playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

[รีวิว] Ashfall นรกล้างเมือง – เมื่อเทพสูงสุดของเกาหลีตื่นขึ้นด้วยความพิโรธ

สรุป

เป็นหนังภัยพิบัติที่ทำออกมาได้อลังการไม่เสียชื่อเกาหลีใต้ แต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่กลับไม่ได้เน้นไปที่การระเบิดของภูเขาไฟเท่าที่ควร ออกจะดูเป็นหนังแอ็กชั่นบู๊ล้างพลาญเสียมากกว่า มีเรื่องราวที่ไม่เมคเซ้นต์อยู่พอควร แต่ถ้าจะไปดูแค่ภูเขาไฟระเบิดก็สนุกดี

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • CG ระดับเทพ
  • นักแสดงแสดงดี
  • มีการนำเสนอที่น่าสนใจ

Cons

  • มีตัวละครใช้แล้วทิ้งมากเกินไปหน่อย
  • การเล่าเรื่องดูไม่ค่อยมีเหตุผล อยู่ๆก็มา อยู่ๆก็ไป
  • มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แบบรับไม่ได้อยู่พอควร

Ashfall นรกล้างเมือง หนังภัยพิบัติ สุดอลังการงานสร้างจาก เกาหลีใต้ ด้วยต้นทุนกว่า 18ล้านเหรียญสหรัฐฯ และดาราจอเงินเบอร์ใหญ่คับคั่ง เมื่อได้ดูหนังตัวอย่างก็บอกได้เลยว่าน่าดูมาก ยิ่งผมเนี่ย..กำลังโหยหาหนังภัยพิบัติ(โดยเฉพาะภูเขาไฟ)เจ๋งๆ สักเรื่องอยู่ เพราะเหมือนว่าชีวิตได้ว่างเว้นจากหนังภัยพิบัติธรรมชาติระดับบิ๊กบึ้มมานานมาก ที่พอจำได้ล่าสุดน่าจะเป็น The Quake(2018) หนังภาคต่อของ The Wave(2015) จากนอร์เวย์แต่ก็ไม่ติดตาเท่าพวก Volcano(1997), Dante’s Peak(1997) หรือ Pompeii(2014)

ASHFALL – นรกล้างเมือง (หนังตัวอย่าง)

แต่…อย่างที่เรารู้ว่าเรื่อง CG ของเกาหลีใต้นั้นไปไกลในระดับเทียบชั้น Hollywood มานานแล้ว และเรื่องนี้ก็ทำได้ไม่เลวเลย แค่…อาจจะโชว์ของน้อยไปหน่อยเลยดูไปไม่ค่อยสุดทาง บทก็เหมือนกันหนังเปิดเรื่องมาได้อย่างน่าสนใจ แต่ดูๆ ไปเกือบจะนึกว่าหนังเฉินหลงซะงั้น(ถ้ามีคนเก่งกังฟูมาม้วนหน้าม้วนหลังในหนังหน่อยนี่ใช่เลย)

เรื่องย่อ Ashfall นรกล้างเมือง

ในที่สุดภูเขาไฟแพ็กตู ภูเขาไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรเกาหลี ก็ปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านมามากกว่า 1,000ปี เหตุการณ์นี้ถูกหยิบยกมาโดย ดร.คัง บงแร(มา ดงซอก จาก Train to Busan) แต่ในครั้งแรกไม่มีใครเชื่อ(ตามสูตร) จนเมื่อการปะทุครั้งแรกเกิดขึ้นสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลให้กับทั้งคาบสมุทร โจ อินชาง(ฮา จองอู จาก Along With the Gods) เจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดฝีมือดีถูกเรียกมาปฏิบัติการณ์กู้โลกครั้งสุดท้ายก่อนปลดประจำการ โดยมีความปลอดภัยของ ชอย จียอง(แบ ซูจี จาก Vagabond) เป็นประกัน

