playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Mandalorian SS1-2 ซีรีส์ภาคแยกที่ขยายและเติมเต็มจักรวาลสตาร์วอร์สเพื่อแฟนๆ (ไม่สปอยล์)

  • ss1 - 9/10
    9/10
  • ss2 - 10/10
    10/10

สรุป

ซีรีส์ภาคแยกของสตาร์วอร์สที่สร้างโดยแฟนและเพื่อแฟน การเดินทางของ แมนโด้ นักล่าค่าหัวรับจ้างที่ต้องพาหนูน้อยเบบี้โยดา “โกรกู” หนีการตามล่าของจักรวรรดิ เรื่องราวมีทุกอย่างที่แฟนสตาร์วอร์สคาดหวังและเกินคาดด้วยซ้ำ

Overall
9.5/10
9.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • หยิบตัวละครจากหนังไตรภาค 1-6 มาใช้ได้คุ้มค่า
  • เล่าเรื่องราวของคนชายขอบในหนังสตาร์วอร์สที่ถูกมองข้าม
  • โปรดักชั่นคุณภาพสูง ฉากต่อสู้ดีเยี่ยม อลังการ
  • ตัวละครสร้างมาดีมาก โดยเฉพาะเคมีของแมนโด้และโกรกู
  • มีเซอร์วิสแฟนสตาร์วอร์สเดนตายหลายอย่าง
  • เรื่องราวเป็นการเปิดจักรวาลย่อยของสตาร์วอร์สได้หลายอย่าง
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ซีซันแรกเล่าเรื่องช้าไปหน่อย เป็นการปูบท
  • ไม่ค่อยบอกเล่าที่มาที่ไปของแต่ละฝ่าย ถ้าไม่ใช่แฟนเดนตายจะงงมาก

The Mandalorian Disney+ รีวิว ซีรีส์ภาคแยกของจักรวาลสตาร์วอร์ส ที่บอกเล่าเรื่องราวการผจญภัยของ แมนโด้ นักล่าค่าหัวชื่อดัง ที่จะต้องพา โกรกู (เบบี้โยดา) หนีการตามล่าจากทหารที่ยังเหลือของพวกจักรวรรดิ แล้วพาไปส่งให้ถึงพวกเจไดที่ยังเหลืออยู่

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นการบอกเล่าเรื่องราวที่จับเหตุการณ์ไทม์ไลน์หลังจากสตาร์วอร์สไตรภาค 4-5-6 ซึ่งกำลังเข้าสู่ยุคของการก่อตั้งสาธารณรัฐใหม่ กับกลุ่มจักรวรรดิที่ยังเหลืออยู่ แล้วยังเป็นการเติมเต็มเรื่องราวในช่วงเวลาก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์ในไตรภาค 7-8-9 อีกด้วย

ทั้งนี้สามารถรับชมได้เลยใน Disney+ Hotstar มีทั้งหมด 2 ซีซัน รวมแล้ว 16 ตอนจบ แบ่งเป็นพาร์ทละ 8 ตอน อำนวยการสร้างโดย จอห์น แฟฟโร ผู้กำกับที่เคยสร้างผลงานดังอย่าง The Ironman แล้วยังได้ทีมสร้างอย่าง เดฟ ฟิโลนี่ ผู้เคยมีผลงานอนิเมชั่นซีรีส์ดังอย่าง Star Wars : The Clone Wars รวมถึงทีมงานยอดฝีมืออีกมากมาย นี่จึงเป็นซีรีส์ที่รวบรวมมือสร้างชั้นยอดที่เป็นแฟนสตาร์วอร์สมาสร้างสรรค์ผลงานให้แฟนๆโดยเฉพาะ

 The Mandalorian (2020) on IMDb

ตัวอย่าง The Mandalorian ss1 Trailer

ตัวอย่าง The Mandalorian ss2 Trailer

The Mandalorian เรื่องย่อ

เรื่องราวของ “ดิน จาริน” หรือที่ใครๆเรียกกันว่า “แมนโด้” (นำแสดงโดย เปโดร ปาสคาล) นักรบชาวแมนดาลอเรียน ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์นักรบรับจ้างที่ได้ชื่อว่าเก่งที่สุดในจักรวาล ซึ่งมีเอกลักษณ์สำคัญของเผ่าพันธุ์คือการใส่ชุดหุ้มเกราะเหล็กเบสคาร์ที่แข็งแกร่ง และจะไม่เปิดเผยใบหน้าให้กับผู้ใดได้เห็นจนตลอดชีวิต ซึ่งในช่วงเวลาของเรื่องนั้น ชนเผ่าแมนดาลอเรียน เหลือเพียงน้อยนิดและกำลังระดมทรัพย์สินต่างๆ เพื่อกอบกู้ชนเผ่าจากการทำลายล้างและเลี้ยงชีพ

