playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว REMEMBER 15 (Viu) งานซีรีส์สยองขวัญไล่เชือดของไทยที่ยังต้องพัฒนาเพิ่มอีกหลายอย่าง (ไม่สปอยล์)

สรุป

เป็นซีรีส์ไทยที่มีความสนุกน่าติดตามในระดับหนึ่ง มีแก่นโครงสร้างเรื่องที่ดีน่าติดตาม แม้โดยรวมยังมีส่วนที่ต้องตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าพอมองข้ามได้ และต้องรอดูจนจบว่าหลายสิ่งที่เป็นปัญหาจะถูกเคลียร์ได้ในภายหลังหรือไม่ครับ

 

 

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • โครงสร้างเรื่องติดเกาะไล่ฆ่ากันที่มีความลึกลับน่าติดตาม
  • แฟลชแบ็คเล่าปัญหาหลายอย่างในโรงเรียนตัดสลับกับเหตุการณ์บนเกาะ
  • นักแสดงหน้าใหม่หน้าตาดีทุกคน
  • ตัวละครหลักเยอะถึง 13 คน แต่เฉลี่ยบทดี
  • ฉากไตเติลสวยดูดีมีคลาส

 

Cons

  • ฉากฆ่าสดๆ ยังไม่มีให้เห็น
  • ตัวละครยังแพนิคกับเหตุฆาตกรรมไม่มากพอ
  • ใช้แสงธรรมชาติล้วนๆ ทำให้บางฉากดูทึมๆ มองเห็นไม่ชัด
  • บทพูดยังมีบางช่วงไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง

 

REMEMBER 15 ซีรีส์ไทยแนวสยองขวัญฆาตกรรมของ Viu เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องไปติดเกาะและพบกับเหตุฆาตกรรมต่อเนื่องปริศนา ท่ามกลางความรู้สึกไม่ไว้ใจกัน และต่างก็มีความลับที่ปกปิดซ่อนไว้ กำหนดฉายทั่วโลก 16 ประเทศ ทุกวันอังคาร-พุธ เริ่มตอนแรก วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 นี้ 

 

ตัวอย่าง REMEMBER 15

เรื่องย่อ

เรื่องราวของกลุ่มวัยรุ่น 12 คนที่รวมตัวกันไปที่เกาะแห่งหนึ่งเพื่อรําลึกความหลังครบรอบ 5 ปีการเสียชีวิต ของเพื่อนที่ชื่อ “ไลลา” จากการจมน้ําที่เกาะแห่งนี้ในวันเกิดอายุ 15 ปีของเธอ โดยการรวมตัวกันครั้งนี้กลับทําให้ทุกคนต้องมาติดเกาะอยู่ด้วยกัน และมีเหตุการณ์ฆาตกรรมเกิดขึ้นต่อเนื่องเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ ภายใต้สถานการณ์กดดัน ทําให้ต่างคนต่างเริ่มสงสัยกันเอง และขุดคุ้ยเรื่องราวต่างๆ ในอดีต จนพบว่าความสัมพันธ์ทุกคนกับ “ไลลา” ล้วน เกี่ยวข้องกับการตายของเธอ

รีวิว REMEMBER 15 (ไม่มีสปอยล์จุดสำคัญของเรื่อง)

ซีรีส์ไทยจากทุนสร้างของสตรีมมิ่ง Viu เป็นแนวสยองขวัญไล่เชือด (สแลชเชอร์) ของโปรดิวเซอร์ หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล (คุณชายอดัม) กำกับโดยผู้กำกับหน้าใหม่เรื่องแรก เอกภพ ไป๋อารีย์ (ก่อนนี้เป็นโปรดิวเซอร์อยู่เบื้องหลัง) ซึ่งโปรเจ็กต์นี้ทั้งคู่ต้องการสร้างสรรค์ผลงานยกระดับวงการซีรีส์ไทยขึ้นเป็นสากล ซึ่งหลังรับชมไป 2 ตอนแรก (จากรอบสื่อ) ก็พบว่าตัวซีรีส์มีความตั้งใจหลายอย่างไปในทิศทางที่ดีตามมาตรฐานสากล แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่ยังต้องปรับปรุงให้มากกว่านี้

ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่างานสร้างต้องการความสดใหม่หลายอย่าง ที่ชัดเลยคือนักแสดงกลุ่มวัยรุ่นเรื่องนี้คือหน้าใหม่เกือบทั้งหมด (อีกกลุ่มคืออยู่มหาวิทยาลัยแล้ว) ไม่ก็มีผลงานมาแค่นิดหน่อย ดังนั้นก่อนดูอาจจะรู้สึกว่ามือใหม่น่าจะมีปัญหาเล่นแข็งๆ แอคติ้งไม่ได้ แต่หลังรับชมพบว่ากลุ่มนักแสดงเหล่านี้ถือว่าผ่านใช้ได้ทั้งหมด อาจจะติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าน่าเกลียดอะไร อาจจะเพราะโครงสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครเรื่องนี้ถูกพัฒนาขึ้นพร้อมบทด้วยกัน เป็นการเอาแบ็คกราวด์ตัวจริงมาดัดแปลงให้เป็นตัวละครในเรื่องนี้แต่แรก (เข้าใจว่าแคสนักแสดงมาทั้งหมดก่อนเขียนบทลงลึก) ซึ่งในส่วนนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จตามที่ผู้สร้างต้องการในระดับน่าพอใจเลย เมื่อดูจากการแสดงของทุกคนในเรื่องนี้ที่มีตัวละครเยอะมากเป็นตัวหลักถึง 13 คน และต้องเล่นบทหลากหลายอารมณ์ใน 2 โลเกชั่นคือช่วงเครียดกดดันในเกาะกับเหตุการณ์ในโรงเรียนที่เป็นแฟลชแบ็คของทุกคน ทั้งสองด้านนี้ถือว่าแสดงออกมาได้ดีเลย แต่อารมณ์ร่วมไปกับฉากพบศพถูกฆ่ายังดูเบาไปสักหน่อย ตัวละครทั้งหมดควรจะมีอาการแพนิคต่อเนื่องมากกว่านี้ (นี่ดูชิลๆ มากไปนิดนึง) แต่เข้าใจว่าเพราะบทไม่ได้วางไว้แบบนั้นจะไปโทษนักแสดงก็ไม่ถูก ส่วนแฟลชแบ็คทำให้เรารู้ว่าตัวละครในปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบที่เห็น แต่มีด้านมืดที่เก็บซ่อนไว้รอเผยออกมา แต่บทพูดบางครั้งก็ยังดูไม่เป็นธรรมชาติอยู่บ้าง พอมองข้ามไปได้

