playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Head (HBO) ซีรีส์สยองขวัญที่มีกลิ่นอายละม้ายคล้าย The Thing อย่างตั้งใจ (ไม่สปอยล์)

The Head

สรุป

ซีรีส์แนวทริลเลอร์สยองขวัญที่สั้นมาก มีเพียง 6 ตอนจบ ตัวทำออกมาได้อารมณ์แบบเดียวกับ The Thing มีฉากฆาตกรรมสยองกับเรื่องวิทยาศาสตร์เข้ามาเป็นปม ตัวเรื่องเคลียร์ปมทั้งหมดจบลงตัว ซึ่งใน HBO ปกติจะมีแต่แนวนักสืบ ตำรวจ สืบสวน แต่เรื่องนี้ถือว่าต่างออกไปในแนวกึ่งวิทยาศาสตร์สยองขวัญ และก็ทำได้ดีพอควรค่าแก่การรับชมครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • อารมณ์สยองขวัญในพื้นที่จำกัดของทวีปแอนตาร์กติกา
  • ศพที่ตายสยองไม่ซ้ำแบบเกือบ 10 คน
  • ตัวเรื่องเน้นสืบสวนย้อนกลับหาแรงจูงใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มากกว่าเน้นฉากไล่ล่าฆาตกรรม
  • ฉากหลังทวีปแอนตาร์กติกากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เต็มไปด้วยขีดจำกัดการเอาชีวิตรอดของมนุษย์
  • ช่วงเวลามืดมิด 179 วัน หรือ 6 เดือนที่ทวีปแอนตาร์กติกา
  • ประเด็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์จากซากดึกดำบรรพ์

Cons

  • พยายามทำให้คล้ายหนังสัตว์ประหลาด The Thing ในช่วงแรกจนทำให้คนดูสับสน
  • ตัวเรื่องเล่าทีละขยักจากความทรงจำของตัวละครที่รอดตาย จนดูน่าเบื่อไปบ้างกับการย้อนหลังเหตุการณ์ยาวตั้งแต่แรกจนจบ

The Head HBO GO ซีรีส์ 6 ตอนจบ แนวทริลเลอร์สยองขวัญในสถานที่อันจำกัดทวีปแอนตาร์กติกา

 The Head (2020) on IMDb

ตัวอย่าง The Head HBO GO

บทความไม่มีสปอยล์เปิดเผยเนื้อหาจุดสำคัญใดๆ ทั้งสิ้น

ซีรีส์ที่มีกลิ่นอายคล้าย The Thing ไอ้ตัวเขมือบโลก หนังสัตว์ประหลาดขึ้นหิ้งเมื่อปี 1982 จนน่าจะเรียกว่าเป็นแรงบันดาลใจกับอารมณ์ลึกลับสยองขวัญ ภายใต้ฉากหลังเป็นฐานวิจัยวิทยาศาสตร์ที่ขั้วโลกที่หนาวเหน็บห่างไกลจากการติดต่อภายนอก ซึ่งเรื่องนี้ก็หยิบจับฉากหลังกับอารมณ์แบบนั้นมาทำเป็นแนวหนังทริลเลอร์สยองขวัญในแบบของตัวเอง

ตัวเรื่องหลักเกิดขึ้นในช่วงเวลามืดมิด 179 วัน หรือ 6 เดือนที่ทวีปแอนตาร์กติกา (ขั้วโลกใต้) จะไม่มีแสงอาทิตย์ส่องลงมา ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่มาผลัดเปลี่ยนที่ฐาน Polaris VI กลับต้องพบทีมงานผลัดก่อนตายสยองเกือบยกทีม และมีผู้สูญหายไปอีก 3 คน ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการสืบสวนหาความจริงที่เกิดขึ้น ผ่านคำบอกเล่าของตัวละครผู้พบว่ารอดชีวิตในภายหลัง ร่วมกับการปะติดปะต่อหลักฐานที่หลงเหลืออยู่เข้าด้วยกัน ตัวเรื่องจึงเป็นการเล่าย้อนกลับแฟลชแบ็คสลับกับปัจจุบันไปมาจนจบเรื่อง (แฟลชแบ็คเยอะกว่าเหตุการณ์ปัจจุบันประมาณ 70% ของเรื่อง)

อารมณ์ของเรื่องยังคงธีมสยองขวัญในแบบ The Thing ไว้ได้ดี ตัวละครมีความรู้สึกไม่ไว้างใจกัน จะหนีแยกตัวออกไปก็ไม่ได้ในที่เกือบปิดตายแห่งนี้ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นฆาตกร หลังพบศพแรกถูกตัดหัวทิ้งไว้กลางหิมะ คนในฐานที่เหลือเกือบสิบคนก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยทั้งหมดทันที จากนั้นตัวเรื่องค่อยๆ เล่าย้อนกลับหลังจากทีมปัจจุบันมาพบศพที่ตายสยองขวัญโหดๆ ในแต่ละแบบไม่ซ้ำกันเกลื่อนสถานี อย่างโดนเผา ทุบหัวเละ ถูกฝังกลางหิมะ โดยหลังพบศพก็จะเป็นช่วงเล่าย้อนว่าแต่ละคนที่ตาย ตายเพราะอะไร ผ่านคำบอกเล่าของตัวละครที่รอดชีวิตมาได้ 2 คนในเรื่อง ที่ผลัดกันเล่าเรื่องในแบบที่กล่าวหาว่าอีกฝ่ายเป็นฆาตกร โดยอ้างอิงแรงจูงใจมาจากสิ่งมีชีวิตดึกดำบรรพ์ที่เป็นงานวิจัยพลิกโลก เพราะเจ้าตัวนี้กำจัดคาร์บอนมอนอกไซด์ได้เหนือกว่ากระบวนการแบบอื่นที่เคยมีทั้งหมด และจะช่วยแก้ปัญหาโรคร้อนให้มนุษย์ชาติได้ ทำให้งานวิจัยนี้มีมูลค่ามหาศาล จนใครสักคนเกิดความโลภเข้าครอบงำ และต้องการขโมยมันออกไปจากฐานวิจัยแห่งนี้

