playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ Control Z SS1-2 ลบล้างรีเซ็ทความลับดำมืดของวัยรุ่นไฮสคูล (ไม่สปอยล์)

  • คะแนน SS1 - 7/10
    7/10
  • คะแนน SS2 - 7/10
    7/10

สรุป

รีวิว SS1 ตัวเรื่องมีความแปลกใหม่พอสมควร ชื่อเรื่องก็ตั้งได้เก๋ดี มีปมโยงเข้ากับเนื้อหาหลักได้อย่างน่าสนใจ การเดินเรื่องฉับไว มีการชิงไหวพริบของนางเอกกับคนร้ายที่น่าติดตาม แต่สิ่งที่มาทำให้เรื่องเสียไปคือ ช่วงใบ้กลางเรื่องที่บอกใบ้เยอะเกินไป แถมยังเฉลยไวแบบหมดเปลือกง่ายๆ จนทำให้ตอนจบของเรื่องไม่พีคเท่าไหร่ แถมยังตัดจบทิ้งเรื่องให้คนดูคิดเอาเองมากเกินไป

รีวิว SS2 ซีรีส์ยกระดับความรุนแรงของเรื่องราวขึ้นไปมาก กลายเป็นอาชญากรรมที่ทำให้เหยื่อถึงตายได้ โดยมีปมบูลลี่ในโรงเรียนต่อเนื่องจากซีซั่นแรกที่มีดราม่าลงลึกกว่าเดิมมาก แต่ตัวเรื่องก็ตั้งใจใส่ปมรองลากยาวไปต่อซีซั่น 3 แบบจงใจไปหน่อย โดยตอนจบซีซั่นพยายามหักลำไปในทิศทางใหม่จนทำให้ทั้งตัวละครกับเนื้อเรื่องดูไม่เมคเซนส์

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
4.83 (6 votes)

Pros

  • สกิลอนุมานบอกเล่าชีวิตผู้คนของนางเอกที่โอเวอร์มาก
  • การชิงไหวพริบของนางเอกกับคนร้าย
  • ปมบูลลี่ในโรงเรียนที่ร้ายแรง
  • การก่ออาชญากรรมไซเบอร์ผ่านโซเชียลมีเดีย
  • ฉาก SEX แบบเปิดเผยเยอะ
  • ตัวละครในเรื่องหน้าตาดีแทบทุกคน

Cons

  • ช่วงกลางเรื่อง SS1 เป็นต้นไปเรื่องทั้งบอกใบ้ทั้งเฉลยมากเกินจนหมดลุ้น
  • ความรักของนางเอกเกิดขึ้นไวจนไม่น่าเชื่อถือ
  • จบแบบตัดจบค้างๆ คาๆ ทั้งสองซีซั่น
  • เรื่องตั้งใจให้เห็นคนร้ายทำอะไรได้เว่อร์เกินจริงไปนิดๆ
  • นางเอกหน้าตาดูโทรมๆ แก่เกินวัย

 

Control Z (Netflix) ซีรีส์สืบสวนวัยรุ่นความยาว 8 ตอน ตอนละประมาณ 30 นาที เรื่องราวของสาววัยรุ่นที่มีปมจิตเวช แต่มีความสามารถวิเคราะห์คาดเดาบอกเล่าชีวิตผู้คนได้เหมือนตาเห็น เธอต้องมาไขคดีแฮกเกอร์ลึกลับที่เปิดเผยความลับนักเรียนทั้งโรงเรียนจนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต

 Control Z (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Control Z (Netflix)

รีวิว Control Z SS1

บทความไม่มีสปอยล์เนื้อหาจุดหักมุมสำคัญของเรื่อง

Control Z ชื่อเรื่องนี้คือความหมายเดียวกับ คำสั่งของคอมพิวเตอร์ CTRL + Z คือการยกเลิกการทำงานครั้งล่าสุด ซึ่งในเรื่องเชื่อมโยงถึงเรื่องราวของแฮ็กเกอร์ที่ปล่อยความลับของนักเรียนไฮสคูลจนเกิดความอลหม่านในโรงเรียนแห่งนี้ จนกลายเป็นเหมือนการรีเซ็ททุกอย่างใหม่หมด

