playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Conjuring: The Devil Made Me Do It  หลุดจากการกำกับของเจมส์วานแต่ก็ยังทำผลได้ดีพอไปต่อได้ (ไม่มีสปอยล์)

The Conjuring: The Devil Made Me Do It 

สรุป

ภาคหลักที่หลุดจากการกำกับของเจมส์วานไปก็จริง แต่ก็ยังคงความสนุกมีจุดขายของคอนเจอริ่งได้ในระดับที่น่าพอใจ แม้อาจจะไม่ถึงกับมีฉากเด็ดเหมือนก่อนๆ แต่ก็มีความแปลกใหม่ของสตอรี่ที่อิงกับเรื่องราวในศาลอยู่พอสมควร

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ฉากสยองขวัญยังคงทำได้ดีน่าพอใจ โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่อง
  • มีย้อนอดีตช่วงหนุ่มสาวของเอ็ดกับลอร์เรน
  • ไม่ได้เน้นจั๊มสแกร์มากนัก
  • จบในภาคไม่มีตัวละครเผื่อทำภาคแยกทำให้เรื่องดูเคลียร์หมด

Cons

  • ไม่มีมุมการต่อสู้ในศาลให้ดู ทั้งๆ ที่ตั้งชื่อเรื่องอ้างอิงถึงคดีนี้โดยตรง
  • ช่วงท้ายสุดของเรื่องไม่ได้ระทึกเท่าช่วงแรก
  • ส่วนของแนวสืบสวนไม่ได้ลึกพอให้น่าสนใจหรือคาดเดาได้ยาก
  • ไม่มีเสียงพากย์ไทยใน HBO go
  • ระบบภาพกับเสียงใน HBO go ยังไม่ดีมาก

The Conjuring 3 The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3 มัจจุราชบงการ หนังชนโรงเรื่องแรกของ HBO Go เนื่องจากการเลื่อนฉายในไทยจนมาถึงกำหนดเปิดตัวลงสตรีมในวันนี้พร้อมกับลงโรงฉายไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกำไรฟรีๆ ของคนดูที่มีสตรีมเจ้านี้อยู่ แต่ก็ต้องยอมรับข้อจำกัดเรื่องภาพเสียงที่ไม่ได้ดีนัก (ภาพอยู่ที่ 1080p เสียงสเตอริโอ) แต่ยังอยู่ในขั้นรับชมได้ไม่เสียหายอะไร แค่อย่าไปเทียบกับในโรงเท่านั้นครับ

 The Conjuring: The Devil Made Me Do It (2021) on IMDb

ตัวอย่าง The Conjuring 3 The Devil Made Me Do It คนเรียกผี 3 มัจจุราชบงการ

 

ภาคสามของเรื่องนี้เปลี่ยนผู้กำกับจากเจมส์วานมาเป็น Michael Chaves ที่มีผลกำกับหนังโรงเรื่องแรก The Curse of La Llorona คำสาปมรณะจากหญิงร่ำไห้ แล้วก็มาต่อที่เรื่องนี้กันเลย ซึ่งตัวเจมส์วานเองไม่ชอบทำหนังเกิน 2 ภาค แต่ยังเป็นคนเขียนบทหลักของภาคนี้ให้อยู่ดี ก่อนไปนั่งแท่นโปรดิวเซอร์ตามระเบียบ ซึ่งการไว้ใจให้เขามาทำก็คงเชื่อมือว่าจะสานต่อหนังชุดนี้ต่อไปได้อีกยาวๆ ไม่ได้จบลงแค่ไตรภาค ซึ่งจากผลงานที่ออกมาก็ถือว่าสอบผ่าน แม้อาจจะไม่ถึงขั้นเทียบเท่าเจมส์วานทำได้ก็ตาม แต่โดยรวมคอนเจอริ่งก็ยังเป็นหนังผีชุดที่พูดได้ว่าดีที่สุดในยุคนี้อยู่เช่นเคยครับ

