playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Van Helsing Netflix ซีซั่น 1-3 แวนเฮลซิ่ง นักล่าแวมไพร์ พล็อตและไอเดียดี แต่บทยืดเยื้อ

  • คะแนนซีซั่น 1 - 6/10
    6/10
  • คะแนนซีซั่น 2 - 7.5/10
    7.5/10
  • คะแนนซีซั่น 3 - 7/10
    7/10

สรุป

ซีซั่น 1 คะแนน 6/10 ไอเดียดี ฉีกแนว แต่เรื่องยืดเยื้อ ดราม่าน่ารำคาญมาก ตัวละครรองๆไม่น่าติดตาม

ซีซั่น 2 คะแนน 7.5/10 ขยายสเกลเรื่อง นางเอกลดความดราม่าไปเยอะ ตัวละครรองบทดีเกือบทุกคน ตัวร้ายโรคจิตดี

ซีซั่น 3 คะแนน 7/10 เดินเรื่องมาดี ไอเดียดี แต่ทุกอย่างพังหมดเพราะตอนจบ

Overall
6.8/10
6.8/10
Sending
User Review
4.33 (3 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • พล็อตและไอเดียดีมากกับแนวล่าผีดิบทั่วไป
  • ตัวเอกและตัวรองแสดงได้ดีมาก น่าติดตาม แต่ต้องรอถึงซีซันสองขึ้นไป
  • คนชอบเรื่องแนว Walking Dead ดูได้เลย

Cons

  • บทในซีซันแรกค่อนข้างแย่ กว่าจะเริ่มดีคือตอนท้าย
  • มีจุดดราม่าไม่จำเป็นประปราย
  • ตอนจบซีซัน 3 เลวร้าย ต้องรอดูว่าซีซัน 4 จะแก้ตัวได้ไหม

Van Helsing ss1-3 Netflix รีวิว สปอยล์ แวนเฮลซิ่ง นักล่าแวมไพร์ ซีรีส์ฝรั่ง สไตล์ดิสโทเปีย โลกถูกแวมไพร์ยึดครอง แอ็กชั่นดราม่าปนสยองขวัญแนว Walking Dead

เป็นซีรีส์แนวดิสโทเปียที่มีวัตุดิบดี เป็นเรื่องแรกๆ ที่เอาแวนเฮลซิ่งเป็นผู้หญิง แล้วทำคาแรคเตอร์ของตัวเอกกับตัวรองหลายคนได้น่าเอาใจช่วย เส้นเรื่องหลักดี ไอเดียดีหลายอย่าง แต่การเล่าเรื่องค่อนข้างยืดเยื้อ ดราม่าแบบไม่จำเป็นเยอะจนน่าเสียดาย

 Van Helsing (2016) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย iMDB

ตัวอย่าง Van Helsing Netflix

 

Van Helsing เรื่องย่อ

เล่าเรื่องราวในโลกที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน เมื่อภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ที่ส่งผลให้เกิดละอองฝุ่นขนาดหนาทึบบดบังแสงอาทิตย์ จากนั้นเหล่าแวมไพร์ที่แอบซ่อนอยู่ในสังคมมนุษย์ได้ออกมาอาละวาดกัดและดูดกินเลือดมนุษย์ จนคนที่ถูกกัดส่งเชื้อต่อแล้วกลายเป็นแวมไพร์ผีดิบกันต่ออย่างรวดเร็ว โลกจึงเข้าสู่กลียุคที่ประชากรส่วนหนึ่งกลายเป็นผีดิบ ขณะเดียวกันความเจริญและอารยธรรมในโลกก็พังทลายลงไปด้วย ในที่สุดโลกก็ถูกยึดครองโดยเหล่าแวมไพร์

ห้าปีต่อมา หญิงสาวคนหนึ่งคือ วาเนสซ่า ได้ลืมตาตื่นขึ้นในห้องพยาบาลแห่งหนึ่ง เธอถูกเฝ้าอารักขาจากทหารนาวิกโยธินคนหนึ่งที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้าดูแลเธอเป็นภารกิจหลัก แม้ว่าสังคมโลกจะเข้าสู่การล่มสลายแล้วก็ตาม ส่วนวาเนสซ่าก็พบว่าเธอไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป เมื่อเหล่าผีดิบมากัดเธอ เลือดของเธอกลับทำให้พวกมันกลับคืนสู่การเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง แล้วเธอยังมีความสามารถในการต่อสู้และพละกำลังกับการฟื้นตัวที่รวดเร็วผิดธรรมดาอีกด้วย

