playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว SERVANT OF THE PEOPLE ซีรีส์ตลกเสียดสีการเมืองเจ็บๆ ของประธานาธิบดียูเครน

Summary

ซีรีส์ตลกเสียดสีการเมืองของประธานาธิบดียูเครนที่ทำให้เขากลายมาเป็นตัวจริงได้อย่างน่าทึ่ง เนื้อเรื่องสนุกตลกฮาไปกับมุกล้อเลียนเสียดสีการเมืองแบบเจ็บๆ ที่มีปัญหาเหมือนกันทั่วโลกแน่นอน ไม่ว่าคุณจะโปรฝั่งไหนก็ดูเรื่องนี้แล้วขำไปกับมุกเหล่านี้ได้ แถมตัวเรื่องยังสอดแทรกความรู้เรื่องการเมืองรัฐสภาประชาธิบไตยมาอย่างจริงจัง มีบทชิงไหวพริบการเมืองที่เข้มข้นรวมอยู่ด้วย อีกทั้งยังสะท้อนความรู้สึกนึกคิดของชาวยูเครนที่มีต่อรัสเซียในหลายแง่มุมออกมาได้ดีมาก เหมาะสำหรับคนสนใจเรื่องราวยูเครนโดยเฉพาะด้วย

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ซีรีส์ที่เหมือนการหาเสียงล่วงหน้าของประธานาธิบดียูเครน
  • สะท้อนปัญหาการเมืองจริงจังและค่อนข้างครบทุกแง่มุม
  • ยิงมุกตลกฮาได้ตลอดเรื่อง
  • มียิงมุกจิกกัดปูตินแรงๆ หลายครั้ง
  • การแก้ปัญหาในเรื่องยังอิงกับความเป็นจริงทางประชาธิปไตย
  • เสียงรัสเซีย มีซับไทย

Cons

  • โปรดักชั่นงานฉายทางทีวีก็อาจจะไม่ดีมาก
  • บางเคสในเรื่องอาจจะตัดจบง่ายๆ (เพราะเรื่องตั้งใจแค่เสนอปัญหาการเมืองให้เห็น)
  • ซีซั่น 3 สองตอนสุดท้ายเรื่องราวออกทะเลไป

ตัวอย่าง

รีวิว SERVANT OF THE PEOPLE เพื่อประชาชนที่รัก

เกริ่นก่อนเผื่อใครยังไม่ทราบ ก่อนเป็นประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี เป็นนักแสดงดาราตลกมาก่อน โดยเล่นในซีรีส์ที่ตัวเองสร้างกับบทบาท “วาซิลี โกโลโบร็อดโก” ครูสอนประวัติศาสตร์นักเรียนชั้นมัธยมปลายที่กลายมาเป็นประธานาธิบดีเช่นกัน ซึ่งหลังซีรีส์ได้รับความนิยมอย่างสูงมีทั้งหมด 3 ซีซั่น ทีมงานของซีรีส์เรื่องนี้ก็ก่อตั้งพรรคในชื่อเดียวกับซีรีส์ และตัวเขาก็ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2018 แล้วก็ชนะไปอย่างท่วมท้นด้วยคะแนน 73.2 % และวางตัวเป็นนักการเมืองที่ต่อต้านกลุ่มผู้มีอำนาจและปราบการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้ก็เหมือนแผนการหาเสียงล่วงหน้าของเขาดีๆ นี่เอง เพราะทุกอย่างในเรื่องนี้ช่างเหมือนบันไดการก้าวขึ้นสู่อำนาจท้าชนผู้มีอำนาจเบื้องหลังการเมืองอันแสนยาวนานของยูเครน (ในยูเครนเองปัญหาการคอรัปชั่นสูงมาก อยู่อันดับที่ 126 เมื่อเทียบกับไทยอันดับ 101 )

เนื้อหาของซีรีส์ทั้ง 3 ซีซั่นต่อกันหมดเป็นเรื่องเดียวตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีการจบสมบูรณ์ในซีซั่นแล้วขึ้นใหม่ ดังนั้นผู้ชมที่ต้องการชมเรื่องนี้ก็ต้องทำใจก่อนว่าซีรีส์ยาวมากซีซั่น 1-2 มี 23 ตอน เวลาต่อตอนประมาณ 25 นาที ยกเว้นตอนแรกของซีซั่นจะยาวเกือบชั่วโมง ส่วนซีซั่น 3 จะมีแค่ 3 ตอนยาวเกือบชั่วโมงเท่ากัน

