playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Them คนนอก (Amazon Prime) ซีรีส์เหยียดผิวขั้นรุนแรงผสมเรื่องเหนือธรรมชาติแบบ US

Them คนนอก

สรุป

ซีรีส์แนวเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง US ด้วยเรื่องราวเหยียดผิวสุดโต่ง ใส่มุมมองคนขาวเกลียดคนดำอย่างบ้าคลั่งโหดร้ายเอามากๆ ในระดับดีกรีหนังโหด 9-10 ได้เลย และก็มีเรื่องปมทางจิตของคนดำในครอบครัวที่ถูกกดดันจนกลายเป็นคนละคนที่ทำได้ดีเลยทีเดียว แต่ในส่วนเหนือธรรมชาติที่ถูกโฟกัสในช่วงหลัง กลับทำให้ด้านดีของเรื่องนี้ดูด้อยค่าลงไปเยอะ จนอาจจะทำให้ผู้ชมไม่ชอบเรื่องนี้ไปเลยก็ได้ แต่ถ้ารับได้ก็กลายเป็นดีไปเลยเช่นกัน
**เรื่องมาแนวเดียวกับ US แต่ไม่มีปมอะไรให้งง หรือต้องตีความอะไรมากครับ**

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ฉากเหยียดผิวในเรื่องเต็มไปด้วยความรุนแรงสูงมาก
  • ตัวเรื่องกดดัน อึดอัด อยู่แทบจะตลอดเวลา
  • ฉาก เอาแมวใส่ถุง Cat in a Bag คือเบสซีนด้านความโหดของเรื่องนี้
  • นักแสดงผิวดำตัวหลักสวมบทบาทจิตหลอนสองบุคลิกสลับไปมาตลอดเรื่อง
  • งานโปรดักชั่นจำลองยุค 1950 ทำออกมาเนี๊ยบทุกรายละเอียด
  • CG ฉากเหนือธรรมชาติมีเยอะ และก็ทำออกมาได้น่ากลัว
  • เบื้องหลังธุรกิจหากินกับการเหยียดผิวในยุคนั้น
  • จบในซีซั่นเลย

Cons

  • ส่วนของเรื่องเหนือธรรมชาติในตอนหลังที่เน้นหนักมากจนเหมือนหนังผีไปเลย
  • บางช่วงของเรื่องตัดข้ามเหตุการณ์จนไม่ปะติดปะต่อว่าไปมายังไงถึงกลายเป็นแบบนั้น
  • ตอนจบแบบปลายเปิดห้วนๆ

Them คนนอก ซีรีส์เนื้อหาจบภายในหนึ่งซีซัน พาไปชมความน่ากลัวในอเมริกา ซีซันแรก พันธสัญญา เป็นเรื่องของ ครอบครัวผิวดําในยุค 1950 ที่ย้ายจากนอร์ทแคโรไลนาไปยังชุมชนในลอสแอนเจลิสที่มีแต่คนขาวในช่วงการ อพยพครั้งใหญ่ บ้านอันสวยงามของครอบครัวกลายเป็นสนามรบ เมืออํานาจชั่วร้ายจากเพื่อนบ้านและพลังเหนือธรรมชาติตามหลอกหลอน ทําร้าย ทําลายพวกเขา
 Them (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Them คนนอก

นี่คือผลงานที่มีความเหมือนละม้ายคล้ายคลึงงานของ  Jordan Peele ที่ทำ Get Out, US, Lovecraft Country (ซีรีส์ใน HBO) เดินเรื่องในแนวคนผิวดำเป็นตัวเอกเจอกับคนผิวขาวเหยียดผิวสุดโต่ง ผสมเรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติร่วมด้วย แต่เรื่องนี้เป็นผลงานของครีเอเตอร์ Little Marvin ที่ค่อนข้างโนเนมเพราะไล่ดูประวัติก็มีผลงานเพียงนิดหน่อย เรื่องหลังสุดตั้งแต่ปี 2006 และก็ไม่ได้ดังทั้งในต่างประเทศและในบ้านเรา แต่มาในเรื่องนี้ถือว่าผลงานของเขาใช้ได้เลย แม้จะคล้ายกับงานของจอร์แดน พีล มากจริงๆ แต่ก็มีเรื่องราวที่สดใหม่เป็นของตัวเอง

