playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Diplomat ซีรีส์ดราม่าการเมืองเล่าเรื่องการทำงานทูตแบบโปรอเมริกาสุดติ่ง

The Diplomat

Summary

ซีรีส์แนวดราม่าการเมืองผ่านการทำงานของทูตสาวแกร่งจากอเมริกา โดยสมมุติเหตุการณ์ทฤษสมคบคิดต่อเนื่องจากสถานการณ์จริงในโลกตอนนี้ (วิกฤตสงครามยูเครน-รัสเซีย) มีเรื่องชีวิตคู่ของตัวละครหลักมาเกี่ยวพัน ทำให้การตัดสินใจต่างๆ แปรผันตามอารมณ์ แม้จะเป็นแนวทฤษฎีสมคบคิด แต่ตัวเรื่องก็มีแต่บทสทนาล้วนๆ และนำเสนอไปในทางติดตลก เสียดสี ไม่ใช่แนวซีเรียสหรือมีอารมณ์ตื่นเต้นระทึกเลยแม้แต่น้อย นี่จึงไม่ใช่ซีรีส์ที่นำเสนอการทำงานของทูตจริง และยังโปรอเมริกามาก ซึ่งใครที่ชอบแนวโปรอเมริกา ก็น่าจะรับชมได้สนุกพอสมควร แต่ถ้าไม่ใช่คนโปรอเมริกาก็ข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะคุณจะรับชมด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกับการยัดเยียดเชิดชู ความเป็นผู้จัดการโลกของอเมริกามากๆ ตลอดทั้งเรื่อง

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แนวดราม่าการเมืองผสมชีวิตคู่
  • ใช้เหตุการณ์ วิกฤตสงครามยูเครน-รัสเซีย ในปัจจุบันเป็นแบ็คกราวด์

 

Cons

  • อารมณ์ของเรื่องออกแนวตลกไม่จริงจัง
  • โปรอเมริกาแบบสุดๆ
  • มีแต่บทสทนาล้วนๆ ขาดเหตุการณ์ระทึกตื่นเต้น

The Diplomat ซีรีส์ Netflix 8 ตอน เรื่องราวเริ่มต้นจากเรือรบอังกฤษโดนโจมตีแบบปริศนา ท่ามกลางวิกฤติระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น สาวนักการทูตอเมริกันได้รับหน้าที่ไปคลายวิกฤตนี้ที่อังกฤษ ซึ่งจะมีผลกระทบทั้งกับชีวิตแต่งงานและอนาคตทางการเมืองของเธอ
The Diplomat (2023) on IMDb

 

รีวิวซีรีส์ The Diplomat (ไม่มีสปอยล์)

ซีรีส์จากผู้สร้าง Debora Cahn ที่มีผลงานอย่าง Homeland (2020), Grey’s Anatomy (2005) สำหรับเรื่องนี้ก็ยังเป็นแนวทางถนัดของเธอ ในเรื่องทฤษฎีสมคิดทางการเมือง แต่นี่ไม่ใช่ซีรีส์สายลับ ไม่ใช่ซีรีส์แอ็กชั่น ไม่ใช่ซีรีส์แนวดราม่าทริลเลอร์ แต่เป็นซีรีส์แนวดราม่าการเมืองล้วนๆ ผ่านตัวละครผู้หญิงแกร่งที่กำลังมีปัญหาชีวิตคู่ใกล้หย่าร้าง โดยมีเรื่องราวการสืบหาความจริงจากเหตุการณ์  เรือรบอังกฤษโดนโจมตีแบบปริศนา ตามหาว่าใครคือคนสั่งการ ประเทศไหนที่เป็นคนรับผิดชอบเหตุการณ์นี้ ซึ่งก็เป็นทฤฎีสมคบคิดโยงใยต่อเนื่องเชื่อมกับเหตุการณ์ในโลกความจริงปัจจุบัน อย่างสงครามยูเครน-รัสเซีย การขยายอำนาจของจีน ซึ่งเป็นแบ็คกราวด์ของเหตุการณ์จริงในโลกตอนนี้ แต่สร้างเหตุการณ์วิกฤตใหม่ขึ้นมาเพิ่ม แล้วสมมุติลงไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอังกฤษโดนโจมตี อังกฤษจะมีท่าทีตอบสนองกับเรื่องนี้แบบไหน ซึ่งทั้งหมดที่อังกฤษจะทำลงไปต้องผ่านการตรวจสอบควบคุมจากอเมริกาในฐานะชาติพันธมิตรด้วย 