ด้วยความที่เรื่องนี้สร้างฉายทางทีวียูเครน ดังนั้นโปรดักชั่นต่างๆ ก็อาจจะไม่ได้เนี๊ยบหรือตั้งใจโกอินเตอร์ในตอนแรก ออกแนวเหมือนละครหลังข่าวจริงๆ แต่ที่เราได้ดูกันก็คงเพราะกระแสสงครามรัสเซียบุกยูเครนที่เกิดขึ้น และ Netflix พึ่งทำซับไทยตามมาในเดือนพฤษภาคม แต่อย่าพึ่งคิดว่าภาพรวมของซีรีส์เรื่องนี้จะไม่สนุก เป็นแค่ละครทีวียูเครน เพราะเอาจริงๆ แล้วอยากให้มองข้ามเรื่องนี้ไป นี่เป็นซีรีส์ตลกที่เน้นขายมุกเสียดสีเหมือนจริงหรือเกินจริงกับการเมือง ซึ่งไม่ว่าคนชาติไหนก็น่าจะขำได้แน่นอนการันตีได้เลย เพราะบทในเรื่องนี้มันสะท้อนภาพการเมืองที่เลวร้ายได้ทุกยุคสมัยไม่มีการเปลี่ยนไปเลย ในเรื่องจึงกำหนดให้พระเอกเป็นครูสอนประวัติศาสตร์ที่เบื่อหน่ายการเมืองสุดๆ จนไม่อยากเลือกใคร แต่แล้วเขาจับพลัดจับพลูได้เป็นประธานาธิบดีเพราะมีนักเรียนแอบถ่ายคลิปลงในยูทูป ในจังหวะที่เขาด่า ผอ. เรื่องการเมืองที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับงานของเขา ด่าลามไปยังนักการเมืองในยูเครนที่เป็นต้นตอของความเลวร้ายต่างๆ อย่างเมามันส์ จนกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ของยูเครนไป แล้วเขาก็โดนเรียกร้องให้ลงสมัครแข่งจนชนะมาได้แบบงงๆ ซึ่งตัวเรื่องเปิดมาตอนแรกก็เข้าสู่จุดนี้ทันที แล้วค่อยแฟลชแบ็คเล่ากลับมาว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเขาถึงได้มาเป็นตรงนี้ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องสมมุติแต่ก็ยังอิงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง และผลลัพธ์เราก็เห็นอยู่ว่าซีรีส์เรื่องนี้ก็พาให้เขาได้มาเป็นประธานาธิบดีจริงๆ ในแบบเดียวกัน

หลักๆ แล้วซีรีส์เดินเรื่องด้วยการที่ตัวเอก วาซิลี โกโลโบร็อดโก ก้าวเข้ามาจัดการปัญหาทุจริตในทุกรูปแบบ ตั้งแต่เรื่องพื้นๆ อย่างถนนพังของบทำใหม่ ซึ่งก็เหมือนกับไทยเด๊ะๆ และซีรีส์ก็เอารูปแบบการทุจริตด้านหลังที่เราคนไทยเองก็รู้กันมาเล่นให้เป็นมุกตลกเฮฮา ที่วาซิลีเองก็ปวดหัวแก้ไม่ได้ อย่างการที่มีหัวคิวกินกันเป็นทอดๆ จากงบสิบล้านกลายเป็นร้อยล้านเพราะสั่งงานผ่านกันหลายทอด แต่ละทอดก็ขอค่าผ่านทางเพิ่มงบกันไปเรื่อยๆ หรือปัญหาพวกผู้ติดตาม สส. ที่ปรึกษา เลขา ที่เป็นตำแหน่งตั้งมาลอยๆ จำนวนเกินจริง กินงบประเทศก็ไม่แตกต่างอะไรจากไทยเลย หรือมีกระทั่งปัญหารถนำขบวนปิดถนนให้นักการเมืองกับเมีย ซึ่งอะไรเหล่านี้ถูกนำมาทำเป็นเรื่องชวนขำได้มากมาย

ในเรื่องจะมีพวกฉากมโนเยอะ เป็นแบบสิ่งที่วาซิลีอยากทำแต่ทำจริงไม่ได้ อย่างฉากยิง สส. ตายหมดสภางี้

