playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Imperfects ซีรีส์แนววัยรุ่นสัตว์ประหลาดกึ่งฮีโร่เกรดบีที่พอดูขำๆ ไปกับเรื่องได้ (ไม่มีสปอยล์)

The Imperfects

Summary

ถือว่าเป็นซีรีส์ที่พอกล้อมแกล้มดูได้ถ้าใครชอบแนวสัตว์ประหลาดผสมซูเปอร์ฮีโร่แบบขำๆ ที่มีประเด็นฉีกไปว่าไม่ได้อยากมีพลังเป็นฮีโร่อะไรเพราะทำให้ชีวิตลำบากขึ้นมากกว่า ในครึ่งแรกจะเล่นประเด็นนี้เป็นหลักได้อย่างน่าสนใจติดตาม แต่ครึ่งหลังจะเป็นแนวพัฒนาการของพลังไปเป็นฮีโร่จริงๆ ที่ค่อนข้างยำอะไรหลายอย่างไว้ในเรื่องมากมายจนดูมั่วๆ และก็ต้องรับรู้ไว้ว่านี่เป็นงานทุนต่ำซีรีส์เกรดบีที่ไม่ควรคาดหวัง CG หรือฉากแอ็กชั่นอะไรมากมายเท่านั้นครับ เพราะแทบไม่มีให้เห็นเลยและยังใช้การตัดฉากลดต้นทุนตลอดเรื่องด้วย ตัวเรื่องก็ไม่ได้จริงจังเข้มข้นอะไรกับปมต่างๆ มาก เน้นพอขำๆ ไปตามเรื่องเรื่อยๆ แต่จะไปใช้ความสัมพันธ์ของตัวละครเพื่อพัฒนาเรื่องมากกว่า ซึ่งจุดนี้ทำได้ค่อนข้างดีพอให้ติดตามเรื่องไปจนจบได้ แต่ก็เป็นการจบแบบเคลียร์หมดเพื่อขึ้นเรื่องใหม่ต่อซีซั่น 2 ต่อไปครับ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • แนวสัตว์ประหลาดผสมซูเปอร์ฮีโร่นิดๆ
  • ประเด็นการได้พลังพิเศษมาแต่ชีวิตยากลำบากขึ้น
  • ดำเนินเรื่องความรักเป็นคู่ๆ ไปแบบเบาๆ เข้ากับเรื่องได้ดี
  • พัฒนาการของพลังทำได้ดี
  • จากทีมงานเบื้องหลังซีรีส์แวนเฮลซิ่ง
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ครึ่งหลังบทเริ่มไม่มีอะไรแปลกใหม่ลดความน่าสนใจลงเรื่อยๆ
  • ตัดฉากหลบการใช้ CG เพื่อลดต้นทุนทั้งเรื่อง
  • ปมช่วงหลังเน้นผ่านแบบง่ายๆ

The Imperfects ดิ อิมเพอร์เฟ็คส์ ซีรีส์ Netflix ซีรีส์แนววัยรุ่นสัตว์ประหลาดกึ่งฮีโร่ 10 ตอนจบซีซั่น 1 มีพากย์ไทย เรื่องราวของเด็กวัยรุ่น 3 คนที่เข้ารับการรักษาพิเศษมานานกับนักวิทยาศาสตร์ วันหนึ่งพวกเขามีบางอย่างเปลี่ยนไป คนหนึ่งกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดได้ ส่วนอีกสองคนมีพลังพิเศษบางอย่าง ทั้งสามจึงต้องร่วมมือกันออกหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น

 The Imperfects (2022) on IMDb

 

The Imperfects รีวิว (ไม่มีสปอยล์)

ซีรีส์แนววัยรุ่นสัตว์ประหลาดกึ่งฮีโร่ที่มีเครดิตว่าจากทีมงานเบื้องหลังซีรีส์แวนเฮลซิ่ง แต่ก็เห็นเลยว่าต้นทุนเรื่องนี้ต่ำกว่ามาก ด้วยเรื่องราวสัตว์ประหลาด พลังพิเศษเหนือมนุษย์ที่พยายามจำกัดค่าใช้จ่ายอย่างสุดๆ ในทุกแง่มุมทุกฉาก แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาพอดูได้อยู่ แม้จะไม่ประทับใจอะไรมากก็ตาม

