playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The War of the Worlds ฉบับมินิซีรีส์ BBC ที่ดัดแปลงจากต้นฉบับนิยายได้แย่มาก

สรุป

The War of the Worlds ฉบับมินิซีรีส์ที่ดัดแปลงโดย BBC เอาประวัติบางส่วนของ เอช จี เวลส์ (H.G. Wells) ผู้เขียนมาใส่ในตัวละครเอก แต่น่าเสียดายที่ตัวหนังไม่ตอบโจทย์ความคาดหวังคนดูเลย บทแย่ และดราม่าแบบไม่เข้ากับเรื่อง

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • มีหลายจุดที่เคารพนิยายต้นฉบับพอสมควร
  • นำเสนอโลกหลังหายนะได้น่าสนใจ

Cons

  • ฉากแอ็คชั่นหนีต่างดาวมีน้อยและแย่มาก
  • เล่นประเด็นใหญ่โต แต่ทำออกมาไม่สนุก
  • ใส่ดราม่าตัวละครที่ไม่เชื่อมโยงกับคนดู
  • เดินเรื่องอืดมาก

The War of the Worlds 2019 รีวิว ฉบับมินิซีรีส์ ดัดแปลงโดย BBC นำนิยายไซไฟทริลเลอร์ชื่อดังของ เอช จี เวลส์ (H.G. Wells) นักเขียนชื่อดังที่สร้างสรรค์ผลงานมากมายในอดีต ไม่ว่าจะเป็น Time Machine, เกาะของ ดร.มอโรว์ มนุษย์ล่องหน และอื่นๆอีกมากมายกว่า 100 เรื่อง

สำหรับมินิซีรีส์ที่ดัดแปลงมารอบนี้ อ้างอิงเนื้อหาจากนิยายและบริบททางสังคมของอังกฤษ กับชีวประวัติของ H.G. Wells ผู้เขียน เอามาใส่ในเรื่องด้วย แล้วยังจงใจวิพากษ์สังคมอังกฤษและวัฒนธรรมคนขาวชาวตะวันตก ลัทธิล่าอาณานิคม และอื่นๆ ทั้งหมด 3 ตอนจบ

 The War of the Worlds (2019) on IMDb

The War of the Worlds 2019 ตัวอย่าง

The War of the Worlds รีวิวThe War of the Worlds เรื่องย่อ

เรื่องราวเริ่มขึ้นในช่วงที่ประเทศอังกฤษเมื่อปลายศตวรรษที่ 18 เมื่อคู่รัก เอมี่ และ จอร์จ ที่เพิ่งย้ายที่อยู่มาที่โวคกิ้ง แล้วทั้งสองได้รู้จักกับ โอกิลวี่ นักดาราศาสตร์ที่กำลังส่องกล้องสำรวจดาวอังคาร แล้วพบสิ่งผิดปกติ

ในขณะที่จอร์จซึ่งมาจากครอบครัวชนชั้นผู้ดี ต้องมาทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ แล้วได้มาทำข่าวเหตุการณ์ที่มีอุกกาบาตกลงมา แล้วปรากฏวัตถุทรงกลมสีดำแปลกประหลาด ในขณะที่เอมี่ซึ่งเป็นหญิงสาวที่เฉลียวฉลาดกว่าหญิงทั่วไป และจบการศึกษาด้านธรรมชาติวิทยา ก็ได้มาช่วยสำรวจวัตถุแปลกประหลาดนี้ด้วย

แต่แล้ววัตถุสีดำนั้นกลับเป็นจุดเริ่มต้นของการโจมตีจากเครื่องจักรที่มาจากดาวอังคาร และทำให้อังกฤษแทบจะล่มสลาย เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลก ที่ต้องตกอยู่ในหายนะ

เรื่องราวจะบอกเล่าสลับไปมาผ่านทางมุมมองของเอมี่ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในระหว่างเหตุการณ์ที่เครื่องจักรดาวอังคารบุกโจมตีโลกในช่วงแรก กับโลกหลังจากที่ตกอยู่ในสภาพหายนะ ผู้คนล้มป่วย พืชผักปลูกไม่ขึ้นและถูกทำลายเสียหาย และก็ไม่มีมนุษย์ที่สามารถให้กำเนิดเด็กได้อีก

The War of the Worlds รีวิว

ก่อนอื่น สำหรับคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ที่มักจะรู้จัก The War of the Worlds จากภาพยนตร์เวอร์ชั่น 2005 ที่แสดงโดย ทอม ครู๊ซ ให้ลบภาพของหนังต่างดาวบุกโลกเรื่องนั้นออกไปจากหัวสมองเลยครับ เพราะเวอร์ชั่น BBC จะเป็นการเอานิยายต้นฉบับของ H.G. Wells นักเขียนแนวไซไฟผู้ยิ่งใหญ่ของอังกฤษ มาดัดแปลงใหม่

ซึ่งปัญหาอย่างหนึ่งคือ นิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1898 ดังนั้นเซตติ้งที่แท้จริงของนิยายเรื่องนี้จึงอยู่ในประเทศอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ซึ่งทาง BBC ก็ปรับให้เรื่องเดินหน้าขึ้นอีกนิด โดยมาอยู่ในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ซึ่งเป็นต้นศตวรรษ 1900s โดยในยุคนั้น อังกฤษยังคงมีความภาคภูมิใจในฐานะจักรวรรดิอังกฤษ ที่พระอาทิตย์ไม่ตกดิน มีกองทัพเรือราชนาวีเข้มแข็งที่สุด แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทุกอย่างที่อังกฤษคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่กว่าใครก็จะค่อยๆ เสื่อมถอยลง ซีรีส์เองก็นำเสนอการจิกกัดและวิพากษ์ประเด็นนี้เอาไว้เช่นกัน

