playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ The Boys มนุษย์เดินดิน vs พระเจ้าจอมปลอม

The Boys มนุษย์เดินดิน Vs พระเจ้าจอมปลอม

สรุป

ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ครีเอทเรื่องราวเสียดสีเจ็บๆ กับวงการซูเปอร์ฮีโร่ได้อย่างแสบสัน ติดเรต 18+  แปลกแตกต่างจาก Super Hero อื่นโดยสิ้นเชิง

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • มุกเสียดสีเจ็บๆ ตลอดทั้งเรื่อง
  • ไอเดียโลกซูเปอร์ฮีโร่ที่สดใหม่
  • กล้าเล่นแรงถึงศาสนาและความเชื่อ
  • เฉลี่ยบทได้ดีน่าจดจำทุกตัวละคร
  • CG เนียนตาแม้จะออกมาไม่มาก

Cons

  • ครึ่งหลังเริ่มออกนอกประเด็นหลัก
  • จบแบบเปิดปมค้างคา

The Boys ซีรีส์ Super Hero บนช่อง Amazon Prime video  ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ ด้วยความฉีกของพล็อตเรื่องที่แตกต่างไปจากที่ผ่านมาๆ ว่าด้วยเรื่องของประเทศอเมริกาในช่วงยุคปัจจุบันมี Super Hero เกิดมามากมาย โดยมีบริษัทวอท (Vought) เป็นผู้ดูแลจัดการธุรกิจเหมือนปั้นไอดอลให้มีภาพลักษณ์ดีๆ เพื่อนำไปใข้หากำไร โดยพยายามปกปิดความผิดพลาดของเหล่า Super Hero ในสังกัดไว้ ซึ่งกลุ่มตัวเอกก็คือคนธรรมดาที่ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำชั่วแล้วแสร้งเป็นคนดีของพวกนี้ พวกเขาใช้ความแค้นสุมอกเป็นเชื้อไฟ หาทางแก้แค้นฆ่าเหล่า Super Hero ด้วยตัวเอง

ดูหนังเรื่องนี้ได้ใน Amazon Prime video สมัครใหม่ 7 วันแรกดูฟรี คลิกที่นี่ได้เลยครับ

 The Boys (2019) on IMDb

The Boys บนช่อง Amazon Prime video

นี่คือเรื่องราวของ มนุษย์เดินดิน vs พระเจ้าจอมปลอม ฉีกรูปแบบซูเปอร์ฮีโร่จากมาร์เวลและดีซีไปอย่างสิ้นเชิง ที่ดูใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น Watchmen ผสม Kick-ass ปนมาด้วยหน่อยๆ แต่ The Boys ก็มีแนวทางของตัวเองชัดเจน ว่าด้วยการสร้างโลกซูเปอร์ฮีโร่ที่ส่วนใหญ่เลวระยำ เพราะเมื่อใดก็ตามที่คนมีพลังอำนาจขนาดนั้น ก็ย่อมจะมีโอกาสหลงระเริงไปกับอำนาจที่มี คิดว่าตัวเองคือความยุติธรรม ใช้ศาลเตี้ยตัดสินความผิด แทนที่จะนำตัวเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ซ้ำร้ายผู้คนทั่วไปกลับชื่นชอบการมีอยู่ของพวกนี้ด้วย ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อผิดๆ จนไม่คิดว่าพวกนี้ก็สิทธิผิดพลาดหรือเป็นคนเลวได้เช่นกัน นี่จึงเป็นหนังที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับซูเปอร์ฮีโร่ปกติอย่างสิ้นเชิง หนังเสียดสีทั้งมาร์เวลและดีซีไปพร้อมกัน แถมเนื้อหายังติดเรตความรุนแรงแบบจัดเต็ม ซึ่งก็ช่วยตอกย้ำให้โลกของ The Boys ดูดิบเถื่อนสมกับที่เป็นที่รวมของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่สุดระยำได้เป็นอย่างดี