กระทั่งวันหนึ่ง แมนโด้ ได้เข้าไปรับภารกิจลับจาก คาร์กา นายหน้าของสมาคม ซึ่งได้มอบภารกิจสำคัญที่มีค่าตอบแทนสูงรวมถึงแท่นเหล็กเบสคาร์เพื่อให้เขาได้นำไปชุบเป็นชุดเกราะ ซึ่งภารกิจที่เขาได้รับมานั้นคือการไปนำของบางอย่างกลับมาให้ ซึ่งแมนโด้ก็ได้พบว่าสิ่งนั้นกลับเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่งซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก (คล้ายกับ ปรมาจารย์โยดา) เขามาพบภายหลังว่า ชื่อของมันคือ โกรกู

จากนั้นเขาก็ต้องพาโกรกูกลับมาหาคาร์กาเพื่อส่งต่อไปให้ผู้ว่าจ้างซึ่งเขาพบว่าเป็นคนของจักรวรรดิที่ยังเหลืออยู่ แต่แล้วเขาก็ต้องเลือกว่าระหว่างการเอาผลตอบแทนเพื่อประโยชน์ของเผ่าและตนเอง กับมนุษยธรรมในใจที่จะปกป้องเบบี้โยดาจากผู้ไม่หวังดี เขาจะเลือกอะไร ซึ่งนี่ก็คือเรื่องราวการเดินทางของแมนโด้ นักรบรับจ้างที่เลือกจะปกป้องคุ้มครองโกรกู (หรือที่แฟนๆเรียกกันว่า เบบี้โยดา) และการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มต่างๆ ที่มีเป้าหมายของตนเองในการขึ้นมาช่วงชิงอำนาจ

นี่จึงนับว่าเป็นซีรีส์ที่เข้ามาเติมเต็มโลกของสตาร์วอร์สที่นำเสนอมุมมองของคนนอกสังคมของสตาร์วอร์สภาคหลัก ที่นอกเหนือจากเหล่าเจได จักรวรรดิ กลุ่มต่อต้าน รวมถึงเป็นการสำรวจจักรวาลของสตาร์วอร์สหลังจากไตรภาค 4-5-6 ก่อนจะเข้าสู่ไตรภาค 7-8-9 ว่าในช่องว่าง 30 กว่าปีนั้น มันมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมาบ้าง แล้วส่งผลกระทบอะไรบ้างในจักรวาล

The Mandalorian ss1-2The Mandalorian ss1-2 ตัวละคร

แนะนำ ตัวละครหลักทั้งสองซีซัน

The Mandalorian

แมนโด้ (ดิน จาริน)

นักรบชาวแมนดาลอว์ เป็นเด็กกำพร้าที่เสียพ่อแม่ไปจากสงคราม เขาถูกช่วยชีวิตและเก็บมาเลี้ยงโดยชาวแมนดาลอว์ ยึดถือวิถีของเผ่าเป็นวิถีการใช้ชีวิตมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับภารกิจที่นำไปสู่การพบกับ โกรกู ซึ่งเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะพาเจ้าหนูคนนี้ออกเดินทางหาที่ปลอดภัยให้กับเขา แต่นั่นก็ทำให้เขาต้องกลายเป็นศัตรูกับ มอฟฟ์ กีเดี้ยน นายทหารของพวกจักรวรรดิที่ต้องการตามล่าตัวเจ้าหนูคนนี้ไปทำการทดลองต่อไป

แมนโด้ เป็นนักรบที่เก่งกาจ เชี่ยวชาญการใช้อาวุธหลากหลาย เขายึดถือวิถีเก่าของแมนดาลอว์ยิ่งชีพที่จะไม่ถอดหน้ากากออกมาให้ใครเห็นนอกจากตายแล้วเท่านั้น เขายังมีความผูกพันกับโกรกูมากขึ้นเรื่อยๆในระหว่างเดินทางและเห็นความปลอดภัยของเจ้าหนูคนนี้เป็นสิ่งสำคัญสูงสุด

The Mandalorian

โกรกู

สิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์หายากที่มีพลังแฝงเร้นอยู่ในตัว เป็นเผ่าเดียวกับ ปรมาจารย์โยดาผู้ยิ่งใหญ่ มีอายุ 50 ปีแล้ว แต่ถือว่ายังเป็นเด็กเล็กมากสำหรับเผ่าของเขา ในอดีตเขาเคยได้รับการฝึกพลังเจไดจากวิหารเจได แต่หลังจากเหตุการณ์ในไตรภาค 1-3 ที่ทำให้เจไดล่มสลาย เขาได้ถูกช่วยชีวิตแล้วพาหนีออกมาซ่อนตัวไว้ กระทั่งได้มาเจอกับแมนโด้นั่นเอง โกรกูมีนิสัยอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็ก ชอบกินสิ่งของต่างๆ หลังจากเดินทางกับแมนโด้เป็นเวลานานก็เกิดความผูกพันกันมาก เสมือนว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อของเขา

คาร่า ดูน

อดีตพลทหารหญิงในกองทัพจักรวรรดิ ปัจจุบันมาทำงานอยู่ในสมาพันธ์ เคยรู้จักกับแมนโด้มาก่อน เป็นสาวแกร่งที่มีความสามารถในการต่อสู้และใช้อาวุธ เนื่องจากแมนโด้เข้ามารับภารกิจบางอย่างระหว่างเดินทาง ทั้งสองคนได้บัญเอิญพบกันแล้วคาร่าก็ได้ร่วมทำภารกิจกับแมนโด้ จากนั้นเธอก็ร่วมมือกับเขาอีกหลายครั้งในตลอดซีรีส์