Ashfall
มา ดงซอก เปิดคัวได้อย่างเท่เสมอ

Paektu Mountain

ภูเขาไฟแพ็กตู ถือเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเกาหลี เพราะนอกจากความยิ่งใหญ่ของขนาดภูเขาและขนาดของแรงระเบิดแล้ว ยังมีเรื่องเล่าที่ว่าที่ภูเขานี้ถือเป็นจุดกำเนิดของชาวเกาหลีเลย (ที่เกาหลีเหนือมีการสร้างเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับภูเขานี้ แต่ขอไม่พูดในบทความนี้นะครับ)
ภูเขาไฟแพ็กตู เป็นเขตพรหมแดนธรรมชาติระหว่างเกาหลีเหนือและจีน  (ฝั่งจีนเรียกว่า ฉางไป๋ซาน) สามารถขึ้นได้จากทั้งฝั่งจีน และเกาหลีเหนือ แต่ทางเกาหลีเหนือจะมีพื้นที่เข้าชมทะเลสาบสวรรค์ ทะเลสาบบนปากปล่องภูเขาไฟได้ดีกว่า ส่วนคนเกาหลีใต้ที่อยากจะมาเยี่ยมภูเขานี้สักครั้งส่วนมากจะต้องขึ้นจากฝั่งจีน
เนื่องจากความสูงที่สูงมาก และทำเลที่ตั้งทำให้ภูเขาแพ็กตูนั้นถูกปกคลุมด้วยหิมะยาวนานถึง 8 เดือนใน 1 ปี การปะทุครั้งล่าสุดเกิดเมื่อปี ค.ศ. 946 การปะทุครั้งนั้นถือเป็นการปะทุที่รุนแรงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก แบบที่ว่าขี้เถ้าจากการปะทุนั้นลอยไกลไปถึงญี่ปุ่นเลยทีเดียว ทะเลสาบสวรรค์บนปากปล่องเองก็ถือกำเนิดขึ้นหลังจากการปะทุครั้งนั้น จนทุกวันนี้ว่ากันว่าภูเขาไฟแพ็กตูนั้น ยังไม่ดับ!

ภูเขาไฟระเบิดเมือง สะเทือนโลก แต่..

นรกล้างเมือง จริงๆ

เอาครับมาเข้าเรื่องกัน อย่างที่บอกครับผมค่อนข้างชอบดูหนังภัยพิบัติโดยเฉพาะจากธรรมชาติ และ Ashfall เองก็ปูเรื่องมาได้น่าสนใจมาก มีการเล่าเรื่องที่แตกต่างจากหนังภูเขาไฟระเบิดเรื่องก่อนๆ เยอะ ทฤษฏีที่เอามาใช้ก็ดูดีอย่างเช่น การปะทุจะแบ่งออกเป็น 4 ครั้ง ตามชั้นลาวาที่อยู่ใต้ภูเขา ครั้งแรกจะรุนแรงเป็นอันดับ 2 ครั้งที่ 2 และ 3 จะเบาลงหน่อย ส่วนครั้งสุดท้ายครั้งที่ 4 จะเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่แบบที่ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ หนังไม่เลือกที่จะหนีหรือ อพยพแบบหนังเรื่องอื่นๆ แต่เลือกที่จะทำภารกิจกู้โลกอย่างการหยุดยั้งการระเบิดแทนซึ่งทฤษฏีที่เอามาใช้ก็ยังน่าสนใจอยู่อีกเช่นกัน คือการเจาะรูให้ลาวาไหลออกจากชั้นที่ 4 ให้ได้มากที่สุด ทำให้ลดความดันและแรงระเบิดลง ทุกอย่างวางมาดี ปัญหาหรืออุปสรรค์ที่เกิดขึ้นก็ดูโอเค การแก้สถานการณ์ต่างๆ ส่งให้ Ashfall เป็นหนังแอ็กชั่นดีๆ ได้เลย และด้วย CG ระดับสุดยอดผมก็บอกได้เลยว่า  หนังเรื่องนี้คุ้มค่าตั๋วอยู่ครับไปดูได้
แต่เพราะการเล่าเรื่องที่แปลกๆ นี่แหละ พอผมออกมาจากโรงและนั่งคิดทบทวนดีๆ ก็รู้สึกว่าหนังมีคอนเซ็ปต์แปลกๆ ในการนำเสนอมากเกินไปหน่อยจนทำให้มันดูขัดๆ และมีช่องโหว่เยอะเลย (แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็โอเคนะครับ) ผมก็เลยกะว่าจะขอใช้พื้นที่ตรงแชร์สิ่งที่ผมรู้สึกมันทำให้หนังไปไม่ค่อยสุดทางเท่าไหร่ละกันนะครับ

อันดับแรกเลย หนังเลือกที่จะเน้นค่อนไปทางดราม่ามากกว่า การนำเสนอความหายนะแบบที่หนังแนวนี้ทำกัน ซึ่งมันทำให้หลายๆ อย่างในหนังเริ่มดูไม่เหมือนหนังภูเขาไฟระเบิดละ คือเรื่องอื่นๆ มักจะเริ่มด้วยสัญญาณนู่นนั่นนี่ แล้วช่วงที่มีสัญญาณเกิด อยากดราม่าอะไรก็จัดไป และพอหลังจากการระเบิดครั้งสุดท้ายซึ่งมาแน่ๆ เพราะมนุษย์ไม่สามารถยับยั้งอะไรพวกนี้ได้ ก็มาดูกันว่าเราจะเอาชีวิตรอดยังไง และทำอะไรต่อจากนั้น ซึ่งหนังภูเขาไฟระเบิดมีแค่นี้ก็สนุกแล้วจริงๆ นะ แต่พอ Ashfall เลือกที่จะแตกต่างก็เลยทำให้ฉากการระเบิดสุดท้ายที่มักจะเป็นไคล์แม็กซ์ของเรื่องหายไป เลยทำให้หนังมันเบาลงด้วย แม้หนังจะแลกด้วยการใส่ปัญหาใหม่ๆ ให้พระเอกได้ท้าทายเรื่อยๆ มันก็ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่าฉากระเบิดครั้งสุดท้ายอยู่ดี แถมหนังเริ่มจะเป๋ไปทางดราม่า แอ็กชั่นซะมากกว่าอีก ตรงนี้ก็รู้สึกผิดวัตถุประสงค์นิดๆ ละ