ส่วนปัญหาใหญ่หน่อยที่ในเรื่องใช้เป็นปมหลักในเรื่องคือเมื่อรัฐบาลถังแตก แล้วต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF ที่ปล่อยเงินกู้ให้ประเทศแลกกับเงื่อนไขต่างๆ นาๆ ซึ่งเงินตรงนี้ก็ถูกผู้มีอำนาจกับนักการเมืองจ้องรุมทึ้ง ก็เลยกลายเป็นว่าวาซิลีต้องมาทำภารกิจลับงัดข้อโค่นอำนาจนักการเมืองกับผู้มีอิทธิพลด้วยวิธีนอกระบบที่ไม่ผ่านสภา เพราะสภากลายเป็นละครปาหี่ที่ผู้มีอำนาจเบื้องหลังชักใยกุมเสียง สส. ไว้ในมือในการผ่านงบประมาณต่างๆ ซึ่งตัวประธานาธิบดีเองไม่ได้มีสิทธิตัดสินใจตรงนี้โดยตรง ต้องขึ้นกับสภากับนายกรัฐมนตรีเป็นคนจัดการ ซึ่งบอกเลยว่านอกจากซีรีส์เรื่องนี้จะยิงมุกตลกเสียดสีด่านักการมืองได้แบบเจ็บแสบแบบฮาๆ แล้ว ยังได้ความรู้เรื่องการเมืองเชิงลึกในระดับนึงเลยด้วย เพราะซีรีส์มักเอาเรื่องจริงกับระบบรัฐสภาการทำงานของประธานาธิบดี ขอบเขตที่ทำได้ทำไม่ได้มาเล่นเป็นมุกตลกที่อธิบายให้คนดูเข้าใจง่าย โดยไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือความจริงของการเมือง แม้จะฉีกกฎการแก้ปัญหาจากการคิดนอกกรอบของตัวเอก แต่ทุกอย่างยังอยู่ในกฎกับหลักการประชาธิบไตยโดยตรง แค่เพิ่มความโอเวอร์แอ็คติ้งกับเรื่องราวเว่อร์ๆ ชวนขำมาเท่านั้นครับ

แต่ไม่ใช่ว่า โวโลดีมีร์ เซเลนสกี จะเป็นตัวแบกทั้งเรื่อง ในเรื่องนี้บทรองตัวละครอื่นก็มีความเด่นไม่แพ้กัน อย่างทีมงานของประธานาธิบดีโดยตรง ที่มีตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ กระทรวงข่าวความมั่นคง ประธานแบงค์ชาติ กลาโหม รัฐมนตรีสรรพากร ซึ่งในเรื่องก็ให้เขาพาเพื่อนก๊วนวัยเรียนมารับตำแหน่งแทนคนเดิมที่ถูกไล่ออกยกชุด  บางคนก็เป็นอดีตเมียเก่าของวาซิลีเอง โดยไม่สนข้อครหาว่าแต่งตั้งพวกเดียวกันขึ้นมา แต่ในเรื่องนี้คือทีมซื่อมือสะอาดที่เขาไว้ใจ ซึ่งแต่ละคนก็จะได้รับงานปวดหัวทั้งจากตัวประธานาธิบดีเองกับงานประจำ โดยเอาเรื่องจริงของสายงานต่างๆ ในรัฐบาลมาเล่นเป็นมุกโจ๊กที่ตลกไม่แพ้กัน อย่างการที่รัฐมนตรีต่างประเทศต้องแถลงท่าทีเรื่องรัฐประหารในอูกันดา ซึ่งมันฮาตรงที่ไม่รู้ว่าจะแถลงยังไงดี เพราะอเมริกากับจีนดันมาหนุนตรงข้ามกันในเรื่องนี้ แล้วยูเครนเองก็มีสัมพันธ์อันดีกับทั้งสองประเทศจริงๆ ในแง่การค้าและเงินสนับสนุน ซึ่งหลักๆ บทเด่นก็จะมักเล่นมุกกับรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้แหละ ซึ่งตัวนักแสดงเองก็หน้าตาชวนฮาสุดๆ

นอกจากนี้แล้วฝั่งตัวร้ายของเรื่องก็มีเสน่ห์ไม่แพ้กัน โดยตัวหลักจะอยู่ที่นายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาสอนงานวาซิลี ซึ่งไปๆ มาๆ หมอนี่ก็กลายเป็นบอสของซีซั่นแรก แล้วก็ลากยาวต่อเป็นตัวละครสำคัญตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง โดยมี 3 บิ๊กผู้มีอำนาจหรือนายทุนการเมืองอยู่เบื้องหลังอีกชุด ซึ่งบทบาทตัวร้ายในเรื่องก็เสนอหน้าออกมาตลอดเพราะไม่ว่าวาซิลีทำอะไรก็ไปขัดผลประโยชน์พวกนี้หมด โดยเรื่องก็เป็นแนวเกมชิงไหวพริบการเมืองที่ต่อหน้าก็ยิ้มแย้มเข้าหากัน แต่ลับหลังก็แทงกันยับ ไม่เว้นแม้แต่วาซิลีเองก็เล่นบทโหดไม่เบา แต่เรื่องก็ไม่ได้ออกแนวป่าเถื่อนฆ่ากัน ยังคงใช้เกมการเมืองเป็นการเดินเรื่องสนุกๆ หักเหลี่ยมชิงไหวพริบ โดยซีซั่นแรกอาจจะไม่เข้มข้นมากเพราะเรื่องหมดไปกับงานยิบย่อยของวาซิลีเยอะ จะมีเข้มๆ ก็ช่วงหลัง แต่พอซีซั่น 2 เรื่องค่อนข้างเข้มข้นสนุก มีการเชือดเฉือนทางการเมืองกับตัวร้ายอยู่ตลอดเวลา ซีซั่น 2 จะเป็นการลงสมัครประธานาธิบดีอีกครั้ง แล้วก็มีเรื่องการแย่งชิงคะแนนกันอย่างดุเดือดสนุกมากๆ