หุ่นดรอยด์ RA-7

ดรอยด์นักล่าที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำภารกิจตามล่าสังหารเป้าหมาย แล้วก็ได้มาเจอกัแมนโด้ แต่ถูกทำลายไป ภายหลังถูกซ่อมกลับมาให้เป็นหุ่นพยาบาลและดูแลปกป้องเด็ก

เฟนเนค

นักรบหญิงที่มีค่าหัว แล้วกลายเป็นเป้าหมายของแมนโด้ในการล่ารางวัล แต่ภายหลังถูกช่วยชีวิตไว้โดย โบบาเฟต ต่อมาก็ได้เข้าร่วมทีมกับ แมนโด้ และ โบบา ในการต่อสู้กับ มอฟฟ์ กีเดี้ยน

โบ-คาตัน ไคร์ซ

ทายาทของพวกแมนดาลอว์ หวังที่จะฟื้นฟูเผ่าพันธุ์ให้กลับคืนมาใหม่ ได้พบกับแมนโด้ในระว่างที่เขาออกเดินทางเพื่อตามหาพวกพ้อง เธอเป็นคนบอกให้แมนโด้รู้ว่าที่จริงแล้วในเผ่าแมนดาลอว์เองก็มีการยึดถือแนวคิดที่แตกต่างกัน และกลุ่มที่เลี้ยงดูแมนโด้มาคือฝ่ายที่ยึดถือแนวทางอนุรักษ์นิยมแบบโบราณของเผ่า

โบบา เฟต

นักรบเผ่าแมนดาลอว์ ทายาทของเจงโก้ ซึ่งเป็นนักรบโคลนที่เคยมีบทบาทสำคัญในกองทัพโคลนจากสงครามในสตาร์วอร์สภาค 2-3 ต่อมาเขาได้รับสืบทอดชุดเกราะแมนดาลอว์จากพ่อ แล้วรับจ้างทำงานให้จักรวรรดิและผู้ว่าจ้าง เป็นตัวละครสำคัญที่เคยออกมามีบทบาทในสตาร์วอร์สภาค 6 และเป็นตัวละครฝ่ายผู้ร้ายไม่กี่ตัวที่แฟนๆชื่นชอบมาก ถ้าจะบอกว่าไอเดียตั้งต้นของซีรีส์แมนดาโลเรี่ยนกำเนิดมาจากตัวเขาเลยก็ว่าได้ หลายคนคิดว่าเขาเสียชีวิตในระหว่างการต่อสู้ แต่ที่จริงเขายังรอดชีวิตมาได้

มอฟฟ์ กีเดี้ยน

อดีตนายทหารของจักรวรรดิ รวบรวมกำลังพลเพื่อฟื้นฟูจักรวรรดิขึ้นใหม่ เขายังมีแผนการบางอย่างที่จำเป็นต่อการเอาตัว โกรกู มาใช้เพื่อการทดลอง เป็นคนเฉลียวฉลาด เจ้าเล่ห์ มักมีแผนการซ้อนไว้หลายชั้น นอกจากเก่งเรื่องการวางแผนแล้วยังเก่งในการปั่นหัวศัตรูด้วย คาดว่าการทดลองของเขานี่เองคือหนึ่งในกระบวนการฟื้นฟูพลังให้กับจักรพรรดิพัลพาทีนในภายหลัง

อโซก้า ทาโน่

นักรบหญิงเจได อดีตพาดาวันของ อนาคิน สกายวอล์คเกอร์ เธอเคยเข้าร่วมในเหตุการณ์สงครามโคลน (มาจากอนิเมชั่นซีรีส์ Clone Wars) ต่อมาในช่วงที่เหล่าเจไดถูกกวาดล้าง เธอได้หลบหนีแล้วออกมาปลีกวิเวกลำพัง เชี่ยวชาญการใช้วิชากระบี่คู่ มีนิสัยรักความยุติธรรมและไม่เกรงกลัวต่อความชั่วร้าย ต่อมาแมนโด้ได้พาโกรกูมาเจอกับเธอแล้วขอให้เธอช่วยฝึกฝนโกรกู แต่เนื่องจากเธอได้เห็นเส้นทางการเข้าสู่ด้านมืดของอนาคินในอดีต เธอจึงไม่อยากที่จะฝึกให้โกรกู แต่แนะนำให้ไปยังซากวิหารเก่าของเจไดแทน

