playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์เกาหลี Run On (Netflix) วิ่งนำรัก หรือ รักนำวิ่ง กันแน่??? (EP8)

Run On

สรุป

ซีรีส์แนวกีฬา แต่เรื่องรักนำมากกว่าวิ่งแบบชื่อเรื่อง ตัวเรื่องขายความโรแมนติกฉากรักเยอะ ตัวพระเอกมีนิสัยเอ๋อๆ ติสๆ แบบน่ารัก นางเอกมีความทันสมัยชอบต่อล้อต่อเถียงสู้คน ตัวเรื่องมีคู่รองแทรกไว้ตั้งแต่แรกเริ่มซึ่งก็เน้นเรื่องรักเหมือนกัน ส่วนเรื่องวิ่งกลับเป็นแค่น้ำจิ้มเพื่อลากไปเกี่ยวกับเรื่องการทำร้ายรุ่นน้องของนักกีฬาเกาหลี โดยอ้างว่าฝึกวินัยกับเรื่องในวงการวิ่งนิดหน่อย ซึ่งดูมีอะไรมากกว่าเรื่องรัก แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะมีอะไรเข้มข้นกว่านี้ไหม เพราะรวมๆ ดูเป็นซีรีส์ขายเรื่องรักมากกว่าเรื่องอื่นๆ ที่ใส่มาทั้งหมด

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
4 (3 votes)

Pros

  • พระเอกคาแรกเตอร์ติสๆ แปลกๆ มีความน่ารักในตัว
  • บทสนทนาของคู่รักในเรื่องทั้งหลักกับรองที่มักจะชวนทะเลาะกันอยู่เรื่อย
  • เรื่องราวด้านมืดของวงการกีฬาเกาหลี
  • ฉากโรแมนติกเยอะมาก

Cons

  • เนื้อเรื่องดูธรรมดาไม่แปลกใหม่
  • เรื่องความรักมากกว่าเรื่องวิ่งแบบชื่อเรื่อง
  • ความรักคู่รองใส่มาแบบเกินๆ ล้นๆ เหมือนแค่ต้องการถมเวลาให้เต็มๆ ครบชั่วโมง
  • ตัวละครหลักคาแรกเตอร์ติสๆ ดูบทพูดแบบประดิษฐ์ไม่เป็นธรรมชาติทุกคน

 

Run On วิ่งนำรัก ซีรีส์เกาหลี Netflix เมื่อนักวิ่งคนดังชีวิตหันเหออกนอกลู่ตัดสินใจใช้ชีวิตตามเส้นทางที่ตัวเองต้องการเป็นครั้งแรก หลังจากนักแปลสาวก้าวเข้ามาในชีวิต

 Run On (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Run On วิ่งนำรัก

รีวิวอัพเดทจาก EP8

ซีรีส์แนวรักเกาหลี (อีกแล้ว) เรื่องใหม่ที่ลง Netflix ทุกคืนวันพุทธกับพฤหัสหลังสามทุ่มไป ตัวเรื่องจับความรักที่เกิดขึ้นระหว่าง “คีซอนกยอม” (แสดงโดย Im Si-Wan พระเอกจาก Strangers From Hell ) หนุ่มนักวิ่งทีมชาติบ้านรวยที่ถูกขีดชีวิตจากพ่อที่เป็นนักการเมืองมาตลอด ต้องมาเจอกับ “โอมิจู” (แสดงโดย Shin Se-Kyung) นักแปลสาวสวยที่มาทำงานเป็นล่ามให้กับเขา แล้วก็ทำให้ชีวิตของคีซอนกยอมต้องเปลี่ยนไปจากชีวิตที่ถูกขีดไว้

