป็นทหารฮีโร่ภาคสนามบุกช่วยคนและกู้โลก แบบง่ายๆ ด้วย มันกลายเป็นอะไรที่ดูไม่สมเหตุผลตลอดช่วงครึ่งหลัง ซึ่งบารมีของนักแสดงเองก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นพระเอกให้คนเชื่อด้วย เลยกลายเป็นเรื่องดูไม่น่าเชื่อ แถมบทยังเล่นง่ายให้ฮาร์ฟคิดอะไร ทำอะไรก็สำเร็จแบบง่ายๆ ไปหมดแบบพระเอกฮีโร่ ยิ่งตอกย้ำให้การขึ้นมานำในช่วงหลังเป็นอะไรที่ไม่อินไม่สมเหตุผลเอามากๆ

ตัวเรื่องแม้จะฉีกให้ดูมีอะไรมากไปกว่านั้นได้ตรงส่วนของลีโอแล้ว แต่สุดท้ายบทก็เป็นไปตามสูตรสำเร็จหนังทหารฮีโร่อเมริกาธรรมดาจนเกินไปในตอนจบของเรื่อง ยิ่งกับประโยคเชยๆ อย่างมนุษย์เปลี่ยนได้ ที่ไม่ว่ากี่เรื่องๆ ก็มักหยิบมาใช้ให้คนพูดดูเท่ แต่กลายเป็นว่าเรื่องนี้ดูธรรมดาไปเลย เมื่ออุตส่าห์ตั้งคำถามกับสิ่งที่ฮาร์ฟทำในสเกลเล็กเมื่อเทียบกับลีโอทำเช่นกัน กลายเป็นหนังไม่กล้าเล่นนอกกรอบความคิดที่หนังปูมาเองไปโดยปริยาย และก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งกันง่ายๆ ซึ่งแอบผิดหวังมากที่เรื่องลงเอยแบบนี้ (ลองคิดถึง Watchmen ที่เรื่องตอนจบแบบเดียวกัน แต่กล้าจบแบบมีอะไรให้คิดตกผลึกมากกว่า)

สปอยล์เรื่องของลีโอ

ครึ่งหลังลีโอกลายมาเป็นตัวร้ายหลักของเรื่องแทนผู้ก่อการร้าย โดยมีเจตนาดีเพื่อช่วยเหลือผู้คนจากการสร้างอาวุธของอเมริกาที่เป็นผู้สร้างเขาขึ้นมาเอง โดยปัญญาประดิษฐ์ของลีโอคิดว่าตัวเขาเองคือหลักฐานยืนยันว่าผู้สร้างอาวุธในอเมริกาเป็นภัยต่อโลกมากกว่า ก็เลยยึดเอาจรวดนิวเคลียร์มาเพื่อยิงใส่อเมริกา เอาคนร้อยล้านแลกกับการที่อเมริกากับโลกได้ตระหนักว่าควรหยุดสร้างอาวุธจักรกลไฮเทคได้แล้ว

 

สรุปโดยรวม

หนังตอบโจทย์คอแอ็กชั่นหนังสงครามได้แน่ๆ หนังโชว์ฉากรบในอนาคตในแบบเรียลๆ ต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรก ก่อนที่ครึ่งหลังจะพลิกเป็นอีกแนว แต่สิ่งที่หนังพยายามเป็นมากกว่านั้นคือการพูดถึงล้วงลึกถึงความคิดของชีวะจักรกลประดิษฐ์ของตัวเอกในเรื่อง ซึ่งทำออกมาได้ดีเลย แล้วนักแสดงอย่าง Anthony Mackie ก็ถนัดกับบทแบบนี้มาก ปัญหากลับกลายเป็นตัวเอกร่วมอีกคนที่เป็นดาราโนเนม แต่ถูกดันขึ้นมาคู่กับเขา โดยบทที่เขียนออกมาพยายามให้เขาเป็นอเมริกันฮีโร่แบบไม่น่าเชื่อถือ จนฉุดให้ส่วนของ Anthony ดูอ่อนยวบตามไปด้วยอย่างน่าเสียดายจริงๆ

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!