ด้วยความที่เป็นเรื่องสร้างใหม่แต่ก็พยายามให้อารมณ์เป็นการ์ตูนคอมมิคหน่อยๆ อย่างพระเอกในเรื่องก็เป็นนักวาดการ์ตูนฮีโร่ ในเรื่องก็พยายามผลักดันประเด็นฮีโร่อยู่หลายครั้ง ไม่ใช่แนวสัตว์ประหลาดแบบแวนเฮลซิ่ง แต่เป็นการฉีกออกไปในแนวคิดว่า ถ้าคนเรามีพลังพิเศษที่มีความผิดปกติกับร่างกายหรือทำให้ใช้ชีวิตลำบาก ความคิดแบบฉันได้ความพิเศษนั้นมาแล้วเป็นฮีโร่ยังมีอยู่ไหม? ในเรื่องนี้ตัวละครทุกตัวจึงมีปัญหาความบกพร่องในการใช้ชีวิตหลังมีพลังพิเศษกันทุกคน อย่าง ฮวน พระเอกที่กลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดกินสัตว์เล็ก กินคนเป็นอาหารโดยไม่รู้ตัว ทิลด้าสาวผู้ได้ยินเสียงเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลาในหัวจนต้องใส่ที่ครอบหูกันเสียงไว้ แอบบี้ สาวนักเรียนวิทย์ที่มีฟีโรโมนจากเหงื่อดึงดูดให้คนที่สูดเข้าไปหลงไหลคลั่งเธอในทันที ซึ่งความพิเศษพวกนี้กลายเป็นปัญหาในชีวิตฉับพลันหลังขาดยาที่กินมานาน ตัวเรื่องทำช่วงแรกให้เรารู้สึกว่ามองมุมพลังพิเศษแนวฮีโร่เปลี่ยนไปใช้ได้เลย และก็ยังมีตัวละครอื่นที่มีพลังพิเศษแล้วพยายามทำตัวเป็นฮีโร่อยู่ด้วย แต่เรื่องก็นำเสนอให้เห็นว่าความคิดฉันมีพลังแล้วออกไปช่วยผู้คน บางทีมันก็ไม่ใช่ความคิดที่ดูเก๋เท่อะไรนักหรอก กลับกันมันดันรู้สึกเหมือนพวกวอนนาบีอยากเด่นอยากดังซะมากกว่า ทำความดี ทำไมต้องโชว์อะไรประมาณนี้ ซึ่งซีรีส์ดำเนินเรื่องไปแบบทำให้เราคล้อยตามได้เลย และยิ่งเรื่องปูไว้แบบไม่มีวายร้ายชัดเจนในเรื่องช่วงแรกด้วย เป็นการออกเดินทางตามหานักวิทยาศาสตร์ที่ให้ยาเขาแล้วหายตัวไป โดยมีนักวิทย์สาวคู่หูของเขาที่คอยช่วยเหลือพวกเขาอยู่ด้วย ทำให้ประเด็นการดำเนินเรื่องแบบไม่ต้องไปสู้รบปรบมืออะไรกับใคร แค่ปัญหาชีวิตพวกเขาเองก็มากพอทำให้ชีวิตลำบากอยู่แล้วดูหนักแน่นขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ทำออกมาได้ค่อนข้างฉีกน่าสนใจติดตามดูต่อเนื่อง

แต่หลังเรื่องผ่านไปครึ่งซีซั่น ตัวเรื่องพยายามวกกลับมาประเด็นการมีพลังฮีโร่เพื่อปราบวายร้ายเพื่อช่วยโลกแบบชัดเจน โดยให้ตัวเอกทั้ง 3 ค่อยๆ มีพัฒนาการของพลังต่อยอดไปได้เรื่อยๆ จนแทบจะไม่เป็นปัญหาอะไรกับชีวิตแบบไม่ต้องมียาแก้ก็อยู่กันได้ และยังใช้พลังได้ตามใจอีกต่างหาก ตัวเรื่องก็พยายามใส่วายร้ายเข้ามาหลายตัวทั้งองค์กรลับของรัฐที่คอยตามล่าพวกกลายพันธ์แบบพวกเขา มีสัตว์ประหลาดที่ออกไล่ฆ่าคนให้เขาต้องไปช่วย มีการหักหลังพลิกให้ตัวดีเป็นตัวร้ายขึ้นมาอะไรแบบนี้ ทำให้ซีรีส์ช่วงหลังกลายเป็นเหมือนแนวซูเปอร์ฮีโร่ธรรมดาทั่วไปมากๆ แล้วเรื่องก็ทำมาแนวขำๆ ไม่ได้ซีเรียสจริงจังอะไรมากด้วย (ช่วงครึ่งแรกยังดูจริงจังกว่ามาก) ทำให้บทช่วงหลังเป็นการยำนั่นนี่สารพัดไปเรื่อยๆ ความสนุกน่าติดตามลดลงเรื่อยๆ เหมือนแค่เหลือความอยากดูว่าจะจบยังไงแค่นั้น และก็จบแบบธรรมดาพื้นๆ มาก ก่อนทิ้งท้ายไว้เปิดปมใหม่เพื่อขึ้นซีซั่นต่อไปอีกครั้ง

