playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Snowpiercer เทียบจุดเปลี่ยนซีรีส์กับภาพยนตร์ (อัพเดท EP10 จบ SS1)

สรุป

ตัวซีรีส์ทำได้โอเคสำหรับคนที่ไม่เคยดูภาพยนต์มาก่อนน่าจะเหมือนได้เห็นอะไรใหม่ๆ สนุกกว่า และไม่เอะใจกับจุดที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวเรื่องก็ไม่อืด ช่วงครึ่งแรกตอน 1-4 เป็นแนวสืบสวนมากกว่าการปฏิวัติชนชั้นแบบในภาพยนตร์ ครึ่งหลังจะเป็นจุดเริ่มต้นของชนวนปฏิวัติ ซึ่งก็ทำได้แปลกใหม่ไม่เหมือนภาพยนตร์หลายอย่าง และยังทิ้งค้างตอนจบ SS1 ไว้ในแบบที่มีโอกาสจะไปเชื่อมกับฉบับภาพยนตร์ได้เนียนๆ อีกด้วย

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
4.15 (13 votes)

Pros

  • ยังคงมีหัวใจของเรื่องการปฏิวัติชนชั้นในตู้รถไฟอยู่
  • รายละเอียดของโลกดิสโทเปียยุคน้ำแข็ง
  • CG ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ดีไม่แพ้ภาพยนตร์
  • มีอธิบายขยายความจากในภาพยนตร์เพิ่มเติมบางจุดซึ่งทำได้ดี
  • การสืบสวนในที่จำกัดบนโครงเรื่องไซไฟของโลกดิสโทเปีย
  • ทั้งบทและนักแสดง Jennifer Connelly เป็นตัวเอกหลักที่ดึงดูดให้น่าติดตาม
  • มีเสียงพากย์ไทยให้ได้ฟังกันด้วย

Cons

  • ตัวพระเอกของเรื่องไม่ค่อยมีเสน่ห์น่าติดตามเท่าไหร่
  • เปิดเผยเนื้อหาตู้โดยสารต่างๆ เยอะและไวเกินไปจนแทบหมดขบวนในตอนแรก EP1
  • สัดส่วนห้องกับตัวรถไฟหลายที่ดูไม่สมเหตุผลนัก ขนาดห้องใหญ่เกินจริง (เป็นตู้ที่ไม่มีในฉบับภาพยนตร์)

Snowpiercer Netflix ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง ซีรีส์จากภาพยนต์ดังในชื่อเดียวกันลงช่องเคเบิล TNT ของอเมริกา และ Netflix ซื้อสิทธิ์มาลงฉายทั่วโลกทุกวันจันทร์บ่าย 2 โมงเป็นต้นไป เวลาต่อตอน 45-55 นาที มีทั้งหมด 10 ตอนจบซีซั่นแรก (เตรียมทำ SS2 ต่อแล้ว) เรื่องราวแตกต่างจากภาพยนตร์เป็นคนละไทม์ไลน์กัน โดยเรื่องในซีรีส์เริ่มตั้งแต่แรก สำหรับคนที่ไม่ดูภาพยนตร์มาก่อนก็สามารถดูได้รู้เรื่อง แต่ใครที่ดูภาพยนตร์มาแล้วก็อาจจะแปลกใจกับหลายอย่างที่เปลี่ยน ในรีวิวนี้จะมีเทียบให้เห็นทั้งสองแบบครับ

 Snowpiercer (2020) on IMDb

ตัวอย่างซีรีส์ Snowpiercer SS1 Netflix ปฏิวัติฝ่านรกน้ำแข็ง

บทความไม่มีเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องในซีรีส์ ส่วนสำคัญในภาพยนตร์ที่นำมาเปรียบเทียบจะมีซ่อนสปอยล์ไว้ครับ 

หมายเหตุรีวิวเขียนจากอัพเดททุกอาทิตย์ 10 ตอนจนจบ

เรื่องย่อ ซีรีส์ Snowpiercer Netflix

7 ปีผ่านไปหลังจากที่โลกทั้งใบกลายเป็นดินแดนเยือกแข็งอันรกร้าง และผู้คนที่เหลือรอดชีวิตต่างต้องอาศัยอยู่ในรถไฟ “สโนว์เพียร์ซเซอร์” ขบวนยักษ์ 1,001 ตู้ที่แล่นไปรอบๆ โลกอย่างไม่มีวันจบสิ้นโดยใช้พลังงาน “เครื่องจักรนิรันดร์” ขับเคลื่อนไปท่ามกลางสภาพอากาศที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง จนไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถอาศัยอยู่ข้างนอกได้ อย่างไรก็ตามภายในขบวนรถไฟก็เกิดเป็นสังคมใหม่ ที่มีการแบ่งแยกชนชั้นและริดรอนสิทธิของมนุษย์ และนั่นเองก็ทำให้การปฏิวัติจากชนชั้นล่างกำลังจะอุบัติขึ้น