 Amazon Prime video

หนังมีตัวละครหลักฝั่งร้ายคือ Homelander ที่ถอดแบบพลังของซูเปอร์แมนออกมาแทบทั้งหมด เป็นซูเปอร์ฮีโร่เบอร์ 1 ของโลก เป็นหัวหน้าทีม The Seven ที่รวมพวกมีพลัง 7 คนมาทำงานกันเป็นทีม ผ่านบริษัทวอทที่ดูแลจัดการทุกอย่างให้ The Seven กลายเป็นสินค้าหลักทำเงินทุกช่องทาง ซึ่งพวกที่เหลือในทีมก็ถอดแบบมาจากค่าย DC เป็นหลัก อย่าง  Queen Maeve ที่ถอดแบบมาจากวันเดอร์วูแมน A-Train กับความเร็วน้องๆ เดอะแฟลช  The Deep เจ้าสมุทรทั้ง 7 เหมือนอควาแมน Translucent มนุษย์ล่องหน  Black Noir มนุษย์ลึกลับที่ทั้งชุดและอาวุธเหมือน G.I. Joe และสมาชิกใหม่แอนนี่หรือในชื่อ Starlight สาวบ้านนอกผู้รักความยุติธรรมและมีพลังปล่อยแสงได้ ซึ่งทั้งหมดนี้คือกลุ่มคนมีพลังที่หนังใช้คำเรียกรวมๆ ว่าพวก “ซูปส์” ซึ่งตัวละครหลักของ The Seven ก็มีปมร้ายปนโรคจิตแตกต่างกันไป ซึ่งเป็นความสนุกที่เราจะเห็นฉากหลังด้านมืดของซูเปอร์ฮีโร่ทำเรื่องเลวระยำสารพัด โดยที่ฉากหน้าถูกสร้างภาพการตลาดไว้อย่างสวยงามให้เป็นไอดอลคนดีของสังคม 

Homelander ฆ่าคนร้ายทิ้งเป็นผักปลา โกหกหลอกลวงทุกอย่างเพื่อให้ภาพลักษณ์ตัวเองดีเสมอ

Queen Maeve คู่หูกับ Homelander แม้จะไม่ทำเรื่องร้ายๆ ด้วยตัวเอง แต่ก็ช่วยปกปิดการกระทำเหล่านั้นเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด

A-Train มนุษย์ผู้เร็วที่สุดในโลก ที่ต้องการรักษาตำแหน่งนี้ไว้ด้วยการโด๊ปยา

The Deep เจ้าสมุทรโรคจิตบ้ากาม

Translucent ชอบล่องหนเข้าไปแอบสังเกตุการณ์ในห้องน้ำหญิงเสมอ

สำหรับกลุ่ม The Boys จะเรียกว่าฝ่ายดีหรือฝ่ายพระเอกก็ไม่ได้เต็มปากนัก เพราะหนังเดินเรื่องด้วยตัวละครสีเทาๆ ไม่ได้มีการตัดสินความดีความชั่วสักเท่าไหร่ กลุ่มนี้ใช้ความแค้นสุดขั้วเป็นตัวผลักดันทำอะไรก็ได้ ขอแค่ล้างแค้นได้เป็นพอ ซึ่งก็มีหัวหน้ากลุ่ม Billy Butcher เป็นคนที่สุมไฟแค้นให้กับลูกทีม Mother’s Milk นักสืบนักวิเคราะห์ข้อมูลประจำทีม Frenchie พ่อค้าอาวุธและเป็นผู้คิดค้นเครื่องมือสังหารพวกซูป และพ่วงด้วย Hughie Campbell พนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เคยเป็นแฟนตัวยงของพวกซูปส์ ก่อนจะเสียแฟนสาวไปจากการถูก A-Train วิ่งชนตาย แล้วก็ได้ Butcher ชักจูงนำมาร่วมทีมล้างแค้นเหล่าซูปส์ให้สิ้นซาก ซึ่งความสนุกของเรื่องก็คือจุดนี้ ที่เราจะได้เห็นคนธรรมดาฆ่าซูเปอร์ฮีโร่อย่างสะใจ ด้วยวิธีพิสดารแบบถึงลูกถึงคน 

