playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Dig (Netflix) กู้ซาก หนังจากเรื่องจริง การขุดค้นพบที่ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณคดี

สรุป

เป็นหนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์และเรื่องราวของตัวละครที่มีอยู่จริง ผ่านเหตุการณ์การขุดค้นทางโบราณคดีที่ ซัตตันฮู เป็นพลอตหนังที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้วผู้สร้างทำได้ยอดเยี่ยม เป็นหนังระดับคุณภาพของ Netflix ที่สมควรได้รางวัลอะไรสักอย่างในปี 2021

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • งานสร้าง โปรดักชั่นยอดเยี่ยม นักแสดงหลักเล่นดีมาก
  • พลอตเรื่องแปลกใหม่ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่กลับเล่าเรื่องได้ดี น่าติดตาม
  • บทพูด ไดอาล็อคมีความลึกซึ้ง
  • นำเสนอโลกของวงการโบราณคดีที่ไม่ค่อยมีคนรู้

Cons

  • ถ้าไม่ใช่คนอังกฤษดู ก็อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมการขุดค้นพบซากเรือสมัยแองโกล-แซกซัน ถึงสำคัญขนาดนี้ และหนังไม่ได้ย้ำความสำคัญตรงนี้ด้วย
  • ช่วงท้ายเรื่องมีจังหวะตัดต่อแปลกๆ ทำให้ดูงงไปหน่อย

The Dig Netflix รีวิว กู้ซาก หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของทีมนักขุดและนักโบราณคดีที่ร่วมงานขุดค้นพบซากเรือจากยุค แองโกล-แซกซัน ของอังกฤษ ในการขุดค้นพบที่ ซัตตันฮู ซึ่งถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของโลกโบราณคดีอังกฤษและของโลกเลยทีเดียว

หนังดัดแปลงจากหนังสือของ จอห์น เพรสตัน และชีวประวัติบางส่วนของบุคคลสำคัญที่มีตัวตนอยู่จริงในวงการโบราณคดีของอังกฤษคือ บาซิล บราวน์ และ มากาเร็ต กุยโด (เพ็กกี้ พิกก็อต) และเรื่องราวของ อีดิธ พริตตี้ เจ้าของสถานที่ซึ่งถูกค้นพบซากเรือสำคัญดังกล่าว

 The Dig (2021) on IMDb

ตัวอย่าง The Dig Netflix Trailer

The Dig Netflix เรื่องย่อ

เรื่องราวเริ่มขึ้นในปี ค.ศ. 1938 เมื่อหญิงม่ายลูกหนึ่งคือ อีดิธ เมย์ พริตตี้ ภรรยาของนายพันที่เสียชีวิตและเป็นเจ้าของสถานที่และไร่นาบนเนินที่ซัตตันฮู ชนบทในอังกฤษ เธอได้ว่าจ้างนักขุดค้นคือ บาซิล บราวน์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสามารถในงานขุดค้นทางโบราณคดีและยังเป็นผู้ที่ศึกษาศาสตร์ต่างๆที่เกี่ยวข้องด้วยตนเอง บาซิลยอมมารับงานขุดค้นที่เนินของซัตตันฮู ซึ่งอีดิธก็คิดว่าที่เนินแห่งนั้นจะมีซากของโบราณหรือหลุมศพของคนโบราณซ่อนอยู่

แต่กลายเป็นว่างานขุดค้นครั้งนี้กลับนำไปสู่การค้นพบซากเรือโบราณ ที่กลายเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกโบราณคดีตลอดกาล ซึ่งการขุดค้นครั้งนี้ก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวของมิตรภาพ ความรัก ความปรารถนา และการตั้งคำถามถึงความเชื่อมโยงกับวิถีปัจจุบัน อนาคต และสถานการณ์ของอังกฤษในเวลานั้นที่กำลังจะเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2

The Dig Netflix รีวิว

ซีรีส์ดัดแปลงจากหนังสือของ จอห์น เพรสตัน โดยนำเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่ยิ่งใหญ่ในการขุดค้นพบทางโบราณคดีของอังกฤษและของโลกมาบอกเล่าได้อย่างลึกซึ้งและละเมียดละไมอย่างมาก ไดอาล็อคหรือบทพูดของตัวละครในเรื่องได้ผ่านการกลั่นกรองและแฝงนัยยะลึกซึ้ง ผนวกกับการแสดงชั้นยอดของทีมนักแสดงในเรื่อง การเดินเรื่องที่แม้ว่าจะเรียบง่าย แต่ก็มีชั้นเชิงและน่าติดตาม ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในผลงานชั้นเยี่ยมของ Netflix ที่แนะนำให้รับชมเลยครับ