Snowpiercer Netflix SS1 รีวิว

ซีรีส์ที่ทำมาจากภาพยนตร์ดังของผู้กำกับ Parasite  Bong Joon Ho ที่พึ่งได้ออสการ์ไปหมาดๆ ตัวหนัง Snowpiercer ยึดด่วน วันสิ้นโลก ตอนนี้ในไทยดูผ่านลิขสิทธิ์เหลือของที่ monomax ที่เดียว (สมัครสมาชิกคลิกรับชมได้ที่นี่) ตัวเรื่องในภาพยนตร์คือ 17 ปีหลังจากรถไฟออกวิ่ง และก็เป็นเรื่องราวการปฏิวัติลุกฮือของท้ายขบวนมาด้านหน้า ในระหว่างทางก็จะได้พบกับตู้โดยสารที่แต่ละท่อนแบ่งเป็นสังคมแต่ละแบบ รวมถึงเป็นระบบนิเวศน์หล่อเลี้ยงชีวิตคนในรถไฟให้อยู่รอดได้ด้วย จุดเด่นของเรื่องคือการไขความลับว่าหัวขบวนมีอะไรรออยู่ และเจ้าของรถไฟนี้ที่ถูกเรียกว่า “คุณวิลฟอร์ด” คือใคร?

เวอร์ชั่นภาพยนตร์ นำแสดงโดย คริส อีแวนส์

แต่ตัวซีรีส์ที่ทำออกมาใหม่เรื่องจะเริ่มต้นจากตอนแรกที่เริ่มขึ้นขบวนรถไฟ มีการขยายความเพิ่มนิดหน่อยว่าผู้โดยสารมาจากไหน และเป็นกลุ่มคนที่เป็นตัวการทำให้เกิดหายนะของโลกรวมอยู่ด้วย ตรงจุดนี้จะต่างจากในภาพยนตร์ที่มีบอกชัดว่าเกิดจากการใช้สารทำความเย็นเพื่อลดโลกร้อน แต่เข้าใจว่าอาจจะไม่อยากเอ่ยถึงเพราะปัญหาโลกร้อนเปลี่ยนแปลงไปจากตอนที่สร้างหนังเมื่อปี 2013 จากนั้นเรื่องก็กระโดดข้าม 7 ปีต่อมา แล้วก็พยายามจะเดินตามรอยเดิมส่วนหนึ่งเรื่องการปฏิวัติ ที่ถอดแบบภาพยนตร์มาเลย และอีกส่วนก็คือเส้นเรื่องใหม่เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในขบวนรถไฟของชนชั้นสูงด้านหน้า และก็ดึงตัวเอกจากท้ายขบวนมาเป็นนักสืบในคดีนี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความพยายามฉีกเรื่องราวออกไปได้ดี

CG ในซีรีส์ลงทุนสูงทำได้เนียนไม่แพ้ภาพยนตร์เลย

สำหรับคนที่ไม่เคยดูภาพยนตร์มาก่อน น่าจะมีความสนุกอยู่ที่ได้เห็นการจำลองโลกดิสโทเปียนรกน้ำแข็งที่แปลกใหม่ ผสมกับส่วนสืบสวนหาฆาตกรในโลกไซไฟที่จำกัด ตัวเรื่องก็เผยเนื้อหาแต่ละตู้โดยสารไวหลายตู้ให้เห็นเยอะมากจนแทบจะหมดแล้ว ต่างจากในภาพยนตร์ที่กว่าจะผ่านไปแต่ละตู้ค่อนข้างลำบาก และมีการขยายความเพิ่มว่าแต่ละตู้เป็นยังไงให้พอเข้าใจได้มากกว่าพอสมควร รวมถึงได้เห็นชีวิตคนที่ทำหน้าที่ในแต่ละตู้โดยสารเพิ่มมากขึ้น จากที่ตัวภาพยนตร์เป็นเพียงแค่เดินผ่านเป็นส่วนใหญ่