The MandalorianThe Mandalorian รีวิว

ก่อนอื่นต้องบอกว่า นี่คือซีรีส์ที่สร้างมาโดย “แฟนสตาร์วอร์ส และ เพื่อแฟนสตาร์วอร์ส” เนื่องจากตัวของผู้กำกับ จอห์น แฟฟโรว์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นสายเนิร์ด ถึงขั้น Geek คนหนึ่งเลย ซึ่งต้องยอมรับว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้ ทีมสร้างถ่ายทอดในสิ่งที่แฟนสตาร์วอร์สเดนตายทั่วโลกอยากจะเห็นกันมานาน แล้วมันก็ออกมาอย่างยอดเยี่ยม ในภาพรวมแล้วเรื่องนี้ทำได้เหนือกว่าไตรภาค 7-8-9 ที่ผ่านมาด้วยซ้ำ ทั้งในแง่ของการเชื่อมโยงเนื้อหากับสองไตรภาค 1-2-3 และ 4-5-6 ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร ที่มาที่ไป ช่องว่างในเรื่องราวที่ขาดหายไป รวมถึงการขยายเรื่องราวในจักรวาลสตาร์วอร์สที่กว้างใหญ่อยู่แล้วให้กว้างไกลออกไปอีก เพราะที่ผ่านมาทุกภาคของหนังแฟรนไชส์ชุดนี้ จะเน้นบอกเล่าเรื่องราวของตระกูลสกายวอล์คเกอร์และเหล่าเจไดเป็นหลัก ซึ่งมีเพียงแค่หนัง Rouge One เรื่องเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้บอกเล่าเรื่องของสกายวอล์คเกอร์และเจไดเป็นตัวหลัก

ดังนั้นการสร้างซีรีส์แมนดาลอเรี่ยน จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เพราะนี่คือการขยายมุมมองการเล่าเรื่องราวของสตาร์วอร์สให้หลุดออกมาจากกรอบเดิมๆของแฟรนไชส์ แต่ในแง่ของทิศทางในการเล่าเรื่องราวและกลิ่นอายของสตาร์วอร์ส ก็ยังถูกรักษาเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม แม้จะมีการเพิ่มความดิบเถื่อนและความดาร์คเข้ามาบ้างเล็กน้อย แต่ที่ทำได้ดีมากก็คือการเก็บมุกตลก ทั้งแบบตลกจริงๆไปจนถึงตลกร้าย และหนึ่งในส่วนที่เจ๋งที่สุดของซีรีส์นี้ก็คือ การบอกเล่าเรื่องราวของเผ่าพันธุ์ต่างๆในจักรวาล ที่แม้ว่าจะมีปัญหาในเรื่องภาษาและการสื่อสารที่เราคนดูจะฟังไม่ออกว่าหลายตัวละครทั้งเหล่าสิ่งมีชีวิตต่างดาวและหุ่นแอนดรอยน์พูดอะไรกันอยู่ เช่นในไตรภาคแรกคือตัวหุ่น R2D2 ที่ไม่มีบทพูดภาษามนุษย์ พูดเป็นภาษาหุ่นยนต์ที่น่ารักๆ แต่คนดูอย่างเราเมื่อดูไปนานๆ ก็จะเริ่มชินกับแนวทางการสื่อสารแบบนี้ ซึ่งเอาเข้าจริงนี่ก็คือเสน่ห์เฉพาะตัวของสตาร์วอร์สที่สร้างฐานแฟนคลับมายาวนานมากกว่าห้าทศวรรษ

การเล่าเรื่อง ซีซันแรกเน้นปูบท ซีซันสองจัดเต็มให้แฟนๆ

สำหรับเนื้อหาหลัก จะเริ่มเล่าเรื่องราวหลังจากความพินาศของดาวมรณะดวงที่สองในภาค 6 หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้ว สาธารณรัฐใหม่ที่ก่อตั้งขึ้นจากกลุ่มกบฏที่ชนะในสงครามก็ได้เริ่มก่อตั้งและจัดระเบียบใหม่ แต่ในขณะเดียวกันกลุ่มจักรวรรดิที่พ่ายแพ้ก็ยังหลงเหลืออำนาจอิทธิพลอยู่ในหลายส่วนของกาแลกซี และมุ่งหวังที่จะฟื้นฟูอำนาจกลับมา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีกลุ่มคนชายขอบที่สตาร์วอร์สภาคหลักไม่ได้บอกเล่า เช่น พวกดินแดนรอบนอก ชาวไร่ชาวนาทั่วไปในดาวต่างๆ กลุมพ่อค้า ทหารรับจ้าง โจรสลัด แล้วยังมีการเล่นกับประเด็นชนกลุ่มน้อย หรือสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ใกล้จะสูญพันธุ์แล้วพยายามดิ้นรนหาทางรอด ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้เองที่หนังภาคหลักไม่เคยนำเสนอมาก่อน ดังนั้นสถานการณ์ในซีรีส์จึงเป็นการบอกเล่าเรื่องของความขัดแย้งในกลุ่มต่างๆ ที่เข้ามาปะทะกันภายใต้ผลประโยชน์เฉพาะหน้าของแต่ละกลุ่ม ซึ่งมันไม่มีคำว่าขาวดำ ถูกหรือผิด ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวรอย่างชัดเจน เมื่อผลประโยชน์ร่วมกันลงตัวก็สามารถเจรจาต่อรองหรือร่วมมือกันได้ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดซีรีส์นี้