หนังสร้างโลกที่ดิบเถื่อน ตลกร้าย เสียดสีเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่ได้อย่างเจ็บแสบ ช่วยเปิดมุมมองให้เห็นเนื้อแท้ของมนุษย์ที่พอมีพลังก็เอามาใช้ตัดสินแทนกฎหมาย โดยอ้างว่าเป็นความยุติธรรมจากมุมมองของตัวเอง ซึ่งไม่ว่าใครก็ตามที่ทำแบบนี้ก็มีโอกาสกลายเป็นวายร้ายได้ทุกเมื่อเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ฝั่ง The Boys เองที่ทำตัวเป็นศาลเตี้ยตัดสินความผิดให้กับเหล่าซูปส์ ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ความถูกต้องชอบธรรมเท่าไหร่นัก หนังให้น้ำหนักเรื่องราวทั้งสองด้านอย่างจริงจัง ลงลึกถึงการตัดสินปัญหาด้วยแนวทางนอกกฎหมายทั้งสองฝั่ง ทำให้คนดูคิดและตั้งคำถามถึงการกระทำในเรื่องเสมอว่าสิ่งนี้เป็นความชอบธรรมใช่หรือไม่? โดยไม่เลือกตัดสินว่าอะไรผิดหรือถูก เพราะทุกตัวละครในเรื่องก็เป็นสีเทาๆ แม้แต่พวกซูปส์ที่ว่าเลวร้ายสุดๆ ก็ยังมีแง่มุมดีๆ ให้เห็น ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาที่มีสองด้านเช่นกัน

สิ่งที่เป็นตลกร้ายแสบสันอีกอย่างคือ หนังหยิบจับประเด็นการตลาดสร้างภาพมาประเคนใส่ แจกเป็นตลกร้ายจับคู่หากินกับสินค้าซูเปอร์ฮีโร่ได้ทั้งเรื่อง (ในโลกนี้อะไรๆ ก็มีหน้าพวกซูปส์แปะไว้ขายของ) แถมยังกล้าแตะเรื่องของศาสนา ความเชื่อเรื่องพระเจ้าก็ไม่เส้นโดนหยิบมาเล่นหมด  รวมไปถึงเรื่องชุดของซูเปอร์ฮีโร่หญิงที่มักออกแบบโชว์วับแวมๆ ให้ขาหื่นติดตาม แต่กลับให้เรียกร้องหาความเท่าเทียมทางเพศแก่สังคม ซึ่งหนังเล่นประเด็นเหล่านี้ไว้ทั้งเรื่องแบบไม่มีแตะเบรคเลย ซึ่งทั้งหมดก็ยังชวนให้คิดกลับไปถึงเรื่องจริงของธุรกิจหากินกับการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ในโลกจริงด้วยเช่นกัน

สำหรับคนที่ชอบหนังสไตล์แบดกายดาร์คๆ ก็คงถูกใจหนังเรื่องนี้นัก แต่หนังก็ไม่ได้ทำได้ดีทั้งหมด ปัญหาของหนังคือการปรับเปลี่ยนเรื่องจากหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ เพื่อเปิดปมไปยังซีซั่น 2 ในเรื่องราวที่ใหญ่โตกว่าประเด็น มนุษย์เดินดิน vs พระเจ้าจอมปลอม ทำให้ช่วงครึ่งหลังของหนังดูยืดเยื้อ ออกนอกประเด็น อารมณ์ลุ้นน่าติดตามในช่วงแรกหายไปเกือบหมด (มีทั้งหมด 8 ตอน) เหลือแค่ดูว่าจะจบลงยังไงเท่านั้น ซึ่งแม้หนังจะปิดปมของตัวละครหลักได้ดี แต่การเปิดเรื่องเพื่อไปต่อซีซั่น 2 ก็คงไม่รู้สึกเป็นแนวทางที่สดใหม่ได้เหมือนที่ต้นฉบับการ์ตูนทำไว้ได้อีกแล้วครับ

ตัวอย่าง The Boys Season 2

ติดตามรีวิวหนังเรื่องอื่นคลิกที่นี่

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!