playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Transatlantic เรื่องจริงของขบวนการช่วยชาวยิวที่เนื้อเรื่องราบเรียบไร้อารมณ์ตรึงเครียด

Transatlantic

Summary

ซีรีส์ 7 ตอนจบ สร้างจากเรื่องจริงของขบวนการช่วยเหลือชาวยิวในฝรั่งเศส ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เนื้อหากลับธรรมดา เล่าเรื่องแบบเรียบๆ ไม่มีจุดพีค ไม่มีอารมณ์ตรึงเครียดแบบหนังแนวนาซีเข่นฆ่าชาวยิว แถมให้อารมณ์ติดตลกนิดๆ อยู่ตลอดเรื่องด้วย โดยรวมเป็นซีรีส์ที่แค่พอดูผ่านๆ ได้ แต่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ ไม่เท่ากับเรื่อง Unorthodox ของทีมนี้ซึ่งควรค่าแก่การดูอย่างมากครับ

Overall
5.5/10
5.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • สร้างจากเรื่องจริง
  • นักแสดงหน้าตาดีมีเสน่ห์
  • งานโปรดักชั่นย้อนยุคได้มาตรฐาน

Cons

  • เนื้อเรื่องราบเรียบไม่มีจุดตื่นเต้นน่าสนใจ
  • อารมณ์ของเรื่องไม่ตรึงเครียด

Transatlantic (2023) on IMDb

Transatlantic รีวิว

 

ซีรีส์จากผู้สร้าง Unorthodox ลิมิเต็ดซีรีส์ 4 ตอนจบที่เล่าถึงการหลบหนีของหญิงสาวชาวยิวที่ถูกครอบครัวยิวกดขี่ตีกรอบไว้ในสังคมกลางกรุงนิวยอร์ค ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลงานที่เปี่ยมด้วยคุณภาพมากทุกด้าน ซีรีส์เรื่องใหม่ของทีมนี้จึงถูกคาดหวังมากว่าจะทำได้ในแบบเดียวกัน แต่กลายเป็นว่าผลงานนี้กลับทำได้แค่มาตรฐานทั่วไปเท่านั้น

เนื้อเรื่องเล่าถึงกลุ่มตัวเอกหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่ในเมืองมาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยตัวเอกหลักเป็นชาวอเมริกัน 2 คน ชายหนุ่มที่แต่งงานแล้ว แต่ชีวิตอีกด้านเขาเป็นเกย์ กับหญิงสาวโสดลูกเศรษฐีที่อุทิศตัวมาช่วยชาวยิว โดยแอบใช้เงินที่พ่อส่งมาให้มาทำภารกิจลับๆ ทั้งคู่อุทิศตัวช่วยยิวโดยผ่านการช่วยเหลือของโรงแรมหรู ที่มีพนักงานผิวดำ 2 คนเป็นคนในกลุ่มต่อต้านนาซีคอยช่วยเปิดห้องพักให้แขกชาวยิวพวกนี้หลบซ่อนตัว และก็ยังมีคนในสถานฑูตอเมริกันที่ช่วยออกวีซ่าให้คนเหล่านี้ไปอเมริกา บางครั้งก็ยอมทำวีซ่าปลอมให้พวกเขาด้วย นอกจากนี้ยังมีหนุ่มเยอรมันเชื้อสาวยิวที่ต้องจากเบอร์ลินมาเพราะโดนตามล่า แต่เขากลายมาเป็นหนึ่งในขบวนการนี้ด้วยเพื่อหวังว่าสักวัน เยอรมันจะกลับเป็นปกติไม่ถูกฮิตเลอร์ปกครองแบบตอนนี้