อีกจุดหนึ่งที่ซีรีส์ทำได้ดีอย่างคาดไม่ถึงก็คือ การบอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองความคิดและสายตาของคนหลายกลุ่ม แม้แต่ทหารของฝ่ายจักรวรรดิที่เป็นพวกตัวร้ายในหนังภาคหลัก ที่จริงแล้วพวกเขาเองก็มีความคิด วิถีชีวิต มีครอบครัว และมีเหตุผลที่ต้องต่อสู้เหมือนกัน อย่างเช่นบทของ เมย์เฟลด์ ซึ่งเราจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้จากหนังภาคหลักเลย

แต่จุดด้อยก็ใช่ว่าจะไม่มี โดยเฉพาะในซีซันแรก ที่เน้นหนักเรื่องการ ปูบท แนะนำตัวละคร แนะนำภาพรวมของโลกและสังคมในจักรวาลหลังการล่มสลายของจักรวรรดิ ว่าภาพรวมแล้วมันเกิดอะไรขึ้น แต่ตัวซีรีส์ก็จะไม่ได้บอกเล่าให้คนดูได้รู้แบบโต้งๆหรือชัดเจนมากนัก เราต้องซึมซับเอาเองผ่านการบอกเล่าของตัวละครต่างๆ ที่ตัวเอกอย่างแมนโด้ได้พูดคุยหรือหาข้อมูลด้วย ไม่ว่าจจะมาจากในบาร์ พ่อค้า นายทหาร และอื่นๆ ตรงนี้เลยได้อารมณ์เหมือนเรากำลังเล่นเกม RPG เป็นตัวแมนโด้ที่ต้องคอยหาข้อมูลข่าวสารในระหว่างเดินทาง และหากต้องการอะไรก็จะต้องรับงานทำเควสต์ย่อยต่างๆ เพื่อเอาของรางวัลที่ได้ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลหรือสิ่งของที่จำเป็นในการเดินทางต่อ บางทีก็จะรู้สึกเหมือนตัวเอกแวะรับภารกิจทำเควสย่อยที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเส้นเรื่องหลักเลยแม้แต่น้อย แต่ที่จริงแล้วเกือบทุกภารกิจที่แมนโด้รับทำในเรื่องนี้มักจะส่งผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ในเส้นเรื่องหลัก ตรงนี้ต้องขอชมทีมงานเขียนบทเลย แต่สำหรับผู้ชมที่อยากดูตัวละครเข้าจัดการในเส้นเรื่องหลัก ก็อาจจะรู้สึกไม่ชอบใจและคิดว่ามันดูออกทะเลไปสักหน่อย

สำหรับซีซันแรก ภาพรวมการเดินเรื่องมีจังหวะค่อนข้างช้า อีกทั้งการเดินเรื่องของสองตัวละครหลักอย่าง แมนโด้ และโกรกู ที่ให้เรารับชมโดยไม่ได้มีไดอาล็อคหรือบทพูดอะไร อีกทั้งเนื้อหาบางตอนในซีซันแรกก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักเท่าไหร่นัก แต่เข้าใจได้ว่าเพราะต้องการเปิดตัวละครต่างๆ ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในซีรีส์ ถึงอย่างนั้นการแนะนำตัวละครในเรื่องนี้ก็อาจจะทำให้หลายคนที่ไม่ได้เป็นแฟนสตาร์วอร์สมาแต่แรก “รู้สึกงง” เช่นเดียวกับการแบ่งกลุ่มต่างๆ ในเรื่อง ที่แทบจะไม่ได้เล่าที่มาที่ไปของแต่ละกลุ่มให้ชัดเจนประหนึ่งว่าคนดูเรื่องนี้รู้เรื่องของกลุ่มต่างๆ กันอยู่แล้ว ดังนั้นคนที่ดูเรื่องนี้ควรเป็นแฟนสตาร์วอร์สมาก่อน ตรงนี้เลยเป็นจุดด้อยสำคัญของซีรีส์เรื่องนี้

นอกจากนี้ทีมสร้างยังดูเหมือนชอบใช้แนวทางแบบ ซามูไรพ่อลูกอ่อน + คาวบอยอวกาศ แถมในตอนที่สี่ของซีซันแรกยังเอาพลอตแบบ 7 Samurai ของอากิระ คุโรซาวะ เข้ามาใช้อีก ตรงนี้ถ้าเป็นคนที่ชอบหนังซามูไร หนังญี่ปุ่น หนังคาวบอย และหนังผจญภัยอวกาศยุคเก่าๆ คงจะรู้สึกชอบแน่นอน แต่ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบแนวทางนี้ก็อาจจะรู้สึกว่าหนังมันต้องการสื่ออะไรกันแน่ ซึ่งอาจจะทำให้มันกลายเป็นความไม่ชอบไปได้ แต่ที่จริงแล้วมันคือการคารวะพลอตหนังเก่าเหล่านี้โดย จอห์น แฟฟโร ผู้กำกับและทีมสร้างที่มีความเนิร์ดสูงนั่นเอง

