playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Paper Girls คอนเซ็ปต์ไอเดียดีมาก แต่ดำเนินเรื่องพลาดจนน่าเสียดาย (ไม่สปอยล์)

Paper Girls

Summary

ซีรีส์ที่อาจจะดูเหมือน Stranger things แต่ไม่ได้ลอกกันมาแน่นอน เพราะคอมมิคมาก่อนและก็เป็นแนวไซไฟข้ามเวลาเต็มตัว ตัวเรื่องมีคอนเซ็ปต์โครงเรื่องที่ดีมากกับการยกปัญหาคนรุ่นใหม่ในโลกจริงสวมทับเข้าไปในโลกสมมุติในอนาคตที่ข้ามเวลากลับมาแก้ปัญหาในอดีตได้ แต่กลับกลายเป็นความขัดแย้งกับผู้ใหญ่ฝ่ายที่กุมอำนาจมาตลอด จนเป็นสงครามทางความคิดที่ลุกลามไปใหญ่โต แต่ตัวเรื่องกลับมีปัญหาตรงการดำเนินเรื่องที่เน้นดราม่าชีวิตตัวละครเด็กหลังพบเจอตัวเองในอนาคตมากเกินไป แทบจะเรียกได้ว่าส่วนไซไฟที่เป็นคอนเซ็ปต์ดีๆ ของเรื่องน้อยลงไปมากจนเสียบาลานซ์ความน่าติดตามไป และ CG ก็ยังดูไม่ดีมาก แค่พอดูได้ ทำให้บางฉากที่ต้องควรว้าวกับไอเดียบรรเจิดของเรื่องกลับดูธรรมดาไปเลย แต่จุดดีที่ต้องยกให้จริงๆ คือนักแสดงเด็กทั้ง 4 คนเล่นได้ดี มีเสน่ห์คาแรกเตอร์ที่แตกต่างพร้อมใส่ปมปัญหาแนวคิด สังคม การใช้ชีวิตจากยุค 80 90 มาได้ดีเลย แต่ตอนจบพึ่งเข้าสู่เรื่องราวจริงๆ ที่น่าติดตาม จนรู้สึกว่าถ้าไม่ได้สร้างต่อก็น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน (แนะนำให้รอดูประกาศสร้างต่อหรือโดนยกเลิก หลังจากนี้ก่อนก็ได้ครับ)

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • แนวย้อนยุคไซไฟข้ามเวลาโดยตัวละครเป็นเด็กผู้หญิงทั้งหมด
  • คอนเซ็ปต์ความขัดแย้งระหว่าง GEN ของเรื่องดีมาก
  • นักแสดงตัวเอกทั้ง 4 คนเล่นดีเหมาะสมกับบท
  • ใส่ปมปัญหาแนวคิดยุค 80 90 มาในหลายๆ จุด
  • มีซับไทย

Cons

  • ใส่พาร์ทดราม่าชีวิตตัวละครมาเยอะจนกินเวลาส่วนไซไฟหายไปทั้งตอน ทำให้เรื่องราวไม่บาลานซ์ขาดช่วงน่าติดตามต่อเนื่อง
  • CG ไม่ดีพอกับเรื่องราวในหลายๆ ฉาก

Paper Girls เปเปอร์เกิร์ล ซีรีส์ดังจากคอมมิคค่าย Image Comics ที่วางขายปี 2015-2019 มีจำนวน 30 เล่มจบ และก็ถูกนำมาสร้างโดย Stephany Folsom ที่เขียนบททอยสตอรี่ 4 ลงบน Amazon Prime มีทั้งหมด 8 ตอนจบซีซั่นแรก โดยเป็นเรื่องราวของแก๊งเด็กสาวส่งหนังสือพิมพ์ 4 คนที่ถูกส่งข้ามเวลาจากปี 1988 ข้ามมายังอนาคตปี 2019 ก่อนจะไปติดอยู่กลางสงครามข้ามเวลาในโลกอนาคต

 Paper Girls (2022) on IMDb

รีวิว Paper Girls

ซีรีส์เรื่องนี้แน่นอนว่าต้องถูกมองว่าพยายามทำตาม Stranger things ของ Netflix ด้วยความเหมือนตั้งแต่แก๊งเด็กผจญภัยเรื่องลึกลับ ท้องฟ้าสีแปลกๆ ที่ชวนให้คิดถึงภาพโปรโมทต่างๆ ของ Stranger things โดยตรง แต่ความจริงคือเรื่องนี้ไม่ได้ลอกแน่นอนเพราะตัวคอมมิคมาก่อน 1 ปี แล้วท้องฟ้าสีแปลกๆ นั่นก็มีตั้งแต่ในคอมมิคอยู่แล้ว เป็นลักษณะของเหตุการณ์มิติบิดผันในเรื่องนี้ที่เป็นตัวหลักของเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่อง 