วาเนสซ่า ต้องออกค้นหาดีแลน ลูกสาวของเธอที่ไม่ได้พบกันนานห้าปี ระหว่างนั้นก็ได้ร่วมทางกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่แต่ละคนก็มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแตกต่างกันไปอย่างคาดไม่ถึง จนในที่สุดวาเนสซ่าก็ได้พบกับดีมีทรี หัวหน้าของแวมไพร์ที่มีอายุมานานหลายร้อยปี ได้เปิดเผยว่า ที่จริงแล้ววาเนสซ่าก็คือสายเลือดของ เอบราฮัม แวนเฮลซิ่ง นักล่าแวมไพร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกผู้ที่เคยต่อสู้กับเคาน์ดราคูล่ามาแล้วในอดีต

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นการออกเดินทางค้นหาความลับของสายเลือดแวนเฮลซิ่ง ความลับของแวมไพร์ และปริศนาดำมืดต่างๆท่ามกลางโลกที่ถูกเหล่าแวมไพร์ยึดครองไปแล้ว

 

Van Helsing ss1-3 ตัวละคร

วาเนสซ่า แวนเฮลซิ่ง

ตัวละครเอกของเรื่อง เดิมเป็นตำรวจที่อาศัยอยู่กับลูกแบบแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่เกิดเหตุการณ์ก่อนวันผีดิบยึดโลกนิดเดียวที่ตัวเธอโดนผีดิบกัดจนตาย ปรากฏว่าศพของเธอถูกนำมาตรวจอบในห้องชันสูตรแห่งหนึ่งกลับพบสิ่งผิดปกติเมื่อเธอยังไม่ตายแต่อยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทรา จากนั้นร่างของเธอก็อยู่ในการดูแลของนาวิกโยธินหน่วยหนึ่งที่เข้ามารับช่วงในวันที่ผีดิบเริ่มยึดโลกพอดี ทำให้วาเนสซ่านอนหลับยาวแบบนั้นอยู่ห้าปี จึงได้ตื่นขึ้นเมื่อผีดิบบุกเข้ามาในโรงพยาบาลที่เธอนอนอยู่ แล้วตอนนี้เองที่ได้พบว่า เลือดของเธอมีความพิเศษกว่าคนทั่วไป แถมมันยังเป็นของแสลงสำหรับพวกแวมไพร์ทุกตนด้วย เรียกได้ว่าเธอคือกุญแจสำคัญที่อาจจะทำให้มนุษยชาติล้างพันธุ์แวมไพร์ให้หมดไปเลยก็ได้

ซึ่งแท้จริงแล้ว เธอคือทายาทของ เอบราฮัม แวนเฮลซิ่ง นักล่าแวมไพร์ที่เคยเปิดศึกกับดราคูล่ามาก่อนนั่นเอง

ในระหว่างสามซีซัน วาเนสซ่าก็จะได้พบกับตัวละครต่างๆ ที่เป็นทั้งมิตร ศัตรู ไปจนถึงบางตัวละครที่มีเบื้องหลังว่าแท้จริงคือฝ่ายไหนกันแน่

วาเนสซ่า สการ์เล็ต แอ็กเซล สามตัวละครหลักที่แบกซีรีส์เรื่องนี้

Van Helsing ss1-3 สนุกไหม

เอาเป็นว่า วาเนสซ่า คือตัวแบกเรื่องให้น่าดูพอสมควรเลยครับ ต่อมาจึงมีตัวละครที่ชวนให้ลุ้นขึ้นมาเพิ่มอีกบางคน สำหรับแนวทางของเรื่อง เสมือนกับเป็นการเอา Walking Dead มายำรวมกับแนวพลังพิเศษแบบ X-Men

แต่มันออกมาไม่ได้สนุกเท่าไรนัก แม้ว่าจุดเด่นมันก็มีอยู่ แถมเป็นความพยายามฉีกแนวจากเรื่องโลกพินาศ ดิสโทเปีย สู้กับซอมบี้ เปลี่ยนมาเป็นผีดิบแทน แถมยังนำเสนอคาแรคเตอร์วาเนสซ่าได้ดีระดับหนึ่ง รวมถึงตัวละครรองๆที่น่าสนใจเช่น แอ็กเซล สการ์เล็ต จูเลียส โมฮัมหมัด รวมถึงการสร้างตัวร้ายสไตล์โรคจิตแบบ แซม ขึ้นมาได้ แต่ซีรีส์กลับมีความยืดยาดในการเดินเรื่อง แทนที่จะโฟกัสในส่วนที่น่าสนุก กลับไปเล่นประเด็นดราม่าบางอย่างที่น่ารำคาญ แถมในช่วงครึ่งแรกของซีซันแรกคือตอน 1-6 ช่วงที่ติดในโรงพยาบาล เป็นพาร์ทที่ดราม่าตัวละครเข้าขั้นแย่ครับ ตัวละครรองๆที่ถูกฆ่าในช่วงแรกไม่มีใครน่าจดจำ ไม่มีความอินหรือน่าสงสารอะไรเลย