ส่วนในซีซันสอง การเดินเรื่องจะปรับจังหวะให้กระชับขึ้น เข้าสู่เนื้อหาหลักมากขึ้น อาจเพราะซีซันแรกได้ปูบทของตัวละครรองๆ ไปเกือบหมดแล้ว ถึงแม้ว่าซีซันสองจะมีอยู่ 3-4 ตอนที่ดูไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อหาหลักเลย เช่นตอนที่แมนโด้ต้องรับภารกิจพาผู้โดยสารคนหนึ่งติดยานมาด้วยเพื่อไปส่งที่ท่าเรืออีกแห่ง แล้วเขาเจออุบัติเหตุต้องไปติดแหงกอยู่ในดาวหิมะ แต่ตอนนี้ก็เป็นการนำเสนอให้เห็นสภาพโดยรวมในการดำรงชีวิตและดิ้นรนเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิตในหลากหลายเผ่าพันธุ์ของจักรวาลสตาร์วอร์ส ซึ่งเป็นการสำรวจลงลึกที่ไม่เคยมีมาก่อนในแฟรนไชส์นี้ แล้วยังเป็นการแนะนำให้เราเห็นผ่านสายตาแมนโด้ว่าคนของสาธารณรัฐใหม่กับเจ้าเหล่าหน้าที่ของทางการซึ่งเริ่มมีบทบาทในซีรีส์นั้น ก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับอดีตคนของจักรวรรดิอย่างเขาไปซะหมด เรียกว่าเป็นการเขียนบทให้แมนโด้ได้มีโอกาสพบปะผู้คนที่หลากหลายและได้มีมุมมองแง่บวกต่อสาธารณรัฐใหม่มากขึ้นด้วย

ในซีซันสองยังมีการเอาตัวละครสำคัญในหนังไตรภาคหลักและในอนิเมชั่นซีรีส์กลับมามีบทอย่างเซอร์ไพร์สถึงสามคน ซึ่งก็จะเป็นการเตรียมปูทางไปยังซีรีส์เรื่องใหม่หลังจากนี้ด้วย ถือว่าเป็นการเซอร์วิสแฟนเดนตายของแฟรนไชส์นี้อย่างเต็มที่ ตรงนี้ต้องขอคารวะให้แฟฟโรและเดฟ กับทีมสร้างทั้งหมดเลย

จอห์น แฟฟโร ผู้อำนวยการสร้าง The Mandalorian ซึ่งเคยทำให้ The Ironman ดังเปรี้ยงมาแล้ว 

การใช้เทคโนโลยีใหม่ในการถ่ายทำ

ด้านโปรดักชั่น เทคโนโลยีด้าน CG อาจกล่าวได้ว่านี่คือจุดเด่นของซีรีส์เรื่องนี้ ทั้งเรื่องจะมีฉากต่อสู้ ไล่ล่า การใช้อาวุธปืนแสง ฉากต่อสู้ประชิดตัว การใช้กลยุทธ์ ให้เราได้ดูกันแบบจุใจตลอดเรื่อง แล้วที่น่าจะทำให้แฟนๆ เดนตายร้องว้าวคือฉากต่อสู้ด้วยไลท์เซเบอร์ของเจได แต่กว่าจะได้เห็นก็ต้องรอถึงตอน 5 ในซีซันสอง ที่อโซก้าออกมามีบทบาท ซึ่งนี่เองคือส่วนที่ผู้รีวิวชอบมากๆ อีกจุด นั่นคือการที่ผู้สร้างกล้าหยิบเอาตัวละครยอดฮิตในอดีตอย่าง อโซก้า ซึ่งเป็นตัวเอกในการ์ตูนสตาร์วอร์ส ภาค Clone Wars ออกมาโลดแล่นในแบบคนแสดงอย่างเป็นทางการ แล้วยังเป็นการตอบคำถามแฟนการ์ตูนชุดนั้นด้วยว่าตัวละครนี้หายไปไหน แถมบทของตัวละครนี้น่าจะสามารถขยายออกไปได้อีกเยอะมากหลังจากนี้ ถ้าจะมีการสร้างภาคแยกออกมา

ซีรีส์เรื่องนี้ยังมีการนำเอาเทคโนโลยีด้าน Virtual CG กราฟฟิกแบบใหม่เข้ามาใช้การสร้าง ซึ่งมีข้อดีคือเป็นการช่วยลดต้นทุนและเวลาในการทำงาน จุดเด่นอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีนี้ก็คือการจำลองภาพสถานที่จริงมาใช้ในการเป็นแบ็กกราวน์ เช่น การใช้เกาะ The Angel Island มาใช้เป็นแบกกราวน์หลักในบางตอน ซึ่งด้วยเทคโนนี้สามารถทำให้ฉากหลังมีความกลมกลืนเข้ากับตัวนักแสดงที่เข้าฉากได้เมื่อกล้องต้องมีการแพนออกไป รวมถึงแสงจากการใช้ CG แบบเรียลไทม์ที่จะเนียนเข้ากับฉากหลังและซัพพอร์ตสำหรับ LED Screen