โปสเตอร์ 4 แบบของตัวละครหลัก Them คนนอก

เรื่องราวของตระกูลเอโมรี่ ที่เปิดเรื่องมาด้วยซีนสั้นๆ ของคนแม่ “ลัคกี้” อยู่บ้านคนเดียวกับลูกชายวัยแบเบาะ กลับต้องมาเจอกับหญิงแก่ผิวขาวที่มีท่าทีคุกคามเธออย่างรุนแรง แต่ตัวเรื่องก็ตัดข้ามเหตุการณ์นี้ไป เรื่องมาเริ่มใหม่ที่ชุมชนหมู่บ้านจัดสรร “คอมป์ตัน” ที่เต็มไปด้วยคนผิวขาวล้วนๆ ครอบครัวเอโมรี่ย้ายมาที่นี่เพื่อหนีจากเรื่องเลวร้ายในอดีต โดยคนพ่อ “เฮนรี่” เป็นวิศวกรที่ถูกจ้างงานในบริษัทคนผิวขาว เรียกได้ว่ามีฐานะจนสามารถมาอยู่ในย่านคนขาวราคาแพงนี้ได้ ด้วยเจตจำนงค์แรงกล้าที่จะท้าชนกับการเหยียดผิว ไม่หนีอีกต่อไป และต้องการให้ลูกสาวทั้ง 2 คน รูบี้คนพี่กับกราเซียคนน้อง ได้เข้าเรียนในโรงเรียนคนขาวเพื่อชีวิตที่ดีในอนาคต แต่การมาอยู่ร่วมกับคนขาวในย่านนี้ก็ต้องเจอกับพวกเหยียดผิวสุดโต่ง และก็รวมหัวกันกดดันกลั่นแกล้งตระกูลเอโมรี่ตั้งแต่วันแรกที่มา จนถึงขั้นจัดประชุมคนในชุมชนหาทางขับไล่ออกไป โดยมีแกนนำเป็นแม่บ้านหัวรุนแรง “เบตตี้” เป็นคนจุดชนวนเชื้อไฟในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ตระกูลนี้ต้องเจอไม่ใช่แค่นี้ กลับมีเรื่องอาการทางจิตหลอนของคนในครอบครัวที่แตกต่างกันออกไป และก็ดูเหมือนว่ามีเรื่องเหนือธรรมชาติมาเกี่ยวข้องด้วย

ซีรีส์จับปลาหลายมือมากทั้ง เรื่องเหยียดผิว อาการทางจิตของตัวละคร เรื่องเหนือธรรมชาติ เรียกว่าเล่นทุกแนวทางให้คนงุนงงกันตั้งแต่ตอนแรกเลย ตัวเรื่องขึ้นเกริ่นไว้แต่แรกว่านี่เป็นเหตุการณ์เพียงแค่ 10 วันของครอบครัวเอโมรี่ที่มาอยู่ในชุมชนคอมป์ตันแห่งนี้ ในแต่ละตอนจะนับเป็นวัน มีเรื่องราวแตกต่างกัน แต่ทุกตอนจะเป็นแนวสยองขวัญ+จิตหลอน เหมือนกันทั้งหมด เพียงแต่ว่าในช่วงครึ่งแรกของเรื่องประเด็นเรื่องเหยียดผิวจะถูกชูนำหน้าไว้ และก็เป็นช่วงที่เรียกว่าดีที่สุดของซีรีส์เลยก็ว่าได้ เมื่อเรื่องเดินไปแบบกดดันสั่นประสาทกันสุดๆ กับตัวละครคนผิวขาวในเรื่องดูจิตไม่ปกติกันทุกคน แต่ซีรีส์อยู่ในยุค 1950 ที่ยังมีปมเหยียดผิวโดยใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นจริง ก็ทำให้ความน่ากลัวของคนขาวในเรื่องดูเลวร้ายและโคตรของโคตรโหดเอามากๆ คือผู้เขียนก็ดูแนวนี้มาหลายเรื่อง แต่ต้องบอกว่าเรื่องนี้คืองานที่ยกระดับความรุนแรงโหดเหี้ยมในเรื่องนี้แบบสุดๆ ในระดับแนวหนังโหดที่คอหนังแนวนี้ดูแล้วต้องจดจำเรื่องนี้ขึ้นใจแน่นอน โดยเฉพาะฉากซีนเปิดเรื่องที่ถูกตัดไปและมาเฉลยต่อในตอน 5 กลางเรื่อง กับฉาก “เอาแมวใส่ถุง (Cat in a Bag)” ที่ต้องให้เต็ม 10 กับความโหดของฉากนี้ที่ติดตาคนดูแน่นอน