ชื่อเรื่องวิ่งนำรักกับพล็อตแนวกีฬาชวนให้คิดว่าเรื่องนี้อาจจะได้เห็นความเข้มข้นของวงการกีฬาเกาหลี หรือการแข่งขันวิ่งอย่างดุเดือด หรือการวิ่งไล่ตามฝัน แต่กลายเป็นว่าตัวซีรีส์จริงๆ เต็มไปด้วยเรื่องรักมากมายกับฉากโรแมนติกเยอะมาก จนแทบอยากจะเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น “รักนำวิ่ง” ซะมากกว่า ซึ่งผู้เขียนเองอาจจะมีเบื่อๆ แนวรักหวานๆ โรแมนติกอะไรแบบนี้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าแนวนี้ทำดีๆ จะไม่สนุก อย่างสตาร์ทอัพที่พึ่งผ่านมาแม้เรื่องรักจะนำธุรกิจเหมือนกัน แต่ก็มีอะไรน่าลุ้นน่าติดตามอยู่ไม่น้อย หรือแม้แต่ซีรีส์ขวัญใจคนดูปีนี้อย่าง It’s Okay To Not Be Okay เรื่องรักในเรื่องก็โดดเด่นแบบแปลกตามีอะไรน่าค้นหามากมาย แต่กับเรื่องนี้ต้องบอกตรงๆ หว่า แทบจะไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย ทุกอย่างวางไว้เป็นสูตรสำเร็จแนวปิ๊งรักกันตั้งแต่แรก แล้วตัวเรื่องก็ตอกย้ำจุดนี้ให้ทั้งคู่มีฉากจูบกันตั้งแต่ตอนต้นๆ เรียกว่าตั้งใจขายความฟินของพระเอกนางเอกกันตั้งแต่แรกเลย ซึ่งถ้าคนชอบแบบนี้ก็คงสวีทดีล่ะครับ แต่พอมาแบบนี้มันเลยกลายเป็นซีรีส์ที่แทบไม่มีอะไรเหลือไว้ให้น่าค้นหาติดตามลุ้นกันเลย

ไม่ใช่แค่คู่พระเอกนางเอกเท่านั้น ตัวเรื่องยังล็อคคู่พระรองนางรองใส่ไว้ในเรื่องกันตั้งแต่แรกอีก ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเรื่องที่มีคู่หลักเป็นเนื้อเรื่องแนววิ่งแล้ว ทำไมต้องใส่เนื้อเรื่องบทพระรองเป็นนักศึกษาสายศิลป์กับประธานซอดันอา (เป็นประธานบริษัทเอเจนซี่ของพระเอก) มาเพิ่มอีก โดยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของฝ่ายพระเอกนางเอก จึงทำให้เรื่องดูเหมือนแค่อยากยัดเนื้อเรื่องเสริมมาให้แน่นๆ ประคองเรื่องหลักที่ไม่ค่อยมีเนื้อหาแน่นๆ สักเท่าไหร่

ส่วนตัวเนื้อหาเรื่องวิ่งของพระเอก เอาจริงๆ ไม่ใช่เป็นแนวสู่ฝันหรือนักกีฬามุ่งมั่นอะไรแบบนั้น เพราะตัวเรื่องเปิดมาพระเอกคือดังแล้ว หล่อ เก่ง เท่ เป็นหน้าตาให้กับวงการกีฑา แล้วก็เป็นนายแบบทำเงินมหาศาลที่มีประธานสาว “ซอดันอา” คอยดูแลช่วยเหลือและให้การสนับสนุนอยู่ แต่เรื่องโฟกัสไปที่เรื่องฉาวของวงการกีฬาเกาหลีที่มีปัญหาเรื่องทำร้ายร่างกายข่มเหงรุ่นน้อง โดยอ้างว่าเพื่อฝึกวินัย ถ้าใครตามข่าวมาคงได้ยินกันมาบ้าง ตัวเรื่องให้พระเอกเป็นคนรักความยุติธรรมได้เข้าไปยื่นมือช่วยเหลือรุ่นน้อง พร้อมทั้งท้าชนต่อสู้กับเรื่องนี้ให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องได้รับรู้ปัญหา แต่กลายเป็นว่าเขาต้องมาเจอกับการปกปิดด้วยอำนาจบารมีและเงินของพ่อที่เป็น สส. ใหญ่ที่เตรียมตัวลงชิงประธานาธิบดีในสมัยต่อหน้า ซึ่งในส่วนนี้เองอาจจะดูเข้มข้นขึ้นมาบ้าง แต่เรื่องก็ไม่ได้มีทางแก้ปัญหาหรือะไรมากมาย เพราะกลายเป็นว่านี่แค่เป็นปมให้ตัวเอกจบปัญหากับพ่อ และเริ่มสู่เส้นทางใหม่ในชีวิตต่อไป