ก่อนอื่นต้องขอคารวะผู้กำกับ Simon Stone ว่านี่คือภาพยนตร์แนวดราม่า กึ่งชีวประวัติและอิงประวัติศาสตร์ของอังกฤษ ที่บอกเล่าเรื่องราวการขุดค้นพบครั้งสำคัญทางโบราณคดี ที่นำเสนออกมาได้อย่างละเมียดละไมและเต็มไปด้วยไดอาล็อคที่ลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกว่าการตีความ รวมถึงการนำเสนอกระบวนการขุดค้นทางโบราณคดีในโลกความจริง และปัญหาภายในวงการที่คนนอกก็อาจไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่หนังก็ทำออกมาให้ดูง่าย

โปรดักชั่นของหนัง จัดว่าอยู่ในระดับที่สร้างออกมาได้ดีมาก ทั้งที่เอาเข้าจริงแล้ว ฉากเกือบทั้งหมดในเรื่องมากกว่า 90% วนเวียนอยู่ในสถานที่แค่ 2-3 แห่งเท่านั้น แต่การเล่าเรื่องกลับทำให้มันสนุกและน่าติดตามได้อย่างเหลือเชื่อเลย

สำหรับคนที่ไม่รู้พื้นเพและบริบทของประวัติศาสตร์อังกฤษในช่วงก่อนหน้าสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือไม่ค่อยรู้เรื่องความสำคัญของการขุดค้นพบทางโบราณคดีครั้งนี้แล้วกลัวว่าจะดูหนังไม่รู้เรื่อง ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เพราะต้องยอมรับว่าตัวหนังมีศักยภาพสูงในการบอกเล่าให้คนดูทั่วไปเข้าใจได้ง่ายโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน ซึ่งภาพรวมของหนังจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในการขุดค้นพบนี้ ผ่านทางสามตัวละครหลักที่มีตัวตนอยู่จริงๆ ได้แก่

อีดิธ พริตตี้ หญิงม่ายลูกติดหนึ่งคนที่ยังเปี่ยมเสน่ห์ เธอเป็นเจ้าของสถานที่ของซัตตันฮู แต่กลับถูกโรคร้ายรุมเร้าและอาจจะเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ

บาซิล บราวน์ นักขุดค้นพบที่หลงใหลในวิชาโบราณคดีที่ศึกษาศาสตร์ต่างๆด้วยตนเอง แม้ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ แต่สันชาตญาณและความสามารถของเขาก็เป็นที่ยอมรับจากอีดิธ

เพ็กกี้ พิกก็อต (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น มากาเร็ต กุยโด) หญิงสาวหัวกะทิที่เป็นภรรยาของนักโบราณคดีที่ได้โอกาสเข้ามาร่วมขุดค้นครั้งประวัติศาสตร์

ตัวหนังในช่วงแรกจะเล่าในมุมของ อีดิธ และ บาซิล สลับกันไปมา ซึ่งเมื่อดูไปสักระยะจะรู้สึกเหมือนกำลังดูหนังรักดราม่าของชายสูงวัยและหญิงม่ายที่กำลังสนใจกันและกันระหว่างงานขุดค้น ซึ่งถือว่าเป็นความรักต้องห้ามแบบหนึ่ง เพราะบาซิลก็มีภรรยาแล้ว แม้จะไม่มีลูกด้วยกันก็ตาม จากนั้นเรื่องราวจึงเริ่มมาเจอดราม่าที่งานขุดค้นดังกล่าว เมื่องผลของการขุดมันเริ่มใหญ่โตและค้นพบสิ่งสำคัญอย่างคาดไม่ถึง แล้วกลายเป็นว่างานนี้ต้องมาถูกกระทรวงโยธาธิการของอังกฤษเข้ามารับผิดชอบแทน แต่อีดิธก็ยังยืนกรานให้บาซิลได้มีส่วนร่วมในงานขุดต่อไป

พอเข้ากลางเรื่อง เพ็กกี้ ที่เข้ามาร่วมงานขุดค้นก็จะกลายมาเป็นตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่ง ซึ่งเธอก็เป็นหนึ่งในนักโบราณคดีหญิงคนแรกๆ ที่ประสบความสำเร็จในวงการนี้ แต่กลับพบปัญหาชีวิตคู่กับสามีในระหว่างขุดค้นที่เธอได้ค้นพบความลับของสามีบางอย่าง ซึ่งสุดท้ายเธอก็ต้องเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป

จุดเด่นมากๆของหนังมีหลายจุดที่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นงานด้านโปรดักชั่น งานภาพ มุมกล้อง ที่เมื่อเราดูแล้วรู้สึกได้เลยว่านี่คือผลงานที่ทีมสร้างมีความตั้งใจอย่างมากในการสร้างสรรค์ การกำกับ การตัดต่อ และการแสดงของทีมนักแสดงในเรื่องที่เรียกได้ว่าเอาหนังอยู่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีบทดราม่าแรงๆ ไม่มีฉากดราม่าเชือดเฉือนทางอารมณ์มากมายนัก แต่คนดูสามารถรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ในเรื่องที่เต็มไปด้วยความอึดอัด กระอักกระอ่วน ตรงนี้ยังต้องขอชมการแสดงของ ราฟ ฟินน์ และ แครี่ มัลลิแกน โดยเฉพาะราฟ ฟินน์ ที่คนส่วนใหญ่อาจจะติดภาพของเขามาจากบทบาทของลอร์ดโวลเดอร์มอร์จากเรื่อง Harry Potter ซึ่งการแสดงของเขาในเรื่องนี้ทำได้ดีเอามากๆ

ส่วนการเดินเรื่องในครึ่งหลัง ต้องชื่นชมการแสดงของ ลิลลี่ เจมส์ ที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาทางสีหน้า แววตา และนำ้เสียงในการพูดได้อย่างน่าทึ่ง ใบหน้าสวยๆของเธอที่แม้ว่าจะใส่แว่นตาและดูเป็นสาวเนิร์ด ก็ไม่สามารถบดบังเสน่ห์ของเธอได้ เป็นอีกหนึ่งนักแสดงสาวที่เชื่อว่าจะสามารถขึ้นมารับบทใหญ่ๆได้ในอนาคต

นอกจากนี้ยังมีอีกจุดเด่นของเรื่องก็คือ นัยยะแฝงมากมายที่อยู่ในบทพูดของตัวละคร ซึ่งต้องขอชื่นชมทีมเขียนบทที่ทำได้ลุ่มลึกมาก โดยที่ตัวละครไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาตรงๆ แต่คนดูสามารถรับรู้ถึงความเป็นของเรื่องราวและการตัดสินใจต่างๆของตัวละครได้ผ่านนไดอาล็อคที่คลุมเครือเหล่านั้น ต้องขอคารวะเลยครับ

ส่วนจุดด้อยของหนังก็มีอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการตัดต่อและจังหวะเล่าเรื่องของหนังในช่วงท้ายที่อาจจะทำให้คนดูมีช่วงสับสนหรืองงๆ อยู่บ้าง และการที่ตัวหนังทำออกมาเหมือนเพื่อให้คนอังกฤษที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์อยู่บ้างได้ชมกัน อาจจะทำให้คนดูหลายคนไม่ค่อยเข้าใจว่า การค้นพบซากเรือโบราณของชาวแองโกล-แซกซัน มันสำคัญขนาดไหน

สำหรับความสำคัญที่ว่านั้น เป็นเพราะชาวแองโกล-แซกซัน คือบรรพบุรุษดั้งเดิมของชาวอังกฤษ การค้นพบครั้งนี้สำคัญมาก แล้วมันเป็นการล้างความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าชาวแองโกล-แซกซันเป็นพวกป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม แต่มีอารยธรรมขึ้นมาได้เพราะการเข้ามาของพวกโรมัน ซึ่งการค้นพบนี้ล้างความเชื่อดังกล่าวหมด

ในภาพรวมแล้ว นี่คือหนังดราม่าอิงประวัติศาสตร์และเรื่องราวของตัวละคร ทั้งความรักและมิตรภาพ โดยผ่านเหตุการณ์การขุดค้นทางโบราณคดี ซึ่งต้องถือว่าเป็นพลอตหนังที่ไม่เคยมีมาก่อน และผู้สร้างทำได้ยอดเยี่ยม ถือว่าเป็นหนังระดับคุณภาพของ Netflix ที่สมควรได้รางวัลอะไรสักอย่างในปี 2021 นี้เลยครับ แนะนำเลย

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt3661210/fullcredits?ref_=tt_cl_sm#cast

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!