ฉาก Cat in a Bagแต่ก็ไม่ใช่เรื่องตั้งใจขายความโหดแบบไร้เหตุ กลับกันคือความของคนขาวในเรื่องคือปมสำคัญ ที่ทำให้ครอบครัวนี้ดูไม่ปกติกันตั้งแต่แรกทุกคน พ่อผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 เจอกับพวกนาซีรมแก๊สมาก่อน กลับมาใช้ชีวิตปกติก็หลอนเห็นเหตุการณ์รมแก๊สบ่อยๆ ซ้ำร้ายยังมาเจอเรื่องโหดกับครอบครัวก่อนย้ายมาอีก จนบางครั้งกลายเป็นคนละคนกับปกติ แม่ที่จิตใจเหลวแหลกจนเหมือนคนบ้าเป็นพักๆ ที่ทำให้ลูกสองคนหลอนตามไปด้วย ลูกสาวคนสุดท้องก็เห็นชายแก่ตัวสูงแปลกๆ เหมือนเพื่อนในจินตนาการอยู่บ่อยๆ คนพี่ที่ดูเหมือนปกติที่สุด แต่กลับเจอเรื่องประหลาดในโรงเรียนที่พึ่งเข้าไป ซึ่งที่มาที่ไปของอาการพวกนี้ตัวหนังก็สื่อให้เราเห็นเลยว่าเป็นผลกระทบจากคนผิวขาวที่พยายามกดดันครอบครัวนี้ อย่างการเอาตุ๊กตาคนดำถูกแขวนคอจำนวนมากมาห้อยไว้หน้าบ้าน หรือจุดไฟเผาเป็นคำสาปแช่งคนผิวดำให้ไปนรก และไม่ใช่แค่เรื่องในปัจจุบัน ตัวซีรีส์จะมีปมย้อนอดีตไปยังที่มาที่ไปของย่านนี้ที่มีปมเหยียดผิวมาช้านาน แถมยังพ่วงกับการหลอกลวงคนดำให้มาอยู่ที่นี่ตามแผนการของนายหน้าค้าที่ดิน เพื่อปั่นราคาที่ดินให้สูงขึ้น และไล่คนผิวขาวให้ย้ายออกไปทางอ้อม โดยใช้ประโยชน์จากความรู้สึกเหยียดจนทนอยู่ร่วมกับคนดำไม่ไหวมาเป็นปมสำคัญ ซึ่งถือว่าซีรีส์วางเรื่องราวพวกนี้ไว้โดยมีที่มาจากเรื่องจริงได้ดีมากๆ ทำให้คนดูอึดอัดทรมานไปกับความอยุติธรรมที่คนผิวดำในเรื่องต้องเจอแบบตีแสกหน้ากันตรงๆ จะสู้กลับก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะนี่คือชุมชนเหยียดผิวที่ตึงเครียดพร้อมระเบิดความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา ตัวเรื่องทำให้เห็นมุมมองสุดโต่งนี้จากอีกด้านของคนผิวขาวได้อย่างน่ารังเกียจเอามากๆ แถมยังมีเรื่องโรคจิตของคนผิวขาวกระทำกันเองอีกด้วย

แต่เรื่องก็ไม่ได้ให้คนขาวเลวร้ายล้วนๆ ทุกปมปัญหาก็มีที่มาที่ไปให้คนดูเข้าใจได้ว่าทำไม เพราะอะไร ซึ่งบางครั้งคนในชุมชนที่ยังพอมีสติ แต่ก็ไม่สามารถหยุดคลื่นความบ้าคลั่งของคนส่วนใหญ่ได้เหมือนกัน จนต้องยอมทำตาม ไม่งั้นอาจจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ตามคนดำไปด้วย

