playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Raised by Wolves (HBO) สงครามศาสนา vs. เอทิสต์ ผ่านปรัชญาไซไฟในตัวแอนดรอยด์ (จบ SS1)

สรุป

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นแนวไซไฟล้ำยุคที่ตอนแรกเรื่องอาจจะดูแปลกและเต็มไปด้วยปริศนาเข้าใจยากเต็มไปหมด แต่ตัวเรื่องมีเฉลยในเวลาต่อมาไม่นานนัก และก็เดินเรื่องได้รวดเร็ว พร้อมกับฉากเลือดสาดรุนแรงมากจนเทียบว่าเป็นหนังไซไฟสยองขวัญเลยก็ได้เช่นกัน ในขณะที่ยังมีเรื่องของปรัชญาไซไฟเชิงลึกของความเป็นมนุษย์ในตัวแอนดรอยด์ตามไสตล์ผู้กำกับ Ridley Scott คงอยู่ให้ผู้ชมได้ขบคิดเช่นเดิม และยังต่อยอดไปยังถึงเรื่องราวจุดกำเนิดของพระเจ้าหรือมนุษย์ได้แบบเหลือเชื่อมากๆ จนแอบคิดว่านี่เป็น Prometheus ในแบบซีรีส์ของ Ridley Scott เลยก็ว่าได้

 

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
3 (2 votes)

Pros

  • ตัวเรื่องเต็มไปด้วยแนวปรัชญาไซไฟผ่านตัวละครแอนดรอยด์ตามสไตล์ผู้กำกับ Ridley Scott ที่มาคราวนี้ย่อยง่ายขึ้น
  • มนุษย์เหลือแค่สองกลุ่มความเชื่อ วิทยาศาสตร์กับศาสนามาทำสงครามกันในโลกอนาคต
  • มีฉากโหดรุนแรงเลือดสาดหลายครั้ง จนคิดว่าเป็นหนังสยองขวัญก็ยังได้
  • ดาวลึกลับในเรื่องที่มีปริศนามากมายหลายอย่าง
  • คู่ตัวเอกแอนดรอยด์ของเรื่องที่แสดงได้เนียนมาก

Cons

  • องค์ประกอบดีไซน์ในเรื่องดูย้อนยุคเชยๆ จนทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นซีรีส์ทุนต่ำได้
  • ตัวเรื่องสร้างคนสองกลุ่มความเชื่อที่มีการกระทำหลายอย่างสุดโต่งในโลกอนาคต จนดูขาดเหตุผลในมุมมองความเป็นไปได้จริงอยู่บ้าง (อย่างฝ่ายวิทย์บ้าสงคราม)

Raised by Wolves ซีรีส์ใหม่ของ HBO แนวไซไฟจากผู้กำกับ Ridley Scott ผู้สร้าง Alien กับ Prometheus เรื่องราวการสร้างโลกบนดาวใหม่ให้มนุษย์ชาติที่กำลังเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ ผ่านการเลี้ยงดูของแอนดรอยด์ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ปกป้องเลี้ยงดูเด็กเสมือนเป็นแม่จริงๆ แต่กลับกลายเป็นเรื่องสยองขวัญเกินคาดคิด

 Raised by Wolves (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Raised by Wolves

หมายเหตุรีวิวไม่มีสปอยล์เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ (รีวิวจากการอัพเดททุกอาทิตย์)

ซีรีส์เรื่องนี้ผู้กำกับ Ridley Scott (ควบตำแหน่ง Executive Producer กับการกำกับสามตอนแรก) ได้แรงบันดาลใจต่อยอดจากผลงานสร้างของตัวเองทั้ง Alien กับ Prometheus โดยตัวเอกเป็นแอนดรอยด์ชายกับหญิงคู่หนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ฟาเธอร์ มาเธอร์ (พ่อ แม่) มีหน้าที่ค้นหาดาวดวงใหม่แทนโลกที่เกิดสงครามล้างเผ่าพันธ์ จากนั้นก็ลงหลักปักฐานดูแลให้กำเนิดและปกป้องลูกมนุษย์จากตัวอ่อนที่ถูกส่งขึ้นมา โดยกลุ่ม เอทิสต์ (Atheist) คนไม่เชื่อพระเจ้า คนไม่มีศาสนา โดยถูกโปรแกรมให้เลี้ยงเด็กเหล่านี้ขึ้นมาและสอนสั่งห้ามเชื่อในพระเจ้าและศาสนาแบบเดียวกับที่เอทิสต์ยึดถือไว้เช่นกัน แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปหลายสิ่งหลายอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ และพวกเขาเหล่านี้ต้องพบกับกลุ่มคนที่เชื่อในศาสนาและเดินทางจากโลกมาหาดินแดนใหม่แห่งนี้เช่นกัน