ในส่วนปฏิวัติชนชั้นครึ่งแรกจะยังไม่ได้เผยอะไรมาก แต่เรื่องก็เผยให้เห็นรูปแบบเดียวกับภาพยนตร์ออกมาสั้นๆ ให้คนดูพอเข้าใจว่าต้องทำยังไงถึงบุกไปหัวขบวนได้ ในส่วนฆาตกรรมมีเรื่องราวเยอะกว่า และตัวซีรีส์จะสนใจเดินเส้นเรื่องนี้ตั้งแต่แรก อาจจะเพราะเข้าใจว่าคนดูรู้อยู่แล้วว่ามีเวอร์ชั่นภาพยนตร์ที่เล่าไปไกลกว่าตอนจบในซีรีส์แล้ว เรื่องปฏิวัติชนชั้นที่ดูตอนนี้จึงไม่ได้จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งแน่ๆ ตัวพาร์ทฆาตกรรมมีเนื้อหาเชิงสืบสวนกึ่งไซไฟนิดๆ โยงถึงเรื่องปัญหาโลกดิสโทเปียในที่จำกัดในรถไฟ และก็โยงไปถึงเรื่องราวเกี่ยวพันกับความลับของบุคคลสำคัญในขบวนนี้

ตัวซีรีส์เปลี่ยนธีมการเล่าตั้งแต่แรกเริ่ม ตัวเรื่องก็ไม่อืด ออกแนวเรื่อยๆ มีปมนิดหน่อยพอให้น่าติดตาม มีแฟลชแบ็คกลับไปยังชีวิตตัวละครก่อนขึ้นรถไฟบ้าง เพราะเรื่องพึ่งเกิดหายนะได้ไม่ถึงสิบปีต่างจากในภาพยนตร์ที่ไปไกลกว่านั้น จนมีคนรุ่นที่เกิดบนรถไฟเป็นตัวละครหลักของเรื่องแล้ว (ในซีรีส์ยังไม่มีตัวละครแบบนี้ให้เห็นชัดเจน)

รีวิวส่วนนี้เทียบจุดเปลี่ยนของซีรีส์กับภาพยนตร์ (มีสปอยล์เนื้อหาบางส่วน)

แต่สำหรับคนดูภาพยนตร์มาก่อน หลายอย่างที่เผยออกมาในซีรีส์เรียกว่าขัดแย้งกับที่เคยดูมาเลย ตั้งแต่ตัวคุณวิลฟอร์ดที่กว่าเราจะได้เห็นว่าเป็นใคร และก็ไม่ใช่ตัวละครที่เห็นจากในซีรีส์ตอนแรก ตัวรถไฟหัวขบวนก็ไม่ตรงเช่นกัน ในซีรีส์เป็นหัวรถไฟทันสมัยปกติ ต่างกับภาพยนตร์ที่ไปไกลถึงเครื่องจักรนิรันดร์ และแทบจะเป็นไปไม่ได้ว่า 10 ปีผ่านไปจากตอนนี้ หัวรถไฟในซีรีส์นี้จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบนั้นได้ เพราะตามเรื่องมันไม่เคยหยุดวิ่งหรือแม้แต่คิดจะแตะเบรคเลย (อัพเดทตอนจบมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ อ่านได้ในสปอยล์ ep10) ซึ่งหัวใจสำคัญของภาพยนตร์ก็อยู่ที่จุดนี้ด้วยว่าวิลฟอร์ดเอาเด็กจากท้ายขบวนมาเพื่ออะไร และอธิบายเรื่องพลังงานที่ใช้ขับเคลื่อนให้เข้าใจว่าเป็นไปได้ ต่างกับในซีรีส์ที่มีปัญหาเรื่องพลังงานขาดแคลนอยู่ตลอด แม้แต่เรื่องเล่าการเอาชีวิตรอดเดือนแรกของภาพยนตร์ก็ต่างกับซีรีส์ เรียกว่าหนังคนละม้วนเลยก็ว่าได้ แม้จะมีเรื่องการกินเนื้อคนเหมือนกันก็ตามที (ในซีรีส์เป็นกลุ่มโจรกินคนเพื่อเอาชีวิตรอด ในภาพยนตร์เป็นจุดกำเนิดชายแก่ผู้นำการปฏิวัติตั้งแต่เริ่มเรื่อง) ตรงนี้ก็ต้องรอดูไปเรื่อยๆ ว่าตกลงซีรีส์จะพาไปเชื่อมกับภาพยนตร์ หรือว่าจะเล่าเรื่องใหม่ในโครงเรื่องเดิมกันแน่ครับ

