playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวหนัง Think Like a Dog (Netflix) คู่คิดสี่ขา หมาคิดอย่างไร คิดให้เหมือนหมา

Think Like a Dog

สรุป

เป็นหนังที่เปิดให้เด็กดูเพลินๆ เท่านั้นจริงๆ เพราะประเด็นต่างๆ มีทางออกจากหมาแบบง่ายดายไปซะหมด น้องหมาในเรื่องก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมาก เลยทำให้เรื่องดูจืดๆ เข้าไปอีก

Overall
5/10
5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • มีดาราสาวชื่อดัง เมแกน ฟ็อกซ์ เล่นเป็นแม่ของตัวเอก
  • มีฉากฝั่งเมืองจีนให้ดูในเรื่องเรื่อยๆ

Cons

  • ทุกอย่างในเรื่องหาทางออกได้ง่ายดายไปหมด
  • มุมมองของหมาที่ยัดมาแบบไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่

Think Like a Dog คู่คิดสี่ขา ภาพยนตร์ Original Netflix เมื่อหนุ่มน้อยนักประดิษฐ์สร้างเครื่องมืออ่านความคิด และทดลองนำมาใช้กับหมาเพื่อนรักจนสำเร็จ
 Think Like a Dog (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Think Like a Dog

หนังเด็กของ Netflix แนวครอบครัวผสมไซไฟตลกๆ กับไอเดียการอ่านความคิดสัตว์เลี้ยงได้ ด้วยความเป็นหนังเด็กเรื่องจึงไม่ได้ต้องมีเหตุผลอะไรมาก เปิดเรื่องมาตัวเอก “โอลิเวอร์” ก็สร้างเครื่องนี้สำเร็จแล้ว แต่เมื่อนำมันมาแสดงโชว์ในงานของโรงเรียนกลับผิดพลาดจนทำให้เขาขายหน้า และตัดสินใจนำมันกลับมาใช้กับ “เฮนรี่” หมาเพื่อนรักตั้งแต่เด็ก และได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนทางไกลในจีนช่วยแฮ็กดาวเทียมที่เป็นเหมือนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้มาช่วยยกระดับการประมวลผลของเครื่องนี้ให้สำเร็จ ซึ่งก็กลายเป็นว่าเขาถูกรัฐบาลตามหาตัวการแฮ็กดาวเทียม และยังถูกเจ้าของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ “แรม มิลส์” จ้องฮุบเทคโนโลยีอ่านความคิดนี้ไปเป็นของตัวเอง

หนังสร้างปมให้ตัวเอกมีปัญหาไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดจริงๆ ออกไป ทั้งกับสาวน้อยที่หมายปองไว้ ปัญหาครอบครัวที่พ่อแม่กำลังแยกทาง และเขาไม่เข้าใจเหตุผลของผู้ใหญ่ จนทำให้นำมาสร้างเครื่องนี้เพื่อจะได้อ่านความคิดได้ ตัวหนังมีความง่ายดายกับทุกปมปัญหาในเรื่องมีทางออกจากการแนะนำของหมาเพื่อนซี้เฮนรี่ ทำให้ตัวเรื่องไม่มีลุ้นอะไรเลยสักนิดเดียวเพราะทุกอย่างมันแก้ได้ง่ายๆ จากที่หมาคิดและนำไปหมด แม้จะพยายามบอกว่าการคิดแบบหมา มีมุมมองแบบหมาที่ง่ายๆ ทำให้แก้ปัญหาของมนุษย์ได้ดีกว่า แต่มันก็ง่ายจนเกินไปจนไม่สามารถนำมาสอนอะไรเด็กได้จริงจังเลย ยกตัวอย่าง พ่อแม่จะแยกทางกันก็ให้เปิดเพลงงานแต่งแล้วจะคืนดีกัน อยากชวนสาวไปงานปาร์ตี้ก็พูดตรงๆ ซึ่งถ้าหนังมีอุปสรรคบ้างสักนิดให้ดูผิดคาดอะไรบ้างก็ยังดี แต่ในเรื่องไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว หมาแนะนำทุกอย่างได้ถูกหมด จนไม่เหลืออะไรให้ลุ้นเลยสักนิด

แรม มิลส์ ตัวร้ายของเรื่อง

กลับกันฝั่งตัวร้ายและฝ่ายรัฐบาลที่มาตามหาตามล่าเด็กกลับมีอะไรที่พอให้สนุกอยู่บ้าง จากการที่พยายามหลอกล่อเอาเทคโนโลยีไปใช้ โดยฉากหน้าดูเป็นคนดีน่านับถือ แต่เบื้องหลังคือวายร้ายตัวฉกาจ ตัวเรื่องมีฉากที่จีนบ่อยครั้งจาก “เซียว” เพื่อนของโอลิเวอร์ที่นับเป็นคนช่วยประดิษฐ์อุปกรณ์นี้ หลายฉากก็เอาใจจีนสุดๆ ด้วยการนำเสนอว่าที่ประเทศนี้คือต้นตำหรับของนักประดิษฐ์เก่าแก่ของโลก ซึ่งก็รู้สึกว่าแปลกๆ ดีที่หนัง Netflix พยายามเอาใจจีนมาก มีฉากกำแพงเมืองจีน ฉากอื่นๆ อีกหลายฉากเหมือนยกกองถ่ายไปที่นั่นจริงๆ

แต่หนังยังมีจุดเด่นสำคัญอยู่ที่ตัว “เมแกน ฟ็อกซ์” ดาราสาวภาพลักษณ์เซ็กซี่จากทรานฟอร์เมอร์ที่ผ่านมาเป็นสิบปีก็ยังจำกันได้ แต่ว่าช่วงหลังจากนั้นเธอแอนตี้การขายเรือนร่างโดยไม่เน้นบทที่ทีมงานหนังฮอลลีวู๊ดมักยัดเยียดให้เธอเป็นอย่างไม่เต็มใจ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีฉากไหนให้ดูแล้วติดภาพแบบนั้นเหมือนกัน แต่เธอก็ยังน่ามอง ดูเป็นดาราที่มีเสน่ห์ในตัวไม่เปลี่ยน แม้จะอายุมากขึ้นเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

ส่วนตัวเอกโอลิเวอร์ Gabriel Bateman ที่เล่นหนังดังมาหลายเรื่องแล้วอย่าง Child’s Play เวอร์ชั่นรีบู๊ทล่าสุด ก็ไม่ได้เสียหายอะไร มีความน่ารักเล่นได้ดีตามบท เพียงแต่ตัวบทไม่ได้มีอะไรให้เขาได้แสดงฝีมือเอง แค่ต้องเล่นเข้าคู่กับหมาที่ทั้งเรื่องก็ไม่ได้มีท่าทางอะไรนักนอกจากหน้านิ่งๆ แต่ใส่เสียงพูดเข้าไป กับกระโดดดีใจอะไรพวกนี้ ซึ่งตัวน้องหมาในเรื่องก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากด้วย เลยทำให้เรื่องนี้ดูจืดๆ เข้าไปอีก แถมยังยัดมุมมองของหมาคิดอะไรแบบไม่ค่อยเข้าท่ามาด้วย อย่างหมาไม่อยากให้เก็บขี้หมาเพราะอาย (แทนที่จะเล่นเรื่องหมากินขี้ตัวเองทำไมแบบนี้) ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคนเขียนบทรีเสิร์ชอะไรมากแค่ไหน เพราะเหมือนแต่ละอย่างนึกเองแล้วใส่ไปกะให้ตลกๆ แค่นั้นครับ

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!