ซีรีส์ยังไม่ลืมที่จะใส่ตัวละครนอกการเมืองมาด้วย อย่างครอบครัวของวาซิลีที่ปรับตัวไม่ถูกกับการที่ลูกชายอยู่ๆ เป็นประธานาธิบดี แล้วพ่อแม่ก็เอาตรงนี้ไปอวดเบ่งหากิน หรือการที่พ่อแม่หนีภาษีไม่จ่าย ในขณะที่วาซิลีพึ่งประกาศผลักดันให้คนในชาติเข้าระบบภาษีมากขึ้น กลายเป็นน้ำท่วมปากกลับมาบ้านเจอข้อเท็จจริงของประชาชน ที่ใช้ตัวครอบครัวของตัวเอกเองมาสะท้อนปัญหานี้ ทำให้เรื่องราวค่อนข้างครบเก็บตกรายละเอียดต่างๆ ในมุมมองปัญหาการเมืองทุกด้านทุกชนชั้นได้ดีเลย

และเรื่องนี้ยังเผยให้เห็นมุมมองของชาวยูเครนกับรัสเซียหลายอย่าง ซึ่งก็น่าจะเป็นส่วนใหญ่ไม่น้อยเลยที่ไม่ชอบรัสเซีย และอึดอัดกับการเป็นประเทศกันชนรัสเซียกับยุโรป ทำให้กระดิกไปไหนไม่ได้ พัฒนาอะไรก็ลำบาก ซึ่งในเรื่องวาซิลีเรียกเรื่องนี้ว่า รัฐกันชนระหว่างออร์คกับเอลฟ์ ซึ่งก็แอบฮาไม่น้อย แล้วยังชอบเล่นมุกกับรัสเซียแรงๆ อย่าง บอกปูตินโดนโค่นอำนาจแล้วเพื่อให้คนหยุดฟัง (ประมาณว่าบอกอะไรก็ไม่ฟังจนต้องเล่นมุกนี้ซึ่งได้ผลทุกที) แล้วภาษาในเรื่องนี้หลักๆ คือรัสเซีย วาซิลีกับเพื่อนก็พูดรัสเซีย แต่ก็มีเรื่องภาษายูเครนเข้ามาเอี่ยวอยู่หลายครั้งในมุกการหาเสียงแบ่งคนใช้ภาษารัสเซียไม่เรียนภาษายูเครนว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ทั้งๆ ที่จริงแล้วยูเครนเองก็เป็นเหมือนบ้านพี่เมืองน้องมีชาวรัสเซียจำนวนมาก แล้วก็ใช้ภาษารัสเซียเป็นหลักมากนาน แต่เรื่องก็ไม่ถึงกับตั้งใจเหยียดหรือเป็นชนวนให้เกิดสงครามแต่อย่างใด เพราะมันเป็นแค่มุกตลกโจ๊กเล็กๆ ในตอนหลังก็ยังมีตอนที่คนรัสเซียเข้ามาช่วยกู้ภัยแถบชายแดนติดกันด้วย (แต่มุกปูตินนี่เจ้าตัวมาฟังเองก็โกรธสุดๆ ที่โดนเอามาล้อในเรื่องนี้แน่ๆ)

สรุปเลยว่านี่เป็นซีรีส์ที่สนุกแบบดูยิงยาวได้ข้ามวันเลย หรือจะค่อยๆ ดูไปพักไปก็ได้ เพราะเรื่องแม้จะต่อเนื่องกันแต่ก็มีจบช่วงย่อยๆ ในแต่ละตอนกับปัญหาที่เกิดขึ้น ตัวเรื่องจะไต่ความสนุกขึ้นเรื่อยๆ ซีซั่น 1 ไป 2 แต่ซีซั่น 3 ที่มี 2 ตอน ใน 2 ตอนหลังเรื่องเหมือนพยายามฉีกหาทางจบแหวกแนวไปหน่อย โดยเล่าเรื่องข้ามไปยังโลกอนาคตแล้วเล่าย้อนกลับมายังประวัติศาสตร์สมมุติของยูเครนในช่วงปี 2019-2022 ซึ่งมันก็แตกต่างจากของจริงอย่างที่เรารับรู้กัน ก็เลยกลายเป็นช่วงออกทะเลของซีรีส์เรื่องนี้ไปหน่อยครับ แต่ก็แนะนำเลยว่าถ้าสนใจเรื่องยูเครนตอนนี้ควรค่าแก่การดูมากครับ

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!