กว่าเรื่องจะมาสนุกจริงๆคือตอนท้ายของซีซันแรก ที่เริ่มเฉลยปริศนาพลังของนางเอก ส่วนเรื่องสายเลือดของ เอบราฮัม แวนเฮลซิ่ง จากในตำนานดราคูล่าต้นฉบับในนิยายของ บราห์ม สโตรกเกอร์ ก็ไม่ได้ดูลึกลับอะไร คนดูเดาออกอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ถ้าเปรียบเทียบกับซีรีส์ Dracula ตอนที่เฉลยว่า แม่ชีอกาธา คือ แวนเฮลซิ่ง ยังชวนตะลึงกว่าอีก แถมไม่ได้ใช้เวลาปูเรื่องนานขนาดเรื่องนี้ด้วย

ช่วงสนุกต่อมาคือในซีซันสอง ตั้งแต่เปิดตัว สการ์เล็ต ซึ่งถือว่าเป็นน้องสาวของนางเอกเรา เป็นตัวละครที่เชื่อได้เลยว่าเปิดตัวคนชอบเยอะ แถมยังมีเคมีกับนายทหารนาวิกอย่างแอ็กเซลแรงมาก อีกตัวละครคือจูเลียส ที่ตอนแรกเปิดตัวมาเป็นหนึ่งในกลุ่มแวมไพร์ตัวร้าย แต่หลังจากกลายเป็นมนุษย์แล้วมาเป็นฝั่งนางเอก ก็เป็นตัวละครที่น่าเชียร์มาก รวมถึงการสร้างปมให้กับตัวร้ายสายโรคจิตที่ค่อยๆพัฒนามาเป็นระดับบอสอย่างแซม ก็ทำได้ดี

ในซีซันสาม สเกลเรื่องก็ขยายขึ้น เริ่มไปเจาะเรื่องราวฝั่งแวมไพร์มากขึ้น รวมถึงหนทางปราบพวกแวมไพร์ แต่ตอนจบของซีซันสามกลับทำได้เลวร้ายมาก เอาเป็นว่าตอนจบซีซันสองของ Titans แย่แค่ไหน เรื่องนี้ก็พอกันเลยครับ ที่สำคัญคือตัดบทตัวละครตัวหนึ่งที่คนดูชอบออกไป แต่กลับเก็บตัวละครที่คนดูอยากให้ตายไปซะทีเอาไว้

ฉากแอ็กชั่น ก็ตามสไตล์ซีรีส์แนวนี้ คือทุนเยอะก็ทำได้เยอะ ทุนน้อยก็ทำเท่าที่มี ในด้านนี้ไม่ได้แย่อะไร แต่อาจจะมีแปร่งๆ อยู่บ้าง

ส่วนไอเดียที่เอาสายเลือดแวนเฮลซิ่ง เป็นผู้หญิง ไม่ใช่ไอเดียใหม่ แต่ถือว่านี่เป็นเรื่องแรกที่เอาไอเดียที่ว่ามาทำลงซีรีส์อย่างจริงจัง

Van Helsing ss1-3 สรุปในภาพรวมแล้ว ถ้าคุณชอบเรื่องแนวดิสโทเปียที่โลกล่มสลาย ผสมกับแนวเรื่องปราบผีดิบ นี่เป็นเรื่องที่แนะนำได้ ถ้าคุณชอบเรื่องแนว นางเอกเป็นผู้หญิงแกร่ง เก่ง สวย ก็ดูได้เช่นกัน

แต่ในแง่ความสนุก มีปัญหาพอสมควร เพราะหลายตอนเรื่องชอบโฟกัสเส้นเรื่องที่ไม่สนุกแทนที่จะเน้นๆในส่วนสำคัญ ซึ่งจริงๆเนื้อเรื่องหลักก็น่าดูอยู่แล้ว อีกจุดคือ ซีซันสามที่ทำมาได้โอเคอยู่กับพังทลายลงเพราะตอนจบ

เอาเป็นว่าต้องรอดูใน ซีซัน 4 ที่กำลังจะเข้าว่าจะสามารถแก้ตัวจากจุดนี้ได้แค่ไหนครับ

 

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt5197820/?ref_=ttfc_fc_tt

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!