หัวใจหลักของเรื่องนี้คือ นำเสนอหน้าที่การทำงานของทูตอเมริกาที่ยากลำบาก ทั้งการติดต่อเจรจา ยืนยันตรวจสอบข่าว วางแผนการพูดให้นายกอังกฤษไม่ให้กลายเป็นชนวนสงครามโลก ซึ่งตัวเอก Kate Wyler (รับบทโดย Keri Russellก็คือหญิงสาวที่เป็นเหมือนหน้าตาของอเมริกันมารับหน้าที่เกินตัว แต่ก็เป็นการพิสูจน์ความสามารถของเธอเพื่อนำไปสู่ตำแหน่งที่ใหญ่โตต่อไป ตัวเรื่องจึงนำเสนอการจัดการวิกฤตที่ฉลาด แสดงความเห็นมุมมองที่แตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ ที่เป็นตัวละครเสริมในทีม โดยมี CIA นักการทูตอังกฤษ หน่วยข่าว และอีกหลายคนมาเกี่ยวข้อง โดยมี Hal Wyler (รับบทโดย Rufus Sewellมาเป็นสามีที่ติดตามเธอมาทำงานด้วย แต่เขาก็คือที่ปรึกษาส่วนตัวที่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง โดยที่มีเรื่องราวดราม่าชีวิตคู่ใกล้แตกหักมาเป็นส่วนผสมลงไป เป็นตัวแปรทางอารมณ์ทำให้การตัดสินใจของเธอต้องพบกับอุปสรรคปัญหาเพิ่มขึ้น

ถึงแม้ว่าเนื้อเรื่องจะดูเป็นแนวดราม่าเครียดๆ แต่ความจริงกลับไม่ใช่ โทนอารมณ์ของเรื่องนี้เป็นแนวดราม่าติดตลก ไม่ได้จริงจังมาก แม้ว่าจะสมมุติเหตุการณ์เป็นเรื่องตรึงเครียดระดับโลก ตัวละครทุกตัวในเรื่องกลับเหมือนกำลังแสดงหนังตลกเสียดสีเรื่องจริงทางการเมืองมากกว่า อย่างนายกอังกฤษเป็นเหมือนพวกผู้ดีเอาแต่ใจ ประธานาธิบดีอเมริกาก็ยังพยายามเปิดศึกกับประเทศคู่อริ ย้อนรอยเหตุการณ์บุกอิรัก ซึ่งเรื่องนี้ตอกย้ำด้วยดนตรีประกอบในเรื่องส่วนใหญ่ก็เป็นทำนองตลกขบขัน ข้อดีคือทำให้โทนเรื่องดูไม่เครียด แต่ข้อเสียก็คือใครที่คาดหวังว่าเรื่องความสมจริงของการทำงานทูตอเมริกัน นี่ไม่ใช่ซีรีส์ที่ตอบโจทย์ความสมจริงแบบนั้นได้เลย แม้ว่าตัวเรื่องจะพยายามสร้างเหตุการณ์ต่างๆ ให้เหมือนจริง แต่สุดท้ายการที่เรื่องนำเสนอแบบติดตลกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ก็ไม่อาจจะทำให้เชื่อได้ว่านี่คือการทำงานของทูตอเมริกันจริงๆ แม้แต่นิดเดียว

นอกจากนั้นใครที่คาดหวังว่าเรื่องราวจะมีความตื่นเต้น มีจุดพีคในแต่ละตอน จากเหตุการณ์วิกฤตระดับโลกในเรื่องก็ต้องผิดหวัง เพราะทั้งเรื่องเน้นบทสนทนาล้วนๆ เป็นการพูดคุยรับส่งข่าวสารไปมาระหว่างตัวละครอังกฤษกับอเมริกา ซึ่งแทบจะราบเรียบมากแทบไม่มีความตื่นเต้นอะไรเลย บทสนทนาในเรื่องทำได้เพียงแค่สร้างอารมณ์เสียดสีจิกกัดอังกฤษ โดยมีอเมริกันที่เข้ามาจุ้นจ้านวุ่นวายทุกอย่าง ซึ่งใครที่ชอบอเมริกา เป็นคนอเมริกา การรับชมเรื่องพวกนี้ก็คงรู้สึกดีที่อเมริกาได้มีบทบาทเบื้องหลังการแก้สถานการณ์โลก แต่ถ้าเป็นผู้ชมที่ไม่ใช่คนอเมริกันมารับชม หรือกลุ่มที่ไม่โปรอเมริกา ก็จะรู้สึกว่าซีรีส์จงใจยัดเยียดส่วนนี้มามากเกิน ดูแล้วแทบจะเกลียดการอยู่เบื้องหลังทางการเมืองในโลกนี้ของอเมริกา (แม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องจริง)

ตัวเรื่องจบแบบมีไคลแม็กซ์ที่จริงจังขึ้นในตอนท้าย เฉลยตัวผู้บงการ แต่ก็ไม่ถึงกับหักมุมมาก เพราะแนวทฤษฎีสมคบคิดก็พอจะเดากันออกอยู่ว่าสุดท้ายก็คือคนใกล้ตัวเสมอ แต่ตัวเรื่องก็ไม่ได้ปิดจบในซีซั่นนี้เลย ถูกทิ้งท้ายไว้ทำต่อในซีซั่น 2 ต่อไปอีก

 สรุปนี่คือซีรีส์ที่โปรอเมริกามาก ใครที่ชอบแนวทางแบบนี้ก็น่าจะรับชมได้สนุกพอสมควร แต่ถ้าไม่ใช่คนโปรอเมริกาก็ข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะคุณจะรับชมด้วยความรู้สึกหงุดหงิดกับการยัดเยียดเชิดชูอเมริกาเกินจริงมากๆ ตลอดทั้งเรื่อง

 

Including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!