ส่วนนางเอกที่วางไว้เป็นนักแปลพ่วงล่าม โอเคบุคลิกนิสัยต่างๆ ดูเป็นนางเอกห้าวๆ ทันสมัยแต่น่ารักไปในตัว แต่เนื่องจากตัวเรื่องเน้นรักนำหน้า ก็เลยกลายเป็นว่าเธอปิ๊งพระเอกตั้งแต่แรกเห็น ทำให้แทบจบเลยว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไป เพราะนางเอกของเรื่องก็บอกเลยว่าชอบคนหล่อ ขอแค่หล่อก็กลายเป็นพหรมลิขิตกันได้ง่ายๆ อาจจะเพราะตัวเธอคือนักแปลหนัง ซึ่งมีความอินกับเรื่องราวจากหนังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่บทในเรื่องนี้ก็ไม่ได้เจาะลึกอาชีพนักแปลหนังมาใช้อะไรมาก นอกจากแค่โยงไปว่าเธอสามารถมาเป็นล่ามเก่งๆ ได้ด้วย จนทำให้กลายมาเป็นความบังเอิญได้มารู้จักกับพระเอก แล้วก็ปิ๊งทันทีเลย แต่ตัวเรื่องก็มีแทรกกิมมิคเล็กๆ เกี่ยวกับพวกหนังฝรั่งดังเก่าๆ ซึ่งนางเอกมักชอบพูดขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบกับสิ่งต่างๆ เวลาคุยกับพระเอก ซึ่วตัวพระเอกถูกวางไว้ให้รู้จักแต่เรื่องวิ่ง ไม่ค่อยรู้เรื่องอื่นใดในโลกนักเพราะเป็นพวกไม่แคร์สังคม ก็ทำให้มีโมเมนต์น่ารักๆ เอ๋อๆ เวลาพระเอกไม่รู้จักหนังพวกนี้อยู่บ้าง

จุดเด่นของเรื่องจริงๆ ตอนแรกมองว่าพระเอกมีนิสัยประหลาดๆ การพูดจา ความนึกคิดเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องในสังคมมาก (ขนาดคำด่ายังไม่รู้จักต้องค้นในเน็ตดูตลอด) แถมยังพูดตรงๆ แบบไม่คิดอีก ซึ่งหลายๆ อย่างชวนให้ดูเป็นหนุ่มสายติสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้เรื่องดูน่ารักตลกๆ น่าติดตาม แต่พอเรื่องเดินไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าตัวละครในเรื่องหลักๆ กลายเป็นคาแรกเตอร์ติสๆ ไม่ต่างอะไรจากพระเอกเลย ยิ่งบทประธานสาวของพระเอก กลายเป็นเหมือนคนประเภทเดียวกัน พูดอะไรประหลาดๆ ชวนให้งงตลอด จะมองว่าบทพูดในเรื่องนี้ถูกประดิษฐ์มาเพื่อให้ดูติสๆ เก๋ๆ ก็ได้ แต่ถ้าคนไม่อินนี่คือจะรำคาญกับบทพูดที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ แถมต้องแปลตีความให้เข้าใจอีกทีตลอด

แต่ที่ติมาทั้งหมดก็ไม่ได้ว่าเรื่องจะเลวร้ายหรือย่ำแย่จนดูไม่ได้ กลับกันถ้าคนดูสายเกาหลีฟินๆ นี่ก็เป็นซีรีส์แนวรักที่ตอบโจทย์กันตั้งแต่แรกเลย พระเอกหล่อเท่เป็นหนุ่มนักกีฬาชวนฝัน แถมแสดงออกกันตรงๆ ตลอด ไม่มีมาลีลาอะไรทั้งสิ้น นางเอกก็น่ารักทันสมัย ปากคอร้ายทันคนตลอด ซึ่งคนดูเองก็ต้องชอบแน่นอน แต่ถ้าจะเป็นปัญหาก็คงตรงพล็อตเรื่องที่ยังธรรมดาติดสูตรเดิมๆ มากไปนี่แหละครับ คงต้องรอติดตามกันต่อไปว่าตัวเรื่องจริงๆ จะมีอะไรมาขายมากกว่าตอนนี้ที่เห็นหรือไม่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!