ด้วยการเล่าเรื่องหลายตัวละคร ทำให้ต้องตัดฉากไปมาอยู่ตลอดจนดูไม่ต่อเนื่อง แม้เนื้อเรื่องหลักจะเป็นการช่วยชาวยิวเหมือนกันทุกคน แต่บทก็แบ่งให้ทุกคนมีเนื้อเรื่องส่วนตัวแยกเป็นคู่ นอกเหนือไปจากเรื่องช่วยชาวยิว ก็ยังมีเรื่องรักโรแมนติกของหนุ่มเกย์ 2 คน และคู่อื่นๆ อีก รวมถึงเนื้อเรื่องที่เป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการต่อสู้กับนาซีโดยคนผิวดำในยุโรป ด้วยความที่เป็นซีรีส์ 7 ตอนจบ การยัดเรื่องราวมากมายลงไปแบบนี้ทำให้เนื้อเรื่องไปไม่สุดสักทาง และสไตล์การเล่าเรื่องแบบไม่ซีเรียส ติดตลกนิดๆ ทำให้ดูขัดกันอย่างมากกับเนื้อหาจากเรื่องจริงที่เกี่ยวข้องกับนาซีที่ควรจะเข้มข้นกดดันมากกว่านี้ แต่ในเรื่องนี้คือทุกอย่างดูง่ายดายไปหมด แทบไม่มีอารมณ์ซีเรียสจริงจังกับเนื้อหาความเป็นความตายเกิดขึ้นเลย (แม้จะมีคนตายในเรื่องหลายคน)

อีกอย่างที่น่าตำหนิคือตัวเรื่องเล่าถึงนาซี แต่นาซีตัวเป็นๆ ในเรื่องกลับปรากฎตัวน้อยมาก มาตอนท้ายๆ ใกล้จบแล้ว แถมยังไม่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง โผล่มาไม่ถึง 10 นาทีแล้วก็ถูกตัดบทหายไป ไม่มีการไล่ล่า กดดัน ไม่มีฉากทรมานชาวยิว โดยบทตัวร้ายกลับโอนไปให้หัวหน้าตำรวจประจำเมืองมาร์แซย์กับฑูตอเมริกัน ทั้งคู่พยายามตัดปัญหาไม่ยอมช่วยเหลือชาวยิวโดยอ้างว่าอเมริกาวางนโยบายเป็นกลางกับสงครามโลกครั้ง 2 ซึ่งก็เป็นจริงตามประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ก่อนที่ภายหลังจบเรื่องจะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่ตัวร้ายทั้ง 2 คนนี้ก็ไม่ใช่ตัวร้ายแบบจริงจัง แต่เป็นตัวร้ายแบบขำๆ แค่พอทำให้เรื่องดูมีอุปสรรคนิดหน่อยเท่านั้น เพราะสุดท้ายกลุ่มตัวเอกก็ทำภารกิจสำเร็จได้หมดแบบง่ายๆ

โปรดักชั่นงานสร้างของเรื่องนี้ทำแบบย้อนยุค โดยรวมถือว่าจำลองสร้างสิ่งต่างๆ ออกมาได้ดีในระดับน่าพอใจ แต่ถ้าเทียบกับผลงานก่อนอย่าง Unorthodox เรื่องนี้ถือว่าธรรมดาไปเลย ไม่ละเอียดเหมือนจริงมากเท่า ซึ่งน่าผิดหวังเหมือนกัน 

 

ส่วนที่ดีก็คงเป็นตัวนักแสดงในเรื่องที่ทุกคนเล่นได้ดี หน้าตาดีมีเสน่ห์ทุกคน คาแรกเตอร์ของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ทำให้ตัวละครเหล่านี้กลายเป็นจุดน่าติดตามเอาใจช่วยเรื่องราวชีวิตของพวกเขาว่าจะจบลงที่จุดไหน มากกว่าจะติดตามตัวเนื้อเรื่องหลักที่ทำออกมาจืดชืดไร้จุดพีค ทั้งๆ ที่ทำมาจากเรื่องจริง

 

โดยรวมเป็นซีรีส์ที่แค่พอดูผ่านๆ ได้ แต่ไม่น่าจดจำ ไม่เท่ากับเรื่อง Unorthodox ของทีมนี้ซึ่งควรค่าแก่การดูอย่างมากครับ

 

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!