เรื่องเริ่มขึ้นจาก “โซเฟีย” สาวผู้มีนิสัยช่างสังเกตุผู้คน และก็มีความสามารถ “อนุมาน” เชื่อมโยงคาดคะเนเหตุผลประกอบเข้ากัน จนสามารถบอกเล่าเรื่องราวของคนๆ นั้นได้เหมือนตาเห็น แต่ความสามารถนี้เองทำให้คนอื่นในโรงเรียนไม่มีใครคบเธอเป็นเพื่อน แต่เมื่อเธอได้พบกับ “ฆาบิเอร์” นักเรียนใหม่ที่พึ่งย้ายเข้ามาและได้ร่วมกันสืบสวนหาตัวแฮ็กเกอร์ที่เปิดเผยความลับของนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงก่อเกิดขึ้น ท่ามกลางความวุ่นวายในโรงเรียนที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ

ซีรีส์สัญชาติ Mexico เรื่องนี้ให้อารมณ์ของเรื่องคล้ายพวกหนังฆาตกรรมวัยรุ่นที่ต้องตามหาคนร้ายในโรงเรียน เพียงแต่ไม่ใช่การฆ่าคน แต่เป็นการแฉความลับที่น่าอายผ่านโซเชียลมีเดีย จนทำให้เหยื่ออาจจะตายทั้งเป็นได้ และก็ใช้ความลับบังคับบงการนักเรียนในโรงเรียนให้ทำตามที่ต้องการ โดยไม่ได้มีจุดประสงค์อะไรแน่ชัด ซึ่งก็เป็นปมของเรื่องที่ให้เราติดตามว่าคนร้ายคือใคร และแรงจูงใจคืออะไร ไปพร้อมกับนางเอกที่มีสกิลอนุมานขั้นสุดยอดยิ่งกว่านักสืบซะอีก

ตัวเรื่องเปิดมาถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว มีความน่าติดตามแปลกใหม่ของอาชญากรรมไซเบอร์ที่คนร้ายก่อผ่านโซเชียลมีเดีย จากการแฮ็กข้อมูลผ่านระบบไวไฟของโรงเรียน พร้อมตั้งแอคเคาท์ทวิตเตอร์ไว้แฉทุกคนในโรงเรียน ทางด้านนางเอกก็โชว์สกิลความสามารถที่เว่อร์สุดๆ กันตั้งแต่แรก และก็เป็นความสามารถที่ถูกใช้ในการเดินเรื่องไปข้างหน้าตลอดเวลา ตัวเรื่องให้นางเอกตามรอยคนร้ายได้อย่างน่าทึ่งผ่านเพื่อนที่ตกเป็นเหยื่อทีละคนๆ ไม่เว้นแม้แต่นางเอก และก็เดินเรื่องชีวิตของตัวละครในเรื่องให้เห็นผลกระทบของความลับที่ถูกเปิดเผยขึ้นมาได้อย่างน่าติดตาม 

เรื่องเน้นส่วนของดราม่าผลกระทบของเหยื่อแต่ละคนเยอะ ผ่านการบูลลี่กลั่นแกล้งกันหลังรู้ว่าแต่ละคนปกปิดอะไรไว้ ตัวความลับที่ถูกเปิดเผยมีหลายอย่าง แต่เรื่องโฟกัสไปที่การปกปิดรสนิยมทางเพศของตัวละครช่วงวัยรุ่น ซึ่งก็นำเสนอออกมาตลอดเรื่องได้ดีเลยทีเดียว มีทั้งในมุมของคนบูลลี่และความรู้สึกหลังตกเป็นเหยื่อเอง และความรู้สึกของเหยื่อที่ถูกกระทำหลังถูกเปิดเผยทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกอะไรในยุคนี้แล้ว ตัวเรื่องโฟกัสกับประเด็นนี้เยอะแบบตั้งใจทำให้เห็นว่าในต่างประเทศเรื่องแบบนี้ก็ยังตกเป็นหัวข้อที่เด็กถูกบูลลี่ในโรงเรียนมากที่สุด ซึ่งไม่ใช่แค่ความอับอายที่เหยื่อได้รับ แต่ตัวเรื่องใช้ประเด็นตรงนี้ผลักดันเรื่องราวผูกปมตัวละครคนกลั่นแกล้งกับเหยื่อเข้าด้วยกัน จนกลายเป็นโศกนาฎกรรมที่ขยายเรื่องให้ใหญ่โตในท้ายที่สุด