ส่วนฉาก CG แปลงร่างกับพลังพิเศษที่ควรจะดูเป็นจุดขายของเรื่องแนวนี้ มันกลับเป็นงานทุนต่ำค่อนข้างมาก ทั้งเรื่องเราจะได้เห็นพระเอกแปลงร่างนิดๆ หน่อยๆ แล้วก็ใช้หุ่นมาแทนที่ ก่อนจะตัดฉากที่ควรจะเห็นอะไรเคลื่อนไหวเต็มๆ ไปหมด ซึ่งตัวเรื่องพยายามใช้เทคนิคแบบเห็นแวบๆ ตอนแรกก่อนตัดฉากไม่ให้เห็นในรายละเอียดอยู่ทั้งเรื่อง ยกเว้นพวกพลังที่ไม่ได้ใช้เอฟเฟ็กต์มากอย่างเสียงกับฟีโรโมนของนางเอกอีกสองคนถึงมีอะไรให้เห็นหน่อย แต่ไม่ได้ถือว่าลงทุนอะไรเท่าไหร่ เข้ากันเกรดบีมากๆ 

แต่สิ่งที่พอช่วยให้เรื่องดูดีขึ้นคือความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งหมดที่เขียนออกมาค่อนข้างดี ให้มีเรื่องรัก มิตรภาพ วัยรุ่นเข้ามาแบบเบาๆ แต่ก็ชวนลุ้นจิ้นให้อินตามได้เลยกับคู่ต่างๆใ นเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่ามีแนว LGTB มาเกี่ยวด้วยตามสูตรเน็ตฟลิกซ์ ไม่ใช่เกย์ แต่เป็น ญ ญ และก็ไม่ได้พยายามยัดเยียดมาก เป็นเรื่องราวแบบเสริมพอให้น่าติดตาม รวมถึงตัวละครผู้ใหญ่ที่ก็มีอะไรคล้ายๆ แบบนี้นิดๆ เป็นมิตรภาพแบบคนรู้ใจกัน ซึ่งบทค่อนข้างเฉลี่ยเรื่องราวชีวิตแต่ละคู่ได้สมดุลย์ดีเลยทีเดียว 

ส่วนตัวนักแสดงก็ค่อนข้างดูดีลงตัว โดยเฉพาะนางเอกคนที่มีพลังเสียงบทเธอถูกวางไว้เด่นมาก และพัฒนาไปไกลสุดจนกลายเป็นตัวเอกหลักของเรื่องเลยก็ว่าได้ (รับบทโดย Morgan Taylor Campbell) แต่พระเอกของเรื่องที่แปลงร่างไ้ด้นี่บทบาทค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ จนไม่ค่อยสำคัญกับการแก้ปัญหาของเรื่องเท่าไหร่ และอีกคนที่เด่นคือตัวนักวิทย์ที่ทำการทดลองกับพวกเด็กๆ ต้นกำเนิดของพลังพิเศษ (รับบทโดย Rhys Nicholson) เป็นตัวละครเกย์ที่ไม่ได้มาในแนวแซ่บอะไร แต่มีบทบาทกับแนวคิดเพี้ยนๆ ตรงๆ แบบ mad scientist ที่คลั่งไคล้การช่วยโลกในมุมของเขาที่ฟังขึ้นพอสมควร เป็นตัวละครที่น่าสนใจและมีสีสันขโมยซีนในเรื่องตลอด 

ถือว่าเป็นซีรีส์ที่พอกล้อมแกล้มดูได้ถ้าใครชอบแนวสัตว์ประหลาดผสมซูเปอร์ฮีโร่ แต่ก็ต้องรับรู้ไว้ว่านี่เป็นงานทุนต่ำซีรีส์เกรดบีที่ไม่ควรคาดหวัง CG หรือฉากแอ็กชั่นอะไรมากมายเท่านั้นครับ

 

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!