ส่วนโครงเรื่องการมาติดเกาะแล้วต้องฆ่ากันเอง กับมีฆาตกรที่เป็นใครไม่รู้มาไล่ฆ่า เอาจริงๆ ก็ไม่ได้ใหม่มาก เป็นการยำไอเดียหนังแนวๆ นี้มารวมกัน (ได้กลิ่นอายแบทเทิลรอยัลหน่อยๆ) ซึ่งไม่ผิดอะไร เพราะแนวไล่เชือดจุดขายคือ การไล่ล่า ฉากระทึก ฉากฆ่าโหดๆ ซึ่งก็ต้องมีการครีเอทฉากฆาตกรรมให้ได้อารมณ์แบบนั้น โดยต้องไม่ลืมเรื่องความเป็นไปได้จริงประกอบด้วย ซึ่งตรงนี้แหละที่อาจจจะเป็นจุดบอดใหญ่สุดของเรื่อง เมื่อฉากฆาตกรรมสด เท่าที่เห็นก็ยังไม่มีใน 2 ตอนแรก แต่เข้าใจว่าช่วงหลังน่าจะมีจากตัวอย่างที่เผยออกมา  แต่ในตัวอย่างก็เหมือนใช้มุมมองช่วยไม่ได้เห็นฉากฆ่าตรงๆ (อย่างฉากเอาหินทุบ) อาจจะเพื่อลดความรุนแรงหรือค่าเมคอัพลง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็ไม่ตอบโจทย์คนดูแนวสแลชเชอร์อีกนั่นแหละ และคนที่ตายตอนแรกอยู่ๆ ก็พบเป็นศพเลย ตัวเรื่องก็ยังพยายามให้ศพเหล่านี้อยู่ในสภาพที่ “ถูกทำให้ตายเกินจริง”  อย่างศพแรกที่เจอคือถูกฝังในทรายตรงชายหาดแบบเลือดท่วม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่ฆาตกรจะลากใครมาจากไหนมาฝังกลบที่นี่โดยไม่มีใครตื่นมาเห็น เพราะตั้งเตนท์กันอยู่ตรงหน้าหาดนั่นแท้ๆ แล้วก็ไม่มีรอยเลือดอยู่บนทรายเลย หรือถ้ามาอธิบายว่าฆาตกรลงมือฆ่าตรงนั้นก็ยิ่งแปลกไปใหญ่ เพราะเลือดไม่มีเลย ฆ่าคนขนาดแหวะอกแบบนั้นเลือดต้องกระจายไปทั่วแล้ว และทำไมถึงไม่มีใครได้ยินเสียงร้องเลยสักนิด ทั้งๆ ที่นี่เป็นเกาะร้าง นี่แค่ศพแรกก็มีคำถามในหัวเรื่องความสมจริงเกิดขึ้นมาทันที มาศพที่สองก็ลอยอยู่ในน้ำ แต่คนที่พบกลับไม่เข้าไปช่วย เลือกวิ่งไปหาเพื่อนที่เหลือมาดู ซึ่งจะมาดูเพื่ออะไร? เพราะคนจมน้ำโดยปกติก็ต้องลงรีบไปช่วย คนตายก็อยู่ติดฝั่ง ไม่ได้ลอยออกไปไหน แถมถ้าคิดว่าใครเป็นคนฆ่ายิ่งประหลาดใหญ่ เพราะคนในกลุ่มก็ไม่น่าจะไปฆ่าได้ไกลขนาดนั้น ตัวเรื่องก็พยายามทำให้เหมือนมีคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องที่อาจจะเป็นไลลา และถูกทำให้เหมือนผี  (แต่ผู้กำกับก็บอกแล้วว่านี่ไม่ใช่แนวนั้น)  ซึ่งนี่จะกลายเป็นโจทย์ยากเลย เพราะคำเฉลยภายหลังจะไม่ใช่แค่บอกว่าใครเป็นฆาตกร แต่ต้องย้อนกลับมาแสดงให้ดูด้วยว่าแต่ละฉากที่ดูเกินจริงพวกนี้ฆาตกรลงมือแบบไหน ซึ่งดูแล้วยากมากที่จะกลับมาไล่อธิบายฉากพวกนี้ให้ลงตัวสมเหตุผลได้ ทั้งหมด (แต่ตรงนี้ก็ต้องวงเล็บไว้ก่อนว่า ผู้เขียนต้องขอรอดูให้จบก่อนเพื่อตัดสินว่าจะมีปัญหาแบบที่คิดไว้มากน้อยแค่ไหน) แต่ส่วนที่ดีที่ต้องชมก็คือการดำเนินเรื่องรวมๆ น่าติดตาม มีการกระตุ้นความอยากรู้ของผู้ชมว่าเรื่องราวจะมาต่อกันได้อย่างไร ซึ่งถ้าบทสามารถต่อจิ๊กซอว์ทั้งหมดรวมกับฉากฆ่าได้อย่างเนียนๆ นี่ก็จะเป็นซีรีส์ที่ดีเรื่องนึงเลย