แม้เรื่องจะนำเสนอส่วนของปมเหยียดผิวได้ดีมาก แบบถ้าแยกคะแนนก็ต้องให้ในระดับ 9-10 กันเลย แต่ปัญหาคือส่วนเหนือธรรมชาติที่พ่วงมาด้วยตั้งแต่แรก แบบแพลมๆ มาตลอด จนมาเด่นชัดเอาช่วงครึ่งหลัง ซึ่งอันที่จริงต้องเข้าใจก่อนว่า เรื่องนี้ตั้งใจทำมาแบบเหนือจริงมากๆ ในแบบเดียวกับภาพยนตร์เรื่อง US ที่แทบไม่มีคำอธิบายที่มาที่ไป ไม่ใช่แบบ Get Out ที่ยังเมคเซนส์เข้าใจได้ เรียกว่าถ้าคนดูชอบ US ก็จะดูเรื่องนี้สนุกในแบบเดียวกัน แต่ถ้าชอบ Get Out เรื่องในส่วนนี้จะดูแย่ไป ส่วนตัวผู้เขียนค่อนข้างไม่ชอบ US เอามากๆ พอครึ่งหลังของเรื่องนี้ดำเนินไปในแนวสยองขวัญเหนือจริงแบบชัดเจน ก็รู้สึกว่าครึ่งแรกของเรื่องที่ปูมาเรื่องเหยียดผิวแรงๆ ดูจางหายไปเลย เมื่อทุกอย่างถูกโฟกัสมาที่เรื่องเหนือธรรมชาติที่ทุกคนในครอบครัวนี้ต้องเจอแบบเต็มๆ จนแทบจะกลายเป็นหนังผีเลยก็ได้ (แอบมีความคล้าย IT มากด้วย) แต่เรื่องไม่ชวนงงแบบ US มีที่มาที่ไปแสดงให้เห็นค่อนข้างชัดเจนหมด

ชายใส่หมวก 1 ในตัวละครเหนือธรรมชาติของเรื่อง

ซึ่งพอเรื่องมาถึงจุดนี้ก็ต้องจบแบบการต่อสู้เหนือธรรมชาติตามไปด้วย ตัวเรื่องให้ทั้ง 4 คนเจอปีศาจในใจกันคนละแบบคนละตัว แล้วก็หาทางออกให้แต่ละตัวละครที่มีปมต่างกัน ก่อนจะกลับมาสู่เรื่องราวจริงของความรุนแรงจากการเหยียดผิวที่ถูกทิ้งค้างไว้อีกครั้ง แต่เรื่องกลับตัดจบค้างคาไว้แค่นั้น เพราะนี่เป็นซีรีส์แบบจบในซีซั่นเลย อาจจะมองว่าปลายเปิดก็ได้ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่าเรื่องไม่รู้จะหาทางกลับมาจบในแบบจริงจังกับชีวิตของครอบครัวเอโมรี่ได้ยังไงมากกว่า เพราะเล่นเจอความรุนแรงไปรอบด้านขนาดนั้น

นักแสดงในเรื่องเอาอยู่หมด ในส่วนครอบครัวผิวดำทุกคนต้องแสดงสองบทบาท ชีวิตในแบบปกติกับด้านที่จิตใจบิดเบี้ยวสลับกันไปมา แต่ที่ดีสุดคือบทของ เบตตี้ (รับบทโดย Alison Pill) แม่บ้านผิวขาวหัวรุนแรงของเรื่อง ที่หน้าตาท่าทางดูจิตไม่ปกติยิ้มแบบแห้งๆ ไม่มีความจริงใจ ดูน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งดูน่าหมั่นไส้แบบหญิงผิวขาวอวดดี กดขี่ให้สามีไปทำความรุนแรงแทนตัวเอง เธอตีบทแตกจริงๆ จนทำให้รู้สึกว่านี่คือตัวร้ายสุดของเรื่องตั้งแต่ออกมาในฉากแรกเลย

Them เป็นผลงานที่คนดูน่าจะเสียงแตกพอสมควร เพราะความที่เรื่องทำมาแบบสุดโต่งเอามากๆ ในเรื่องเหยียดผิว ซีรีส์เก็บรายละเอียดเรื่องพวกนี้ได้ดีมาก จนคนขาวดูเลวร้ายเกินจริงอย่างจงใจ ไม่แปลกที่คนจะรู้สึกว่าเรื่องไม่สมดุลย์ และยิ่งมาเล่นเรื่องเหนือธรรมชาติซ้อนทับปมเหยียดผิวให้ดูรุนแรงเข้าไปอีก ถ้าคนไม่อินกับอะไรแบบนี้ก็จะไม่ชอบได้ง่ายๆ แต่ถ้าคนอินกับประเด็นเหยียดผิวเลวร้ายในทุกแนวทางของเรื่อง ก็น่าจะชอบเรื่องนี้มากในระดับท็อปๆ ในใจได้เลยเหมือนกันครับ โดยเฉพาะคอหนังโหด อันนี้คงต้องแนะนำให้ห้ามพลาดเช่นกันครับ

 

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ Amazon Prime VIDEO เพิ่มคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!