Snowpiercer Netflix
Snowpiercer Netflix

ตัวนักแสดงหลักของเรื่อง Jennifer Connelly ต้องรับบทหนักเป็นหลายอย่างในเรื่องมากและออกแนวสีเทาๆ ไม่ดีไม่เลวจนเกินไป เธอก็แสดงได้ดีสมกับที่เป็นนางเอกยอดฝีมือรุ่นเก่า ที่อายุปาไป 50 แล้ว แต่ยังสวยมีเสน่ห์ไม่เปลี่ยน และเธอก็เป็นตัวดึงดูดให้เรื่องน่าติดตามตลอดเวลา แทบจะเป็นตัวเอกของเรื่องที่แท้จริงมากกว่า เลย์ตันที่เล่นโดย Daveed Diggs ตัวเอกฝ่ายชายที่เป็นผู้นำการก่อกบฎกลับดูไม่ค่อยเท่าไหร่ คาแรกเตอร์หน้าตาไว้ผมเผ้ารุงรังๆ จนดูแปลกๆ ตั้งแต่เริ่มเรื่อง เมื่อเทียบกับบทคล้ายกันของ Chris Evans ในภาพยนตร์ยิ่งรู้สึกไม่น่าดู แต่ถ้าไม่ติดภาพลักษณ์พวกนี้ก็ถือว่าผ่านอยู่ครับ แต่ไม่โดดเด่นเท่ากับตัว Jennifer Connelly ที่ทั้งคาแรกเตอร์และบททำให้เธอจะเป็นตัวแบกเรื่องให้คนติดตามดูจนจบ และสนุกกว่าการติดตามเชียร์ฝ่ายเลย์ตันมาก

ทิศทางหลังจบช่วงสืบสวนฆาตกรรมกลางเรื่อง EP4 (มีสปอยล์)

ตัวเรื่องที่เปิดมาเป็นแนวสืบสวนหาฆาตกรในรถตอนแรกจบลงอย่างรวดเร็วที่ตอน 4 และเริ่มเผยให้เห็นความเกี่ยวโยงกับตัวภาพยนตร์ ทิศทางครึ่งหลังของเรื่องคือ ความลับของตัวตนวิลฟอร์ดในซีรีส์ และก็ถูกนำมาใช้เป็นชนวนเหตุปฏิวัติที่ไม่ใช่แค่คนท้ายขบวนปฏิวัติ แต่รวมถึงชั้น 3 และตัวผู้โดยสารชั้น 1 เองก็คิดปฏิวัติเองด้วยเช่นกัน

วิลฟอร์ดตัวจริงอยู่ที่ไหน? (สปอยล์)

คำถามที่คนสงสัยมาตั้งแต่เรื่องแรกว่าเมลานีคือวิลฟอร์ดจริงหรือ? เพราะในภาพยนตร์จะมีตัวตนเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทขนส่งด้วยรถใหญ่อันดับ 1 ของโลก และก็มีความฝันตั้งแต่เด็กในการสร้างรถไฟที่วิ่งรอบโลกโดยอาศัยอยู่บนรถไฟได้ตลอดชีพเลยมาตั้งแต่แรกก่อนจะมีหายนะของโลก ซึ่งใน EP7 จะเริ่มเฉลยว่าเมลานีไม่ใช่วิลฟอร์ดตัวจริง และก็รับสืบทอดงานมาจริง เมลานีบอกเล่ากับคนอื่นว่าวิลฟอร์ดตายไปตั้งแต่แรกแล้ว และตายนอกขบวนรถไฟ ส่วนเธอเป็นคนสร้างรถไฟตัวจริง วิลฟอร์ดแค่ขายตั๋ว แต่คำถามที่เกิดต่อมาคือ วิลฟอร์ดตัวจริงจะอยู่ที่ไหนได้บนรถไฟ เพราะหัวขบวนก็เปิดเผยให้เห็นแล้วว่ามีแค่วิศวกรอีกสองคนคุมรถไฟ ที่ๆ มีความเป็นไปได้ที่สุดก็คือ “ตู้ลิ้นชัก” แต่ไม่ใช่แค่จุดที่ไว้ขังนักโทษ แต่เมลานีมีห้องลิ้นชักนี้ส่วนตัวในชั้น 2 อีก 11 ตู้ ตามคำบอกเล่าของหมอที่ช่วยเลย์ตันไว้ใน EP6