ที่จริงแล้ว ตัวมินิซีรีส์มีความพยายามที่จะคารวะนิยายต้นฉบับไม่น้อย เนื่องจากตัวละครเอกในนิยายฉบับดั้งเดิมจะไม่ได้มีชื่อตัวละคร รวมถึงตัวละครเกือบทุกคนในเรื่อง ยกเว้นแค่นักดาราศาสตร์โอกิลวี่เท่านั้น ตัวซีรีส์ก็ใช้วิธีเอาชีวประวัติบางส่วนของของ H.G. Wells มาใส่ในตัวละคร จอร์จ ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่อง ดังนั้นถ้าคนดูได้ชมแล้วรู้สึกแปลกใจว่า จะใส่ประเด็นดราม่าแปลกๆในเรื่องเข้ามาเพื่ออะไร โดยเฉพาะเรื่องที่จอร์จต้องแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง แต่เขาก็หนีออกมากับเอมี่ ที่อายุน้อยกว่า แล้วมาใช้ชีวิตใหม่ ซึ่งสถานที่ในเรื่องที่เปิดมาอย่าง โวคกิ้ง ก็คือถิ่นฐานของภรรยาคนที่สองของเวลส์นั่นเอง

แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ ความดราม่าของตัวละครที่กล่าวมา มันไม่ชวนให้รู้สึกเชื่อมโยงกับคนดูเลย เพราะจะมีคนดูรุ่นใหม่สักกี่คนที่รู้เรื่องชีวิตแต่งงานของเวลส์ แล้วถ้าหากเปรียบเทียบกับฉบับหนังของ ทอม ครู๊ซ ที่วางบทครอบครัว พ่อลูกที่มีปัญหากัน ยังจะดูเชื่อมโยงกับคนดูทั่วไปง่ายกว่าซะอีก

แล้วว่าตัวซีรีส์จะพยายามสร้างและนำเสนอเรื่องราวความรักของ จอร์จและเอมี่ ที่ค่อนข้างแหกขนบธรรมเนียมประเพณีในยุคนั้นออกมา แต่มุมตรงนี้กลับดูเบาโหวงมาก แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับพลอตเรื่องเลย

ด้านฉาก CG ของเครื่องจักรจากดาวอังคาร ก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้ชวนให้ว้าวมากนัก ในขณะที่ฉากแอ็กชั่นวิ่งหนีตายของตัวละครนั้น ต้องบอกเลยว่าไม่สมจริง และไม่น่าลุ้นเอามากๆ

ความแย่ของมินิซีรีส์เรื่องนี้จึงอยู่ที่ บทและการเดินเรื่องแทบทั้งหมด เพราะมันแทบจะไม่ตอบโจทย์ในสิ่งที่คนดูคาดหวังจากหนังแนวหนีเอาตัวรอดจากพวกต่างดาว ที่ต้องการความ ย่อยง่าย หรือถ้าจะดราม่ากลุ่มตัวละครที่ต้องหนีตายกัน ก็เอาพอประมาณ หรือสมเหตุผล แค่นั้นก็พอแล้ว แต่ตัวหนังกลับทำไม่ตอบโจทย์เลยสักข้อ

แม้ว่าตัวเรื่องจะมีการพยายามใส่ประเด็นที่ลึกซึ้ง การวิพากษ์พฤติกรรมของคนขาวในสมัยล่าอาณานิคม การโจมตีวัฒนธรรมคนขาวตะวันตก ประเด็นการเมือง แต่มันก็เหมือนกับแค่ ใส่มางั้นๆ แล้วสิ่งที่เป็นคีย์หลักของนิยายต้นฉบับ คือการที่ทุกสิ่งในโลกต่างก็มีคุณค่าของมัน แม้จะเป็นสิ่งที่เล็กๆอย่างเชื้อโรคก็ตาม ก็กลับถูกกลบไปด้วย

อันที่จริง ส่วนที่ดีของหนังเรื่องนี้คือการเพิ่มเติมเรื่องราวของโลกหลังหายนะแบบ Apocalypse ซึ่งเอาจริงๆถ้าหนังจะทำมาแนวนี้ ก็น่าจะมาทางนี้ให้สุดๆ ไปเลยแต่แรก หรือไม่ก็เขียนบทใหม่ ต่อยอดจากบทดั้งเดิม ไปเล่นเรื่องราวของเอมี่ที่ต้องดิ้นรนในโลกที่ล่มสลาย แล้วสร้างออกมาเป็นซีรีส์เรื่องใหม่ไปเลย ยังจะดีกว่าด้วยซ้ำ

ในภาพรวมแล้ว นี่เป็นการดัดแปลงฉบับมินิซีรีส์ของไซไฟเรื่องดัง ที่ทำออกมาแล้ว ไม่ได้ตอบโจทย์กับความคาดหวังของคนดู ทั้งที่มีวัตุดิบระดับเทพอยู่ในมือ ถ้าใครคาดหวังจะดูแนวแอ็คชั่น ต่างดาวบุกโลก ก็กดข้ามไปเถอะ

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference

https://www.imdb.com/title/tt8001226/?ref_=tt_sims_tt

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!