เนื้อเรื่องภาคนี้อ้างอิงจากคดีของอาร์นี จอห์นสัน ที่ฆาตกรรมเพื่อนด้วยการแทงไม่ยั้ง แต่ทนายเลือกสู้คดีด้วยการอ้างว่าปีศาจสั่งให้ทำ ตามชื่อเรื่อง The Devil Made Me Do It ตรงๆ ลเย ซึ่งถือว่าเป็นคดีแรกที่มีการเคลมเอาเรื่องปีศาจมีใช้ในศาลของอเมริกา ซึ่งก็เป็นไอเดียที่ถือว่าเข้าท่าเพราะมีการฉีกแนวออกไปจากผีหลอกผีสิงในเรื่องอื่นๆ แต่ก็ต้องน่าเสียดายว่าตัวเรื่องไม่ได้เอาฉากการต่อสู้ในศาลเพื่อพิสูจน์ว่าปีศาจมีจริงมาสิงร่างเขาให้ทำ มีเพียงแค่ทนายกล่าวต่อศาลครั้งแรกเท่านั้น กับประโยคเด็ดของเอ็ดที่บอกว่าศาลให้ทุกคนกล่าวสัตย์ปฏิญาณต่อพระเจ้า (ใช้ไบเบิลเป็นตัวแทน) คือศาลเชื่อในพระเจ้าได้ก็ต้องยอมรับว่าปีศาจมีจริงเช่นกัน ทำให้ตัวเรื่องเหมือนแค่ตั้งใจเอาจุดนี้มาขายโปะบังหน้าแต่ไม่ได้ลงลึกอะไรไปกว่านี้เลย จนแอบผิดหวังในส่วนนี้ค่อนข้างมากอยู่เหมือนกัน

แต่ถึงตัวเรื่องจะเอาชื่อคดีมาหลอกๆ ก็พอเข้าใจว่าด้วยเวลาของภาพยนตร์แค่ชั่วโมงครึ่ง การจะไปเน้นฉากในศาลด้วยอาจจะทำให้เรื่องยาวเกินไปและดูสับสนกับแนวทางจริงๆ ของหนังผีที่ควรจะเน้นหนักที่ฉากสยองขวัญมากกว่า ซึ่งตรงจุดนี้ตัวหนังภาคนี้ถือว่ายังทำได้ดีพอตัวเลย โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องที่ปีศาจสิงร่างเด็กคนแรก แล้วมีฉากไล่ผีที่แม้เราจะเคยเห็นมาก่อนนับไม่ถ้วนกับหนังผีฝรั่ง แต่ตัวเด็กที่กลายร่างแบบหมุนหักบิดเบี้ยวกันเป็นก้อนนี่ถือว่าเป็นซีนสยองขวัญที่ดีสุดในเรื่อง และน่าจดจำซีนหนึ่งของหนังผีชุดนี้เลย ซึ่งตัวปีศาจในเรื่องมีการย้ายร่างไปสิงตัวอาร์นี่ต่อไป ตัวหนังก็ยังคงเดินเรื่องแนวหลอนสั่นประสาทได้อยู่ โดยคราวนี้ไม่ใช่ผีหลอก แต่เป็นแนวจิตหลอนจนอาร์นี่กลายเป็นฆาตกรโหดไปอย่างไม่ตั้งใจ ซึ่งตัวเรื่องก็เริ่มใบ้ๆ ว่านี่ไม่ใช่เคสปีศาจสิงตามปกติแบบที่วอเรนเจอมา แต่เป็นอะไรที่แตกต่างเพราะมีมนุษย์มาเกี่ยวข้อง ตัวเรื่องต่อจากนี้คือการผสมแนวสืบสวนทริลเลอร์ หาที่มาต้นตอของปีศาจตัวนี้ที่เกิดจากผู้บงการอยู่เบื้องหลัง