ส่วนเรื่องราวดราม่าความสัมพันธ์ต่างๆ จะถูกแฟลชแบ็คเล่าเรื่องกลับมาที่โรงเรียนเป็นหลัก เพราะเปิดเรื่องมาทุกคนก็มาที่เกาะกันครบแล้ว ซึ่งการแฟลชแบ็คกลับมาเล่าความสัมพันธ์กับความลับต่างๆ ของเรื่องทำออกมาได้น่าติดตามพอสมควร แต่ต้องรอดูต่อไปว่าเรื่องจะมีอะไรมากกว่าที่เห็นหรือไม่ เพราะแค่ปมแกล้งกันหรือเผยคลิปลับ มันยังดูพื้นๆ ทั่วไปมากเมื่อเทียบกับการฆ่าคนบนเกาะ ซึ่งแรงจูงใจที่เกิดเรื่องนี้ต้องร้ายแรงกว่านี้มาก แต่การแฟลชแบ็คก็มีข้อติตนิดหน่อยที่ย้อนแบบทื่อๆ ไม่มีชั้นเชิง คือตัวละครบนเกาะบอกเล่าถึงใครก็ย้อนกลับไปทันทีตลอด แล้วก็ตัดกลับมาคุยกันต่อ มันดูไม่เนียนแบบการแฟลชแบ็คที่ควรจะลื่นไหลไปกับเรื่องมากกว่าลักษณะแบบบนี้

นอกจากนี้แล้วผู้กำกับเหมือนตั้งใจขายฉากจูบนัวเนียแบบจงใจมากเกินไป ตั้งแต่เปิดเรื่องมาก็มีทันที ซึ่งอาจจะตั้งใจให้เห็นว่านักแสดงรุ่นใหม่กล้าเล่นอะไรแบบนี้ในฐานะซีรีส์โกอินเตอร์ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่จริงๆ ก็ไม่ได้จำเป็นต้องยัดมาแบบนั้นก็ได้

ด้วยความที่งานเบื้องหลังตั้งใจไม่ใช้การจัดแสง โดยให้เหตุผลว่าต้องการแสงธรรมชาติเพื่อให้เกิดความสมจริง ซีรีส์เรื่องนี้ในหลายๆ ฉากภาพเลยดูหม่นๆ ทึมๆ แสงน้อย ภาพไม่ชัด จนคนดูที่ไม่รู้เรื่องนี้จะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นซีรีส์ทุนต่ำแน่ๆ ซึ่งกลายเป็นผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ดีอย่างที่ผู้สร้างต้องการ (ส่วนตัวคิดว่าควรจะจัดแสงบ้างให้ดูเป็นกลางๆ ดีกว่าปล่อยตามธรรมชาติแบบนี้) และพอใช้แสดงธรรมชาติล้วนๆ ทำให้เวลาในเรื่องถูกเล่าไม่เป็นลำดับที่ควรจะเป็น อย่างฉากหนึ่งเกิดรื่องตอนแดดจัดช่วงบ่าย แต่พอฉากต่อเนื่องตามมากลับเป็นตอนเย็นใกล้มืดแล้ว ซึ่งทำให้ความรู้สึกสมจริงอย่างที่ผู้สร้างต้องการหายไปในทันที

แสงในฉากนี้ดูทึมๆ จนน่าหงุดหงิด เพราะเป็นฉากสำคัญหนึ่งของเรื่องด้วย

ติมาค่อนข้างเยอะ แต่จุดที่ผู้เขียนชอบที่สุดคือฉากไตเติลของเรื่องทำออกมาดูดี มีคลาส เหมือนพวกฉากเปิดตัวซีรีส์ดีๆ เป็นฉากที่ตัวละครอยู่ภายใต้แสงเงาสีส้ม ค่อยๆ ลอยผ่านไปทีละคน ทำให้ธีมของเรื่องดูลึกลับดำมืดน่าติดตาม

 

สรุป REMEMBER 15 สนุกและดีไหม (รีวิวจาก 2 ตอนแรก)

ถือเป็นซีรีส์ไทยที่มีความสนุกน่าติดตามในระดับหนึ่ง มีแก่นโครงสร้างเรื่องที่ดีน่าติดตาม แม้โดยรวมยังมีส่วนที่ต้องตำหนิอยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าพอมองข้ามได้ และต้องรอดูจนจบว่าหลายสิ่งที่เป็นปัญหาจะถูกเคลียร์ได้ในภายหลังหรือไม่ครับ

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!