และที่สำคัญคือเรื่องราวก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปีศาจ แต่เป็นไซไฟข้ามเวลาล้วนๆ มีแนวเรื่องแบบบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟ็กต์การกระทำในอดีตอนาคตเปลี่ยนแปลงเชื่อมโยงถึงกัน ซึ่งพล็อตแบบนี้ไม่ได้แปลกใหม่อะไรแล้วในยุคนี้ แต่สิ่งที่เรื่องนี้เด่นจริงๆ ก็คือ คอนเซ็ปต์โครงเรื่องที่อิงกับปัญหาคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันและต่อจากนี้ไม่พอใจในสภาพชีวิตที่เป็นอยู่อย่างลำบากกว่ายุคก่อน แล้วก็พยายามเรียกร้องให้ผู้ใหญ่ในโลกเปลี่ยน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ทำให้เกิดเป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ในปัจุบัน 

แล้วตัวเรื่องดึงส่วนนี้มาใช้ยังไง ตรงนี้ต้องขอสปอยล์เรื่องราวที่จะเฉลยในตอน 3 เลยจะได้เข้าใจคอนเซ็ปต์ที่ว่า เปเปอร์เกิร์ลนำปัญหาความขัดแย้งระหว่าง GEN ในโลกจริงไปทำเป็นเรื่องราวในโลกสมมุติว่าอนาคตข้างหน้ามีการย้อนเวลาได้ คนรุ่นใหม่ในยุคนั้นหลังต่อสู้ตามระบบมานานก็ไม่เป็นผล ก็เลยใช้การข้ามเวลากลับมายังอดีตเพื่อแก้ไขสิ่งต่างๆ เพื่อให้อนาคตเปลี่ยน จนกลายเป็นถูกมองว่าเป็นการก่อการร้ายทางเวลา ฝ่ายขวาหรืออนุรักษ์นิยมผู้มีอำนาจมาตลอดก็เริ่มรู้สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้เพราะอำนาจที่ตัวเองมีจะหายไป จึงจัดตั้งหน่วยงานตามล่าพวกนี้ และแก้ไขทำให้สภาพเวลากลับมาเป็นปกติเช่นเดิมไม่เปลี่ยน ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตน จนกลายเป็นสองขั้วแนวคิดที่ขัดแย้งกันจนลุกลามเป็นศึกสงครามไม่รู้จบ แล้วแก๊งเด็กสาวตัวเอกก็คือคนที่มาติดอยู่ในกลางสงครามนี้นั่นเอง

จะเห็นว่าไอเดียคอนเซ็ปต์เรื่องดีมาก ไม่แปลกใจว่าทำไมเรื่องนี้มีแฟนๆ รุ่นใหม่ชอบมากมาย แต่ปัญหาของเรื่องนี้กลับเป็นการดำเนินเรื่องที่ใช้คอนเซ็ปต์นี้ไม่คุ้มในซีซั่นแรก คือหลังจากตัวเรื่องเปิดเผยจุดนี้ออกมาแล้ว ก็กลับดำเนินเรื่องไปทางชีวิตส่วนตัวของเด็กแต่ละคนที่ได้มาพบเจอตัวเองในอนาคต แล้วไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ ซึ่งดราม่าอะไรแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เรื่องกลับให้เวลาส่วนนี้มากเกินไป จนบางตอนแทบจะกินเวลาทั้งตอนเต็มๆ กับตัวละครหนึ่ง โดยทิ้งเรื่องราวไซไฟที่กำลังดำเนินมาดีๆ หายไปเลย แล้วค่อยกลับมาหลังจบการปูดราม่าเหล่านั้น จนทำให้บาลานซ์ของเรื่องเสียไปเลย อย่างตอน 1 เป็นไซไฟ ตอน 2 กลับเป็นดราม่าการทะเลาะกันของเด็กๆ ตอน 3-4 เป็นไซไฟ ตอน 5-7 กลับมาเป็นดราม่าเต็มๆ ตอน 8 ค่อยเป็นไซไฟอีกรอบ ซึ่งน่าผิดหวังมากที่เรื่องมีวัตถุดิบดี แต่กลับให้น้ำหนักการดำเนินเรื่องไม่ดีเอง (ตรงนี้อาจจะเพราะผู้แต่งเรื่องนี้คือ Brian K. Vaughan จากผลงาน Y: The Last Man ที่สไตล์การเล่าเรื่องในโลกอนาคตดูดี แต่เน้นดราม่าชีวิตมากกว่าจนทำให้ซีรีส์ลาสแมวก็โดนแคนเซิลไปเช่นกันทั้งๆ ที่ตัวคอมมิคดังพอตัวเลย)