โครงสร้างของเรื่องถือว่าเขียนมาได้ดีลงตัว บทมีความลึกลับซับซ้อนลวงคนดูให้ติดตามไปได้เรื่อยๆ แต่ข้อเสียก็คงเป็นการพยายามเล่าเรื่องแบบคลุมเคลือในช่วงแรกให้คนดูหลงคิดว่าเป็นแนวสัตว์ประหลาดแบบ The Thing หรือเปล่า? เพราะตั้งแต่เปิดมาก็มีการใส่เรื่องสิ่งมีชีวิตปริศนาที่ว่ามาเป็นปมปริศนาให้ชวนคิดถึง The Thing ที่เป็นเซลล์ต่างดาวเขมือบคน รวมถึงจุดเริ่มที่เป็นแมวน้ำคลานมาตายที่ฐานวิจัยก็ใส่มาแบบชวนให้คิดเข้าไปอีก ซึ่งจริงๆ ถ้าตัดความคลุมเคลือในการเล่าช่วงแรกให้ดูคล้ายๆ หนังสัตว์ประหลาดออกไป แล้วโฟกัสเลยว่านี่คือ “แนวทริลเลอร์สืบสวนฆาตกรรม” โดยไม่มีเรื่องเหนือธรรมชาติหรือไซไฟเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะทำให้ดูเรื่องนี้สนุกขึ้นเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องมาเขวคิดว่าจะมีอะไรแบบนั้น ซึ่งตัวเรื่องฆาตกรรมเองทำได้ดีอยู่แล้ว แต่กว่าคนดูจะได้เห็นฉากไล่ล่าฆาตกรก็จะปาไปตอน 5 เข้าไปแล้ว อาจจะช้าไปนิดสำหรับใครที่ต้องการเรื่องไล่ล่าระทึกๆ เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เน้นฉากแบบนั้นโดยตรง แต่เป็นการหาแรงจูงใจของคนร้ายซะมากกว่าครับ

นอกจากตัวฉากฆาตกรรมสยองของเรื่องจะเป็นจุดขายแล้ว ตัวเรื่องก็หยิบจับเอาอุปสรรคกับข้อจำกัดของช่วงเวลามืดมิด 179 วัน กับปัจจัยในการเอาชีวิตรอดภายใต้ธรรมชาติอันโหดร้าย ซึ่งแค่พลาดเผลอติดอยู่ด้านนอกก็หนาวตายได้ง่ายๆ ทั้งอาหารและพลังงานอันมีจำกัด (เพราะไม่มีแสงอาทิตย์มาแปลงเป็นพลังงานจากโซล่าเซลล์) รวมถึงสภาพจิตใจของตัวละครในเรื่องที่ใกล้สติแตกกันทุกคน อีกทั้งยังมีความลับเฉพาะตัวของแต่ละคนที่เกิดขึ้นจากความเป็นอยู่ที่อึดอัดของทวีปแอนตาร์กติกา ทำให้ตัวเรื่องมีอะไรให้เล่นงานตัวละครในเรื่องได้หลากหลายแบบ และก็ไม่ได้เกิดเรื่องแค่ในฐานแห่งนี้แห่งเดียว ตัวเรื่องยังพาผู้ชมออกไปยังฐานอื่นซึ่งช่วยให้ขอบเขตของเรื่องไกลขึ้น มีปมความลับเพิ่มเติมจากตอนแรก มากกว่าวน อยู่ในฐานแรกเพียงแห่งเดียว

นี่เป็นซีรีส์ที่สั้นมาก มีเพียง 6 ตอนจบ ไม่น่ามีต่ออีกแล้ว เพราะเรื่องเคลียร์ปมทั้งหมดจบลงตัว และก็ไม่ได้ตั้งใจทิ้งเรื่องไว้ทำต่อ แม้อาจจะทำได้ ซึ่งใน HBO ปกติจะมีแต่แนวนักสืบ ตำรวจ สืบสวน แต่เรื่องนี้ถือว่าต่างออกไปในแนวกึ่งวิทยาศาสตร์สยองขวัญ และก็ทำได้ดีพอตัวควรค่าแก่การรับชมครับ

อัพเดทซีรีส์ทำต่อซีซั่น 2 คลิกอ่านรีวิวที่นี่ (มีสปอยล์ฆาตกรซีซั่น 1)

อ่านรีวิวหนังซีรีส์เรื่องอื่นของ HBO คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!