อัพเดท EP10 สปอยล์ตอนจบ

เรื่องเฉลยว่าวิลฟอร์ดอยู่บนรถไฟอีกขบวนที่ชื่อ “บิ๊กอลิซ” ต้นแบบของ Snowpiercer และทำหน้าที่เป็นตู้เสบียงขนทุกอย่างที่จำเป็นไว้หมด วิลลฟอร์ดนำรถไฟอีกขบวนมาเชื่อมกับขบวนนี้ได้สำเร็จ เพื่อยึดอำนาจรถไฟขบวนใหม่ โดยยังไม่ได้เปิดเผยตัวให้เห็น ก่อนจะไปต่อ SS2 นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากเว็บ IMDB ลงข้อมูลนักแสดงในเรื่องนี้ไว้ถึงซีซั่น 2 จะมีนักแสดงที่เล่นเป็นวิลฟอร์ดปรากฎตัวออกมา ซึ่งเล่นโดย Sean Bean ดาราดังจาก The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring และ Game of Thrones (บท Boromir กับ Eddard ‘Ned’ Stark)

ตัวซีรีส์คาดว่าน่าจะเป็นไทม์ไลน์เดียวกับตัวภาพยนตร์ แต่ใช้การทำใหม่เพิ่มรายละเอียดหรือเปลี่ยนทับของเดิมไป ซึ่งทางช่อง TNT ยังมีไอเดียที่หาทางเล่นเรื่องต่อจากตอนจบภาพยนตร์ไปได้อีกครับ (อ้างอิงจาก www.tvguide.com)

ตัวอย่างทีเซอร์ SS2 ที่เผยให้เห็นนักแสดง Sean Bean ที่เล่นเป็นวิลฟอร์ดสั้นๆ

วิลฟอร์ดในภาพยนตร์เป็นคนยังไง (สปอยล์เวอร์ชั่นภาพยนตร์)

 เอ็ด แฮริส
ในภาพยนตร์เล่นโดย เอ็ด แฮริส

ในซีรีส์จะแสดงให้เห็นว่าชื่อวิลฟอร์ดเป็นเหมือนผู้ทรงอำนาจที่ทุกคนเคารพยำเกรง จนเมลานีก็ยังต้องเอาชื่อของเขามาใช้ปกครองผู้คนบนรถไฟ ซึ่งในภาพยนตร์การปกครองก็แทบไม่ต่างอะไรกับในซีรีส์ ทั้งสองเวอร์ชั่นนี้ยังมีความเหมือนกันตามปกติยกเว้นรายละเอียดซีรีส์ที่มีมากกว่า (ในซีรีส์จะเห็นว่าเมลานีมีบันทึกกฎของวิลฟอร์ดไว้เป็นไกด์ไลน์ปฏิบัติตาม) แต่ตัววิลฟอร์ดของภาพยนตร์จะปรากฏเอาตอนท้ายสุดก่อนจบเรื่องเลย เพราะหัวรถจักรนิรันดร์เป็นความลับสุดท้ายของเรื่องว่าทำงานได้อย่างไรโดยไม่มีวันหมดพลังงาน ซึ่งตัวเอกในภาพยนตร์ก็บุกไปจนถึงหัวรถจักรได้ แต่แล้วกลับพบว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาหลังฝ่ายกบฏขึ้นรถไฟเป็นการวางแผนของวิลฟอร์ดเองทั้งหมดร่วมกับผู้นำท้ายขบวนรุ่นก่อนๆ ที่ต้องการให้มีสงครามเพื่อตัดคนในรถไฟออกให้เหลือเพียงพอกับการดำรงชีวิต ซึ่งจาก 100% ต้องถูกตัดออกเหลือ 74% เพื่อรักษาสมดุลย์ทางชีวะภาพในรถไฟไว้ให้พอเพียง

ซึ่งเมื่อวิลฟอร์ดเฉลยความจริงออกไปว่าการก่อกบฏของคนท้ายขบวนคือแผนการร่วมมือกันตั้งแต่แรก ก็ทำให้ตัวพระเอกหมดกำลังใจสู้ต่อไป และยอมรับคำเชิญของวิลฟอร์ดเพื่อให้มาแทนเขาในช่วงอายุขัยที่เหลือ ตัวเอกก็เกือบจะตกลงแล้ว แต่กลับพบว่าวิลฟอร์ดนำเด็กจากท้ายขบวนมาใช้งานในหัวรถจักรนิรันดร์อย่างทารุณเยี่ยงทาส ในจุดที่ผู้ใหญ่เข้าไปไม่ถึง (ป้อนแหล่งพลังงานจุดเริ่มของหัวรถจักรนิรันดร์) ซึ่งก็ทำให้พระเอกเห็นธาตุแท้ที่จริงของวิลฟอร์ด และไม่ยอมร่วมมือด้วยในที่สุด