อีกจุดคือส่วนไซไฟของเรื่องนี้ค่อนข้างลงทุนต่ำไปหน่อย บางฉากก็มีอะไรที่ว้าวเลยแต่ด้วยความที่ CG ยังพื้นๆ ไม่ดีมากก็เลยทำให้ส่วนที่ควรว้าวกลับดูไม่เท่าไหร่ และหลายๆ จุดยังดูแปลกๆ อย่างฉากมิติบิดผันท้องฟ้าเปลี่ยนสีนี่ทำดี แต่ตัวร้ายกลับดูแปลกๆ เหมือนงานทุนต่ำจนทำให้แอบรู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้ของ Prime มาตรฐานตกมากไป

แต่จุดดีที่ต้องชมเลยคือการแคสตัวนักแสดงเด็กทั้ง 4 คนมาได้อย่างดีมาก น้องทั้ง 4 คนเล่นได้ดี มีเสน่ห์แบบที่ดูแล้วค่อยๆ ชอบ ค่อยๆ อินตามได้เลยเหมือน  Stranger things แล้วเรื่องราวชีวิตที่ต้องปะทะกับตัวเองในเวอร์ชั่นผู้ใหญ่ก็มีอะไรมากกว่าการผจญภัยตามปกติ ตัวเรื่องทำให้เห็นว่าทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กในคนๆ เดียวกันกลับมีมุมมองที่ต่างออกไปตามอายุ แล้วก็ไม่ได้มีใครผิดหรือถูกโดยตรงนัก เหมือนเป็นการให้คนดูได้เห็นทั้งสองมุมเจเนอเรชั่นที่เป็นหัวใจของเรื่องได้ดีเลย

นอกจากนี้คือตัวเรื่องตั้งใจเล่นบทของเด็กมีปัญหาในแต่ละแบบได้ดี 

เอริน คือเด็กสาวจีนที่โตมาในช่วงที่ญี่ปุ่นทำสงครามโลกทำให้ถูกมองว่าเป็นพวกยุ่นน่ารังเกียจ ไม่มีใครต้อนรับครอบครัวเธอทำให้โตมาอย่างเจ็บปวดกลายเป็นแผลในใจตลอดมา 

ทิฟฟานี่ เด็กสาวผิวดำที่ไอคิวสูงฉลาดมากในเรื่อง มีความคาดหวังในชีวิตสูงว่าจะเข้า MIT แล้วก็มาเจอตัวเองที่ทำได้ครึ่งๆ กลางๆ จนกลายเป็นเรื่องความคาดหวังกับความจริงที่สวนทางกัน 

แม็ค เด็กสาวทอมบอยที่ก๋ากั่น ฐานะทางบ้านกับครอบครัวไม่อบอุ่น มีแค่พี่ชายห้าวๆ ที่เป็นดวงใจของเธอ แล้วการข้ามเวลามาเจอพี่ชายที่กลายเป็นหมอติ๋มๆ ก็ทำให้เธอได้พบกับเรื่องราวที่คาดไม่ถึง ทั้งอบอุ่นและน่าเศร้า ซึ่งนำมาสู่ปมชีวิตสำคัญที่เพื่อเด็กในแก๊งต้องเข้ามาช่วย (เป็นปมสำคัญท้ายเรื่องด้วย)

KJ เด็กสาวชาวยิวผู้ร่ำรวย แต่ก็มีปัญหาถูกบูลลี่ในยุคนั้นเช่นกัน แล้วก็เป็นตัวละครที่ต้องเข้ามาพบกับปมปัญหาจิตใจเพศสภาพที่เปลี่ยนไปอย่างไม่ทันตั้งตัวในอนาคต ซึ่งเรื่องราวพยายามปูจุดนี้ไว้มากมายจนน่าจะทำให้คนชอบแนวนี้ได้จิ้นมากพอสมควร 

ตัวเรื่องจบลงแบบเหมือนเป็นจุดเริ่มของการผจญภัยจริงๆ เองไคลแม็กซ์ของเรื่องไม่ได้มีจุดพีคแบบที่ควรจะเป็น แต่เรื่องที่ทิ้งค้างไว้ก็น่าสนใจนาาติดตามต่อ ซึ่งถ้าซีรีส์ไม่ถูกแคนเซิลแล้วได้ทำต่อลงลึกถึงเรื่องราวต่อไปก็น่าจะดีกว่าซีซั่นแรกนี้ครับ

 

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ Amazon Prime VIDEO เพิ่มคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!