แต่เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่ในการถ่ายทำหนัง จึงอาจจะดูมีความหลอกตาไปบ้าง แต่ในภาพรวมแล้วนี่เป็นเทคโนโลยีที่ดีและน่าจะใช้เป็นเสาหลักในการพัฒนาด้าน CG หลังจากนี้ และส่งผลต่อภาพยนตร์และซีรีส์ของฮอลลีวูดอีกจำนวนมากที่น่าจะเริ่มนำมาใช้กันมากขึ้น ซึ่งตามที่มีสัมภาษณ์ของทีมสร้าง ตัวแฟฟโรได้รับอิทธิพลมาจากงานคลาสสิกของสปีลเบิร์ก เช่น Jurassic Park อีกทั้งทีมสร้างบางคนในซีรีส์เรื่องนี้ก็เคยร่วมงานกับสปีลเบิร์กในด้าน CG กราฟฟิกมาก่อนด้วย

จากภาพเป็นการถ่ายทำจอฉายภาพโค้งในแบบเรียลไทม์

แต่จุดด้อยก็มีอยู่บ้างในแง่ของงานสร้าง คือเกือบทั้งหมดของซีรีส์เรื่องนี้ใช้โลเกชั่นค่อนข้างซ้ำซ้อน ซึ่งเข้าใจว่าเพื่อประหยัดงบประมาณในการถ่ายทำที่มุ่งใช้สตูดิโอเป็นหลัก ซึ่งเราจะพบว่าในซีซันแรกเน้นฉากหลักเป็นทะเลทรายไปกว่าครึ่งเรื่อง จะมีฉากเป็นป่าและการต่อสู้ในยานอวกาศสลับไปบ้าง ส่วนในซีซันสองก็ยังคงใช้วนกลับมาใช้ฉากทะเลทรายอยู่เหมือนเดิม แต่จะมีฉากดาวหิมะและการต่อสู้ในป้อมปราการและในยานอวกาศสลับเพิ่มเติม แทบจะไม่มีฉากยานบินสู้รบกันเท่าไหร่ ตรงนี้ถ้าเป็นแฟนสตาร์วอร์สที่คาดหวังฉากยานสู้รบกันในอวกาศอาจจะผิดหวังเล็กน้อย

คลิปตัวอย่างการใช้เทคโนโลยีใหม่ในการถ่ายทำ

ตัวละคร การแสดง แคสติ้ง

ต้องเข้าใจว่าแต่ไหนแต่ไรมา ทีมนักแสดงในหนังสตาร์วอร์สทั้งสามไตรภาค มักถูกวิจารณ์ในแง่ของการแสดงมาตลอดอยู่แล้ว หากไม่นับบรรดานักแสดงขายฝีมือและนักแสดงรุ่นเก๋าในช่วงเวลาของหลังเหล่านั้น เช่น การได้แฮริสัน ฟอร์ด มารับบทเป็นฮานโซโล ที่ทำได้ดีเกินคาด หรือ การได้เลียม นีสัน มารับบท ไควกอน จิน ที่แทบจะเป็นการฟื้นอาชีพการแสดงของเขาและผันบทให้เขาไปสู่สายแอ็คชั่นเต็มตัวในเวลาต่อมา หรือ นาตาลี พอร์ทแมน ที่เรียกว่าแจ้งเกิดเลยในบท แพ็ดเม่

แต่สำหรับบทนักแสดงจำนวนมากในแฟรนไชส์หนังชุดนี้ค่อนข้างถูกวิจารณ์ว่าแสดงได้แข็ง แต่จะโทษพวกเขาทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องของ บทพูด ไดอาล็อค และอื่นๆ ที่ทำให้นักแสดงหลายคนไม่สามารถใช้พลังการแสดงออกมาได้มากไปกว่าการทำหน้านิ่งๆหรือพูดบทแข็งๆเชยๆ ตัวอย่างหนึ่งที่เคยถูกวิจารณ์มากคือ ยวน แมคเกรเกอร์ ที่รับบท โอบีวัน เคโนบี ซึ่งในหนังภาค 1 เขาถูกวิจารณ์หนักว่าแสดงได้แข็งทื่อ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะบทพูดของโอบีวันในภาคนั้นแทบจะไม่มีอะไรเลยนอกจากการตอบรับคำกับอาจารย์ของเขา

ดังนั้นในแง่ของการแสดง ถ้าเป็นแฟนสตาร์วอร์สดั้งเดิมก็จะพอเข้าใจและทำใจกันระดับหนึ่ง เพราะตัวบทและไดอาล็อคของเรื่องมันมีลักษณะบังคับเอาไว้ แล้วนี่ก็คือประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งในซีรีส์แมนดาลอเรียน เพราะตัวเอกอย่าง แมนโด้ ที่แสดงโดย เปโดร ปาสคาล ที่มีผลงานการแสดงมากมาย (Game of Throne, Narcos, The Mentalist ฯลฯ) เป็นบทที่จำเป็นต้องใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าตลอดเวลา แล้วนั่นก็ทำให้เขาไม่สามารถใช้การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางได้เลย เต็มที่สุดๆ ที่เขาทำได้ก็คือ “การแสดงผ่านน้ำเสียงและคำพูด” กับการทำท่าทางประกอบเท่านั้นเอง ดังนั้นในแง่ของซีรีส์ที่ต้องใช้พลังการสื่ออารมณ์ของนักแสดงเพื่อดึงดูดผู้ชม เรื่องนี้อาจจะทำได้ไม่ดีนัก