โครงสร้างโลกไซไฟในเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกใหม่มาก ด้วยการเริ่มเรื่องในอนาคตที่มนุษย์สามารถเดินทางข้ามจักรวาลเพื่อหาดวงดาวที่ตั้งรกรากใหม่ได้แล้ว แต่กลับเลือกใช้โปรดักชั่นดีไซน์เครื่องแต่งกายกับองค์ประกอบหลายอย่างที่ดูย้อนยุคเชยๆ อย่างชุดพลาสติครัดรูป จนรู้สึกขัดตาในช่วงแรก ก่อนที่เราจะเข้าใจเรื่องราวโดยรวมว่าเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง ผ่านการแฟลชแบ็คย้อนกลับไปเป็นระยะๆ ถึงช่วงเวลาบนโลกกับสงครามที่เกิดขึ้น โดยมีการต่อสู้กันของสองฝ่ายระหว่างผู้เชื่อในวิทยาศาสตร์กับศาสนา และยังมีหุ่นแอนดรอยด์ที่ถูกเรียกว่า เนโครแมนเซอร์ (Necromancer) สร้างโดยฝ่ายศาสนา จนกลายมาเป็นตัวการทำลายล้างมนุษย์โดยยังไม่ทราบเหตุผลที่มาว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ (อัพเดท แม้จนจบ SS1 ปริศนานี้ก็ยังไม่ถูกเฉลย)

เนโครแมนเซอร์
แอนดรอยด์เนโครแมนเซอร์ในเรื่อง

ตัวเรื่องค่อนข้างเต็มไปด้วยปริศนามากมายตั้งแต่ตอนแรก ทั้งคำพูดและการกระทำของสองแอนดรอยด์ตัวเอก แต่เรื่องก็ไม่ได้ปิดเป็นปมค้างไว้ แค่ใช้วิธีการเล่าย้อนกลับมาให้คนดูเข้าใจในภายหลัง ซึ่งในตอนแรกอาจจะดูเหมือนเข้าใจยาก แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าดูง่ายกว่า Prometheus ที่เป็นผลงานเดียวกันของผู้กำกับซะอีก เพราะหลายๆ อย่างเคลียร์ในตอนค่อมาโดยไม่ได้ทิ้งปมคาไว้ และในเรื่องนี้ก็ยังมีโครงเรื่องในแนวทางใกล้เคียงกันคือ ว่าด้วยจุดกำเนิดของมนุษย์ผ่านผู้สร้างที่เป็นแอนดรอยด์ที่เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้นมาอีกที ซึ่งถ้าใครตามรายละเอียดของ Prometheus ก็กับภาคต่อมาและเรื่องราวต่อจากนั้นที่ยังไม่จบ ก็คงได้เห็นว่าผู้กำกับ Ridley Scott หมกหมุ่นอยู่กับเรื่องแอนดรอยด์ที่มีกลไกความคิดและร่างกายเหมือนมนุษย์ขนาดไหน (จริงๆ ก็ตั้งแต่ Blade Runner ปี 1982 ที่เป็นผลงานของเขาเช่นกัน) จนถึงขั้นสุดท้ายแอนดรอยด์ก็เหมือนเป็นมนุษย์ และสามารถสร้างชีวิตประดิษฐ์ขึ้นเองได้แบบที่มนุษย์มอบให้แอนดรอยด์เช่นกัน