สรุปวิลฟอร์ดมีนิสัยอำมหิต เห็นแก่ตัว และเป็นจอมวางแผนที่ร้ายกาจ คารมของเขาก็ดีมากจนลวงให้คนเชื่อ แม้จะดูเหมือนเจตนาดีแบบเมลานีในเรื่องช่วยมนุษย์กลุ่มสุดท้ายให้รอด แต่วิธีการเจ้าเล่ห์กว่ามากมายครับ

ส่วนขยายเพิ่มเติมจากภาพยนตร์

*เนื้อหาส่วนนี้เฉพาะจุดที่ภาพยนตร์กับซีรีส์ตรงกัน และซีรีส์ขยายส่วนเสริมเหล่านี้ให้ชัดเจนขึ้นครับ ส่วนที่ไม่ตรงกันอย่างตัวขบวนรถไฟขอละไว้ก่อน เพราะซีรีส์อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อไปเชื่อมกับภาพยนตร์ในภายหลังครับ

ที่มาของยาเสพติดโครโนลจากในภาพยนตร์ (มีสปอยล์)

ในตอนที่ 3 ของซีรีส์จะขยายเรื่องราวไปถึงที่มาของสารเสพติดโครโนล ที่ในภาพยนตร์เป็นของหายากที่ว่ากันว่ามาจากก “กากอุตสาหกรรม” และใช้เป็นของจูงใจให้ตัวละครในภาพยนตร์ใช้เพื่อการก่อกบฎให้ได้สำเร็จ รวมถึงเป็นวัตถุระเบิดร้ายแรงอีกด้วย ซึ่งในซีรีส์จะขยายที่มาส่วนนี้รวมไปถึงขั้นว่ามีพ่อค้ายาเสพติดที่มีอิทธิพลหากินอยู่ในขบวนรถไฟ

ระบบเศรษฐกิจในรถไฟ

ในภาพยนตร์จะเราจะได้เห็นกลุ่มคนในตู้ชั้น 1 ใช้ชีวิตแบบฟุ้งเฟ้อ มีการเล่นพนันในรถไฟ แต่ในยุคนั้นสิ่งใดที่มีมูลค่าแลกเปลี่ยนกันได้นอกจากสารเสพติดโครโนลก็ไม่ได้มีบอกไว้ ในซีรีส์จึงขยายจุดนี้เพิ่มมาในตอน 3 อธิบายถึงระบบเศรษฐกิจที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนสิ่งของส่วนตัวของแต่ละคนที่มีมูลค่าแตกต่างกัน อย่างเช่น แหวนแต่งงานที่มีค่าหายาก ก็ถูกนำไปแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นกลับมาได้ และสิ่งของเหล่านี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนมือไปจนถึงมือคนตู้ชั้น 1 เพื่อนำมาใช้ในเกมการพนันของตัวเอง

ลิ้นหรือชักคุกคืออะไรกันแน่ (มีสปอยล์)

ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นว่าจุดเริ่มของการปฏิวัติคือการบุกไปช่วยวิศวกรผู้ออกแบบประตูเชื่อมรถไฟแต่ละโบกี้  แต่ในซีรีส์ตอนนี้การผ่านประตูแต่ละด่านใช้แคปซูลยืนยันตัวตนที่ฝังไว้ในร่างกายแทน และซีรีส์ได้ลงรายละเอียดเรื่องลิ้นชักไว้ว่าเป็นการทดลองของวิลฟอร์ดที่ออกแบบลิ้นชักให้เหมือนเครื่องพยุงชีพเหมือนจำศีลรอวันปลุกให้ตื่น เพื่อช่วยมนุษย์ชาติขั้นสุดท้ายหากระบบในนิเวศน์ในรถไฟล้มเหลว นอกจากนี้ยังมีความลับอย่างอื่นซุกซ่อนอยู่อีกหลังพบว่าคนที่ฟื้นมามีความสามารถใหม่ๆ เข้ามาในตัว

 

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!