แต่จุดหนึ่งที่ทีมสร้างและนักแสดงได้รวมพลังกันสร้างสรรค์ออกมาอย่างยอดเยี่ยมคือการที่พวกเขาสามารถสร้าง “เคมี” ระหว่างตัวละครออกมาได้ทั้งที่เราแทบจะไม่ได้เห็นหน้าตาตัวเอกนี่ละ แต่คนดูสามารถที่จะอินไปกับเคมีระหว่างตัวละครที่ซีรีส์ได้พัฒนาขึ้นมาตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะเคมีระหว่าง แมนโด้และโกรกู หรือความเข้ากันในฐานะคู่หู ระหว่าง แมนโด้-คาร่า และ โบบา-เฟนเนค ที่สำคัญคือ มันไม่มีบทพูดด้วยภาษามนุษย์เลยแม้แต่คำเดียวระหว่าง แมนโด้-โกรกู แต่ซีรีส์กลับทำให้เรารับรู้ได้ถึงความผูกพันฉันท์ “พ่อ-ลูก” ระหว่างทั้งสองคนที่แตกต่างกันทางด้านสายพันธุ์นี้ได้

สำหรับในส่วนของการออกแบบตัวละคร ต้องยอมรับว่า “โกรกู” หรือเบบี้โยดา คือหนึ่งในการออกแบบที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของหนังสตาร์วอร์สและโลกฮอลลีวูด เรียกว่าระดับเดียวกับหุ่นอาร์ทูเลยก็ว่าได้ ตัวละครนี้สามารถขยายเรื่องราวออกไปได้อีก และคาดหวังว่าจะได้กลับมามีบทอีกบ้างในซีซันสาม ถึงแม้จะไม่ได้เป็นตัวหลักแล้วก็ตามที

ส่วนตัวร้ายอย่าง มอฟฟ์ กีเดี้ยน ถือว่าค่อนข้างเซอร์ไพร์สเอามากๆ ที่ทีมสร้างสามารถเอานักแสดงขายฝีมือที่เคยสร้างผลงานจนตราตรึงคนดูมาแล้วอย่าง จิอันคาโล เอสโปซิโต้ ที่เคยรับบท “กัส” ในเรื่อง Breaking Bad ซีรีส์ระดับมาสเตอร์พีซของวงการ ให้ได้มารับบทเป็นตัวร้ายหลักของทั้งสองซีซันนี้ แล้วเขาก็ยังทำได้ดีมากตามมาตรฐาน แถมเจ้าตัวดูเหมือนจะชอบใจกับบทนี้เอาซะด้วย แล้วก็คาดว่าเขาจะได้กลับมาบทสำคัญอีกในอนาคตหลังจากนี้

สปอยตอนจบซีซันสอง

สิ่งที่เซอร์ไพร์สที่สุดเห็นจะเป็นการเอา ลุค สกายวอล์คเกอร์ กลับมาบทสำคัญในการเป็นตัวละครปิดเรื่องราวของซีซันสอง แถมทีมสร้างทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆในฉากเปิดตัวลุค ที่ใช้วิธีให้เราเห็นตัวเขาจากกล้องวงจรปิด แล้วได้เห็นเขาแสดงพลังเจไดที่เป็นระดับปรมาจารย์สุดไร้เทียมทานในการไล่ถล่มเหล่าศัตรูมาเรื่อยๆ ซึ่งฉากเปิดตัวของเขาจะคล้ายกับฉากของดาร์ค เวเดอร์ ที่ออกมาปิดเรื่องในหนัง Rouge One ตรงนี้น่าจะเป็นความตั้งใจของทีมสร้าง

ซึ่งจากตอนจบ โกรกู ก็จะได้เข้ารับการฝึกเป็นพาดาวันของลุคอย่างเต็มตัว ดังนั้นเราอาจจะไม่ได้เห็นตัวละครนี้กลับมามีบทเป็นตัวหลักอีกในซีซันต่อไป แต่อาจจะมีบทออกมาเล็กๆน้อยๆพอให้หายคิดถึง

ส่วนหลัง End Credit จะมีการปูทางไปสู่ซีรีส์เรื่องใหม่คือ The Book of Boba ซึ่งโบบาเฟตและเฟนเนคจะกลายเป็นตัวเอกของเรื่อง

สรุปในภาพรวมแล้ว นี่คือซีรีส์ภาคแยกของจักรวาลสตาร์วอร์ส ที่เป็นมากกว่าภาคแยก แต่มันได้สร้างเรื่องราวสดใหม่ที่อาศัยตัวละครจากในไตรภาคหลัก 1-6 ออกมาต่อยอด แล้วก็ทำได้ดีอย่างมาก ดีเสียยิ่งกว่าหนังไตรภาคล่าสุด 7-9 ด้วยซ้ำ ซึ่งได้แต่หวังว่าในซีซันสาม จะยังสามารถทำได้ดีเช่นนี้ หรือสามารถเอาเรื่องราวและตัวละครในซีรีส์นี้ต่อยอดสร้างออกมาเป็นเรื่องอื่นๆ ต่อไปได้อีกมากในอนาคตครับ

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt8111088/

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!