ซึ่งเรื่องนี้ก็ต่อเติมจินตนาการเรื่องแนวคิด ผู้สร้าง เอ็นจิเนียร์ หรือพระเจ้า มาอยู่ในรูปของแอนดรอยด์ในโลกใหม่ โดยไม่ได้ไปในทิศทางความคิดมุ่งสู่การมีชีวิตจิตใจเหมือนมนุษย์แบบผลงานก่อนๆ (แอนดรอยด์ในเรื่องนี้ผู้กำกับตั้งใจให้แยกออกด้วยคำพูดและท่าทางชัดเจนว่าถูกโปรแกรมไว้) แต่เอาจุดนั้นมาใส่ไว้ในเรื่องราวการดูแลลูกมนุษย์ด้วยมือแอนดรอยด์ พร้อมชุดความคิดที่ถูกโปรแกรมให้สอนเด็กเหล่านั้นไม่ให้เชื่อในพระเจ้า ศาสนา หรือจิตวิญญาณ (โซล) ในตัวมนุษย์อีกต่อไป ด้วยความหวังว่าจะสร้างโลกยูโทเปียขึ้นมาแทนโลกที่ถูกทำลายล้างไป ซึ่งทางฝ่ายศาสนาในเรื่องก็มีชุดความเชื่อที่สอนกันในกลุ่มฝังไว้ให้เด็กๆ ขัดแย้งกับฝั่งเอทิสต์ และก็เดินทางมาถึงดาวดวงเดียวกัน จนเกิดเป็นสงครามขึ้นอีกครั้ง รวมถึงมีความขัดแย้งกับฝ่ายเดียวกันเรื่องความเชื่อกับศรัทธาต่างๆ ที่ฝ่ายเอทิสต์กลับเริ่มมีชุดความคิดนี้ขึ้นในตัว แม้แต่แอนดรอยด์ทั้งคู่ในตอนหลังก็เริ่มเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่เรื่องบนดาวดวงนี้มีแค่กลุ่มผู้รอดตายจากโลก จึงไม่ได้เป็นแนวฉากสงครามใหญ่ มีเพียงแค่การตามล่าต่อสู้กันในวงจำกัด โดยมีธรรมชาติอันโหดร้ายของดวงดาว กับสิ่งมีชีวิตดุร้ายบนดาวดวงนี้มาเป็นแบ็คกราวด์เสริมเรื่องหลักอีกที แต่เรื่องก็มีแฟลชแบ็คกลับไปฉากสงครามบนโลกที่อลังการพอตัว เพราะเป็นสงครามที่มนุษย์ถูกล่าโดยแอนดรอยด์เนโครแมนเซอร์ (คล้ายๆ เรื่องของเซนติเนลใน X-Men Days of the Future Past) และตัวที่มาของเนโครแมนเซอร์ก็เป็นความลับของเรื่องที่เกี่ยวพันกับสองแอนดรอยด์ ฟาเธอร์ มาเธอร์ ที่อยู่บนดาวดวงนี้เช่นกัน

ตัวเรื่องให้อารมณ์แนวดราม่าทริลเลอร์ ลุ้นระทึกไปกับการเอาตัวรอดบนดาว รวมถึงการเลี้ยงดูเด็กของสองแอนดรอยด์ ที่มีความผิดปกติซ่อนอยู่ในสภาพที่พยายามทำให้ดูเหมือนปกติ และเป็นที่มาของชื่อเรื่อง Raised by Wolves กำเนิดเกิดและเลี้ยงดูโดยหมาป่า โดยที่หมาป่าแทนตัวแอนดรอยด์มาเธอร์ในเรื่องโยงมาถึงนิทานเรื่อง หมาป่ากับลูกหมูสามตัว นอกจากนี้ตัวเรื่องยังถือว่ารุนแรงมาก อย่างในตอนแรกก็ใส่ฉากเลือดสาดกระจายมาให้ผู้ชมชวนช็อค เมื่อความลับของมาเธอร์ถูกเปิดเผยขึ้นมา

เอฟเฟ็กต์กับ CG ในเรื่องมีคุณภาพสูงตามมาตรฐานของผู้กำกับ Ridley Scott ที่เป็นคนใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด เพียงแต่ว่าภาพองค์ประกอบดีไซน์ต่างๆ ในเรื่องอาจจะดูเชยๆ อันนี้เป็นความตั้งใจเพื่อให้ยึดโยงเข้ากับกลุ่มคนสองพวกสุดท้ายที่มีความเชื่ออันเป็นรากเหง้าปัญหาของมนุษย์ชาติมาตั้งแต่อดีต และเรื่องตั้งใจให้ทั้งสองฝั่งยึดถือความคิดของตัวสุดโต่งในแบบเดียวกับยุคสมัยก่อนจนต้องรบราฆ่าฟันกัน แต่มาเกิดในยุคอนาคตแทน ซึ่งก็อาจจะดูไร้เหตุผลจนไม่น่าเชื่ออยู่บ้าง

โลกจำลองและการเปลี่ยนแปลงของตัวละครทั้งสองฝ่าย (มีสปอยล์ EP5 บางส่วน)

ตัวเรื่องว่าผสมกันทั้งเอเลี่ยน โพรมีธีอุส และเบลดรันเนอร์แล้ว ยังมีเรื่องของโลกจำลองแบบ The Matrix ที่ฝ่ายศาสนาสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนที่เข้าโหมดสลีประหว่างเดินทางในจักรวาลได้เสมือนยังอยู่ในโลกจริงที่ไร้กาลเวลา และโลกจำลองนี้ทางฝ่ายแอนดรอย์มาเธอร์ก็ได้เข้ามาใช้งานเช่นกัน จนกลายเป็นการเปิดประตูความทรงจำของเธอที่พาไปสู่ผู้สร้าง และทำให้ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วแอนดรอยด์ก็สามารถมีความรู้สึกนึกคิดในแบบมนุษย์ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนให้แอนดรอยด์ที่มาจากฝ่ายเอทิสต์กลับเริ่มมีส่วนผสมของความเป็นมนุษย์ ซึ่งการมีความรู้สึกศรัทธาลึกๆ ในชีวิตเป็นอะไรที่ต้องห้ามของเอทิสต์ในเรื่องนี้

