รีวิว SILO Apple TV+ ซีรีส์ไซไฟโลกหายนะที่โลวเทคและเต็มไปด้วยปริศนาในทุกรายละเอียด!

SILO ซีรีส์แนวไซไฟโลกหายนะ 10 ตอน ของ apple TV+ ดัดแปลงสร้างมาจากนิยายของนักเขียน Hugh Howey เรื่องราวของผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่ใน Silo หลุมหลบภัยขนาดยักษ์ที่อยู่ใต้ดิน โดยมีกฎระเบียบมากมายที่พวกเขาเชื่อว่ามีไว้เพื่อปกป้องพวกเขาจากโลกด้านบนที่เป็นพิษ

 

รีวิว SILO (ไม่สปอยล์)

ซีรีส์โลกหายนะที่อาศัยอยู่ในที่จำกัด มีการแบ่งชนชั้นตามลำดับ คล้ายๆ กับซีรีส์ Snowpiercer ที่เป็นรถไฟ แต่ความแตกต่างของเรื่องนี้ก็คือการเล่นกับความลับของโลกล่มสลาย ทุกสิ่งทุกอย่างในเรื่องนี้เต็มไปด้วยปริศนา ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์หายนะบนโลก อากาศข้างนอกเป็นพิษจริงหรือไม่? แท้จริงแล้ว SILO คืออะไร? ใครคือผู้สร้าง? แถมด้วยกฎระเบียบมากมายที่ไม่สมเหตุผล แต่เป็นกฎหมายที่ห้ามใครฝ่าฝืนพร้อมมีโทษรุนแรง ซีรีส์เล่าเรื่องจากจุดเริ่มต้นที่เท่ากับ 0 แล้วก็ดำเนินเรื่องด้วยการเพิ่มจำนวนปริศนามากขึ้นเรื่อยๆ โดยแทบจะไม่มีการเฉลยคำตอบในเรื่องต่างๆ ให้ผู้ชมได้รู้เลย นี่เป็นซีรีส์ที่เริ่มเรื่องจาก 0 แล้วจบลงด้วยความคืบหน้าเพียงแค่ 1 เท่านั้น ตอนจบเราจะได้รู้เพียงแค่ว่าโลกด้านนอกจริงๆ แล้วเป็นเช่นไร ทั้งหมดคือคำโกหกหรือไม่ ซีรีส์ยังคงปกปิดความลับมากมายมหาศาลไว้ต่อไป ซึ่งจากที่ดูจบนี่แทบจะเป็นเหมือนซีรีส์ LOST ในตำนานที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความลับจนกระทั่งตอนจบก็ยังไม่เคลียร์ทั้งหมดเลยก็เป็นได้

แต่ทั้งหมดที่ว่ามามันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก เมื่อการดำเนินเรื่องทุกอย่างเป็นความลับชวนให้ค้นหาและน่าติดตาม ซีรีส์ทำส่วนตรงนี้ออกมาได้ดีมาก ในช่วงแรกผู้ชมอาจจะรู้สึกเบื่อกับเรื่องราวที่มีแต่คำศัพท์เฉพาะตัวในเรื่อง อย่างการถูกส่งไปทำความสะอาดก็คือคำที่แทนคำว่า “โทษประหารชีวิต” อนุสรณ์คือสิ่งของจากโลกยุคเก่า ทุกอย่างคือของต้องห้าม แต่มีค่ามากมายกับผู้คนใน SILO ซีรีส์เต็มไปด้วยคำศัพท์เฉพาะมากมายจนผู้ชมอาจจะเข้าไม่ถึงเลิกดูไปก่อน แต่ผ่านไปสักพักเราจะเริ่มเข้าใจในคอนเซ็ปต์ของเรื่องนี้ขึ้นมาว่า นี่มันคือคุกในโลกดิสโทเปียที่หลอกล่อผู้คนว่าคือที่หลบภัย ทุกอย่างในเรื่องนี้จึงถูกจำกัดและเต็มไปด้วยกฎมากมาย โดยมีผู้ปกครองที่รักษากฎเป็นตำแหน่งลำดับชั้นเหมือนโลกจริง อย่าง ตำรวจ นายอำเภอ ผู้พิพาษา แต่ทุกคนก็คือเบี้ยในระบบสังคมใต้ดินขนาดใหญ่ ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้างขึ้นกันแน่ ทำให้ทุกตัวละครในเรื่องนี้ต่างก็มีเหตุผลโดยชอบธรรมของตัวเองที่จะปกป้องอันตรายที่จะเกิดขึ้น (ไม่มีตัวร้ายชัดเจนให้เห็น) ซึ่งอันตรายที่ว่านี้ก็คือความพยายามไขปริศนาของตัวละคร Juliette Nichols (แสดงโดย Rebecca Ferguson) เอนจิเนียร์จากชั้นล่างสุดของ SILO ที่ถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่นายอำเภอ แต่เธอกลับใช้อำนาจนี้สืบสวนสาเหตุการตายปริศนาของชายคนรัก ซึ่งนำไปสู่การไขปริศนา SILO ที่กลายเป็นภัยต่อทั้งระบบ ซึ่งผู้ปกครองไม่อาจจะยอมให้เกิดสิ่งนี้ได้ 

ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นไซไฟดิสโทเปีย ทุกอย่างในเรื่องจึงออกมาล้าหลังย้อนยุคไปหมด ในเรื่องมีไฟฟ้าใช้ แต่ก็มีแค่สิ่งของจำเป็นพื้นฐานเท่านั้น ไม่มีลิฟท์ ไม่มีอุปกรณ์ช่วยเดินทางระหว่างความสูงเป็นร้อยชั้นของ SILO คือเดินเท่านั้น เพราะเป็นกฎที่ห้ามให้มีตัวช่วยใดๆ ทำให้เรื่องนี้สามารถเล่นกับการเดินทางที่ลำบากให้เป็นอุปสรรคสำคัญได้ รวมถึงการเพิ่มสิ่งของใหม่ๆ จากโลกเก่าเข้ามาภายหลัง ซึ่งแม้จะเป็นแค่สิ่งของในปกติในโลกปัจจุบัน อย่างหนังสือท่องเที่ยว แต่สำหรับที่แห่งนี้มันกลายเป็นสิ่งของต้องห้ามที่จุดชนวนปฏิวัติสังคมใน SILO ได้เลย ซึ่งตรงนี้คือจุดเด่นหลักของเรื่อง แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ออกมาโลวเทค แทบไม่มีฉากใช้ CG ให้เห็นมาก นอกจากชั้นความสูงของ SILO ที่ลึกมากจนมองไม่เห็นปลายทาง ซึ่งผู้ชมที่คาดหวังแนวไซไฟที่มักจะมีสิ่งของหรือเทคโนโลยีล้ำยุคบ้างก็อาจจะผิดหวัง อย่างเช่น The Hunger Games หรือ SEE ของ apple tv+ เอง แม้จะเป็นโลกหายนะจนผู้คนใช้ชีวิตแบบย้อนยุค แต่ก็มีส่วนของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากกว่านี้

แต่สิ่งที่ดีงามที่สุดของเรื่องก็คือ การแสดงของ  Rebecca Ferguson นักแสดงที่มีดวงตาที่สวยมีเสน่ห์เด่นชัด การแสดงของเธอต้องรับบทบาทสาวแกร่งที่ใช้ชีวิตคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ต้องพบกับความรักที่ซื่อตรงบริสุทธิ์ ซึ่งในโลก SILO ทุกคนมักมีปัญหาความสัมพันธ์ทางใจเสมอ เพราะมีกฎข้อห้ามต่างๆ บังคับฝืนจิตใจไว้ เธอเล่นบทนี้ได้สมบทบาทมากกับการตามหาความจริงของชายคนรักที่ตายลงไป แม้จะฝืนกฎมากมายจนทำให้ตัวเองเป็นอันตรายก็ไม่อาจจะหยุดหัวใจตัวเองได้ ซึ่งการแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอดึงดูดช่วยแบกเรื่องนี้ไว้เต็มๆ 

โดยรวมนี่คือซีรีส์แนวไซไฟโลกหายนะที่ดีมากเรื่องหนึ่งเลย แต่ผู้ชมอาจจะต้องพยายามปรับตัวให้เข้าถึงคอนเซ็ปต์ที่แปลกมากของเรื่องนี้ได้ก่อนถึงจะดูแล้วสนุกน่าติดตามครับ  แนะนำว่าสัก 3 ตอนไปแล้วจะค่อยๆ เข้าใจและสนุกไปกับเรื่องราวความลับที่น่าติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ แม้ว่าตอนจบจะเฉลยเรื่องราวเพิ่มแค่นิดหน่อย แต่ก็ยังคุ้มค่าที่จะรับชมอยู่ดีครับ

 

including other English reviews