เมื่อหนังเข้าจุดสืบสวนก็พาคนดูไล่เบาะเชื่อมโยงกลับไปหาที่มาที่ไปก่อนคดีในตอนแรก โดยการเข้ามาสืบสวนคดีคนหายไปของตำรวจ ที่ซึ่งทำให้เกิดฉากโชว์พลังพิเศษของลอร์เรน ที่ตัดไปอีกมิติหนึ่งอยู่ในโลกสยองขวัญแทนตัวลอร์เรนเองให้เหมือนเป็นฆาตกร ซึ่งตัวเรื่องใช้ฉากแบบนี้ในเวลาต่อมาเพื่อนำการสืบสวนครั้งต่อไปในเรื่อง ในขณะที่เอ็ดที่อยู่ในโลกปกติก็มองเห็นผีปีศาจไปอีกแบบที่กำลังเข้ามาทำร้ายภรรยาของเขา ทำให้ฉากผีซ้อนโลกเสมือนกับโลกจริงในเรื่องนี้ออกมาดูสยองขวัญสองแบบไปพร้อมกัน ซึ่งเข้าท่ามากๆ

แม้ฉากผีหลอกสยองขวัญในเรื่องจะถือว่าทำออกมาได้ดีในระดับที่น่าพอใจ โดยไม่ค่อยได้ใช้จั๊มสแกร์มาช่วยนัก เป็นการหลอกแบบตรงๆ หลอนๆ ไปเลยมากกว่า แต่ตัวเรื่องแนวสืบสวนก็ยังไม่ได้ลึกลับซับซ้อนนัก เรียกว่าเดาได้ง่ายๆ แล้วก็ไม่ได้สืบอะไรมาก เป็นแนวพบเจอหลักฐานแล้วก็เจอฉากผีหลอกต่อมาทันที ซึ่งก็อาจจะไม่ได้ผิดอะไรเพราะถ้ามัวแต่ไปไล่สืบสวนหาหลักฐานมากมายเรื่องอาจจะน่าเบื่อไปไม่ถึงไหน ตัวเรื่องพอเฉลยก็ตรงดิ่งเข้าฉากไล่ล่าตัวร้าย พร้อมกับตัดฉากสลับไปที่ปีศาจแสดงอิทธิฤทธิ์ส่งท้ายในคุกพร้อมกัน ซึ่งเอาจริงๆ คือไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนักเทียบเท่ากับตอนแรกที่ดีกว่า และมุกตอนจบก็แอบเกร่อเหมือนหนังทั่วๆ ไปที่เอาความสัมพันธ์ของเอ็ดกับลอร์เรนในวัยหนุ่มสาวมาเป็นตัวช่วยปิดเคสนี้ได้สำเร็จ (ในระหว่างเรื่องมีปูย้อนอดีตตอนสองคนนี้จีบรักกันอยู่นิดๆ)

ตัวหนังภาคนี้จบลงแบบที่ยังไม่เห็นว่าได้ปูเอาผีปีศาจในเรื่องไปใช้ทำภาคแยกต่อที่ไหนอีก ซึ่งก็ถือว่าดีไม่แตกไลน์หากินไปเรื่อยๆ แบบแอนนาเบลล์หรือแม่ชี ทำให้ตัวเรื่องจบลงแบบเคลียร์หมดปิดเคสเป็นบทสรุปสวยงามแฮปปี้เอนดิ้งในตัว ซึ่งก็ดูดีกว่าการทิ้งนั่นนี่ไว้แบบที่ผ่านมาครับ ถือว่าทำต่ออีกก็แค่ขึ้นแฟ้มคดีใหม่ แฟนๆ ก็พร้อมติดตามต่อไปได้เรื่อยๆ เพียงแต่ต้องหาความหลากหลายของแนวเรื่องไม่ให้ซ้ำกับที่ผ่านมาเท่านั้นครับ ก็ถือว่ายากอยู่เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของหนังชุดนี้ต่อไป ในขณะที่หนังผีกลับมาบูมทำกันเกลื่อนตลาดในตอนนี้ครับ

 

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ HBO เรื่องอื่นเพิ่มเติมคลิกที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!