ซูจี เรื่องนี้สวยมากแม้จะท้องอยู่

ต่อมากคือความไร้เหตุผลและที่มาที่ไปของเรื่องราวหลายๆ เรื่อง เช่น ภูเขาเนี่ยอยู่ที่พรหมแดนของ เกาหลีเหนือ และจีน แต่คนเดือดร้อนดันเป็นเกาหลีใต้ แถมจีน กับเกาหลีเหนือดูจะไม่สนใจทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เฮ้ย! เดี๋ยว! โอเค  เกาหลีเหนือมันประเทศลับแล ยกทิ้งไปก่อนเลยได้ แต่จีนเนี่ย โคตรมหาอำนาจ แถมเจ้าภูเขาก็อยู่ไม่ห่างปักกิ่งสักเท่าไหร่หรอก พอๆ กับโซลนั่นแหละ ไหงไม่ทำอะไรเลยหว่า? คือถึงคุณจะเป็นหนังเกาหลีใต้ แต่จะมาทำให้เกาหลีใต้เป็นพระเอกจ๋าๆ แบบนี้ไม่ได้นะ นี่มันหนังภัยพิบัติ ปกติถ้ามันเกิดประชาคมโลกก็มักจะเข้ามารุมช่วยกันเพื่อเอาหน้าอยู่แล้ว ดูอย่างไฟไหม้ออสเตรเลียตอนนี้สิ แต่ในหนังนี้อะไร เกาหลีเหนือนอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้ว ยังไม่ยอมเปิดทางให้เกาหลีใต้เขามาทำภารกิจอีก (เกาหลีใต้ส่งทีมบินไปเครื่องบินก็ถูดยิงตก) จีนก็ไม่ทำอะไรมีมาแค่มาร์เฟียจีนจะมาขโมยระเบิดไปขายซะงั้นคือแกจะตายอยู่แล้วนะเว้ยอีก ไปถึง 1 ชั่วโมงจะระเบิดเนี่ยยังจะมาทำอะไรแถวตีนเขาไม่ทราบ อเมริกาหนักสุด ไม่ช่วยเรื่องหยุดภูเขาไฟทำแค่มาช่วยอพยพคนแต่เน้นคนอะเมริกันก่อนด้วย เกาหลีใต้จะเข้าไปยับยั้งการระเบิดของภูเขาที่เกาหลีเหนือก็ไม่ให้เข้าแบบเข้ายึดอาคารที่ว่าการเลย แถมที่เกาหลีเหนือยังมีกองกำลังของอเมริกาอยู่อีกเพียบ คอยขัดขวางทีมพระเอกจัง เพื่ออะไรหว่า? ถ้าผู้กำกับอยากทำหนังเหน็บแนม 3 ประเทศนั้นผมว่าทำอีกเรื่องเถอะอย่าเอาเรื่องนี้มาบังหน้าเลย (เคสนี้แค่เล่าให้ฟังคร่าวๆ นะครับ จริงๆ มีอีกเยอะมาก)

สุดท้าย…ละกันไม่อยากบ่นเยอะ โทนหนังครับ อยู่ๆ ดันอยากแทรกความตลกเข้ามาเฉย ตอนแรกผมคิดว่าเป็นที่คนพากย์แต่ตัวพระเอกเองก็ทำบุคลิดแบบนั้นด้วยไง แบบเหวอๆ บ่อย ทำหน้าเป็น หน้างอน หน้าขำ ระหว่างภารกิจความเป็นตายเนี่ย …เฮ่อ คงได้แต่ถอนหายใจ
อ่อ ที่รู้สึกเสียดายอีกอันก็คงเป็นฉากที่เศษจากภูเขาไฟเริ่มลอยมาตกยังที่ต่างๆ นี่แหละ ผมว่ามันน้อยเกินไป ลูกเท่ากันเกินไป ทำให้ไม่ยิ่งใหญ่อย่างที่หวังเลย (ทำให้แค่นึกถึงโฆษณาหนัง 4DX ในโรงหนังชื่อดังแห่งหนึ่งเท่านั้น)

สรุป ผมว่าถ้าดูไม่คิดมาก ก็ดีครับภาพสวย ดาราเพียบ ช่วงต้นตื่นเต้นดี แต่ถ้าคิดมากอย่างผมอาจจะกร่อยๆ หน่อยนะ 

ท้ายหนังมี End Credit (แต่ก็ไม่รู้ว่ามีทำไม…)

ผู้อ่านท่านใดอยากพูดคุยเรื่องหนังเรื่องนี้ เชิญที่คอมเม้นต์ด้านล่างเลยครับ
อ่านรีวิวหนังอื่นๆได้ที่นี่ 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!