ในส่วนของตัวเอกมนุษย์ที่มาจากเอทิสต์และแอบแฝงซ่อนตัวไปเป็นฝ่ายศาสนาเพื่อความอยู่รอด ก็กลับเริ่มใช้ความศรัทธามาเป็นเครื่องมือชี้นำกลุ่มมนุษย์ที่เหลืออยู่ และเริ่มเปลี่ยนแปลงมาเป็นอำนาจการปกครอง ซึ่งตัวเรื่องต้องการสะท้อนเบื้องลึกที่มาของอำนาจของศาสนาว่าเกิดขึ้นได้ไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านไปมากแค่ไหนก็ตาม

ดวงดาวลึกลับ (มีสปอยล์)

ฉากของเรื่องนี้คือดาวรกร้างที่มีกระดูกของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่รูปร่างเหมือนงูยักษ์ที่สุญพันธ์ไปนานแล้ว แต่มีโพรงขนาดใหญ่หลงเหลืออยู่โดยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ภายใน จนดูเหมือนว่านี่เป็นความลับลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ของเรื่องนี้ และไม่ใช่มีเพียงแค่นั้น แต่เรื่องได้เปิดเผยให้เห็นว่ามีซากอารยธรรมปริศนาขนาดใหญ่อยู่ในดาวด้วย นอกจากนี้ยังมีมนุษย์ปริศนาปรากฎตัวมาในตอนหลัง โดยไม่ใช่คนจากทั้งสองฝ่ายที่เรื่องปูมา  ซึ่งปริศนาลึกลับพวกนี้ยังไม่ได้รับการเปิดเผยจนจบซีซั่น แต่ก็ชวนให้คิดว่าดาวดวงนี้เป็นต้นกำเนิดอารยธรรมมนุษย์บนโลก แบบเดียวกับที่หนังโพรมีธีอุสของ Ridley Scott สร้างไว้เช่นกัน

ปริศนาคำทำนายของฝ่ายศาสนา

ไม่ใช่เรื่องจะมีแค่แนววิทยาศาสตร์เป็นโครงเรื่องหลัก แต่ตัวเรื่องมีเกริ่นมาเรื่อยๆ ถึงการเดินทางตามหาเมืองในตำนานของฝ่ายที่เชื่อในศาสนา โดยมีคำทำนายว่าจะมีเด็กชายกำพร้ามาเป็นผู้ชี้นำทาง ซึ่งตัวเรื่องจะค่อยๆ เปิดเผยมาทีละนิดๆ จากตอนแรกที่ดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้ แต่หลายๆ อย่างกลับตรงตามคำทำนาย และก็ดูจะเป็นปริศนาใหญ่สุดของเรื่องด้วยว่าคำทำนายนี้มีจริงหรือไม่ ซึ่งดูเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับธีมเรื่องไซไฟของเรื่องนี้มากเหมือนกัน

สรุป

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นแนวไซไฟล้ำยุคที่ตอนแรกเรื่องอาจจะดูแปลกและเต็มไปด้วยปริศนาเข้าใจยากเต็มไปหมด แต่ตัวเรื่องมีเฉลยในเวลาต่อมาไม่นานนัก และก็เดินเรื่องได้รวดเร็ว พร้อมกับฉากเลือดสาดรุนแรงมากจนเทียบว่าเป็นหนังไซไฟสยองขวัญเลยก็ได้เช่นกัน ในขณะที่ยังมีเรื่องของปรัชญาไซไฟเชิงลึกของความเป็นมนุษย์ในตัวแอนดรอยด์ตามไสตล์ผู้กำกับ Ridley Scott คงอยู่ให้ผู้ชมได้ขบคิดเช่นเดิม และยังต่อยอดไปยังถึงเรื่องราวจุดกำเนิดของพระเจ้าหรือมนุษย์ได้แบบเหลือเชื่อมากๆ จนแอบคิดว่านี่เป็น Prometheus ในแบบซีรีส์ของ Ridley Scott เลยก็ว่าได้

 

อ่านรีวิวหนังซีรีส์เรื่องอื่นของ HBO คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!