จุดเด่นของเรื่องตรงการชิงไหวพริบกันระหว่างนางเอกกับคนร้าย ช่วงแรกถือว่าน่าติดตามมาก มีเบาะแสใหม่ที่นางเอกตามรอยและตอบโต้กันผ่านแชทส่วนตัว ตัวหนังแทบไม่เผยให้รู้เลยว่าใครกันแน่ที่พอจะเป็นคนร้ายได้ แต่พอเรื่องเดินถึงตอน 4 เหมือนเรื่องต้องการโชว์เหนือแบบพวกหนังฆาตกรโรคจิต ด้วยการเปิดตัวแบบใส่หน้ากาก แล้วก็ทำอะไรได้เว่อร์กว่าปกติหลายอย่าง จนคนดูต้องคิดเลยว่าคนร้ายทำได้ยังไงในเมื่อนี่ไม่ใช่หนังที่มีอะไรเหนือธรรมชาติแน่ๆ ซึ่งถ้าใครดูพวกหนังฆาตกรรมสยองขวัญวัยรุ่นมานี่ก็จะเริ่มเอะใจแล้วว่าเป็นใคร ตัวเรื่องหลังจากนี้ไปก็เหมือนจะขี้เกียจเล่นแนวเรื่องชิงไหวพริบแบบช่วงแรกแล้ว หนังจึงเริ่มใบ้หลายอย่างมาให้คนดูเดาได้แบบแทบจะบอกกันโต้งๆ เลยว่าเป็นใคร และก็ไม่รีรอที่จะเฉลยไปเลยในตอนต่อมาอย่างง่ายๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะเฉลยออกมาทำไมในขณะที่เรื่องยังสามารถปกปิดส่วนนี้ไว้ได้ พร้อมกับย้อนไปเล่าที่มาแรงจูงใจคนร้ายเต็มๆ 1 ตอน ซึ่งก็โอเคสมเหตุผลอยู่ แต่กลับไม่น่าติดตามสักเท่าไหร่เพราะเรื่องถูกเปลือยหมดเปลือกจนเกินไป ไม่เหลืออะไรไว้ให้คนเดาได้อีกเลย ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงตอนสุดท้ายเสียด้วยซ้ำ ทำให้ตอนที่ 8 สุดท้ายของซีซั่นนี้หมดความน่าสนใจไปแทบทั้งหมด มีแค่ช่วงท้ายก่อนจบของเรื่องเท่านั้นที่มีอะไรให้ลุ้น แต่ก็ไม่ได้ถือว่ามากมายอะไร แล้วก็ตัดจบไปแบบไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ เป็นการจบแบบเผื่อว่าจะไม่ได้ทำต่อก็จบลงตรงนี้ได้เลย ซึ่งดูง่ายเกินและก็ไม่ได้มีให้ลุ้นทิ้งท้ายเลยว่าเรื่องราวจะไปต่อยังไงด้วยถ้ามีทำต่อ (จริงๆ ถ้ามีอีกสัก 1 ตอนน่าจะจบเรื่องแบบสมบูรณ์ได้เลยไม่ต้องมีซีซั่น 2 ก็ได้)

ตัวละครในเรื่องนี้ทุกคนหน้าตาดีกว่านางเอกหมด

อีกส่วนที่ไม่ค่อยเมคเซนส์แปลกๆ ตลอดเรื่องคือ ความรักของนางเอกที่ตัวเธอพึ่งออกจากโรงพยาบาลจิตเวชมา หน้าตาท่าทางก็ดูโทรมๆ แต่กลับมีหนุ่มหล่อมาหลงรัก 2 คน มีบทให้แย่งนางเอกจนดูเหมือนเธอเสน่ห์แรงสุดๆ แถมเดินเรื่องไปแปบเดียวรักกันแล้ว แม้หนังฝรั่งมักจะไวก็เถอะ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างไวแบบไม่มีเหตุผลเกินไปหน่อย อีกทั้งตัวละครสองหนุ่มที่มารักก็มีปัญหาส่วนตัวกันทั้งคู่ ตัวนางเอกที่มองคนเก่งกลับอ่านพวกนี้ไม่ออกแล้วไว้ใจจนรักได้ง่ายๆ จนดูขัดแย้งกับการเดินเรื่องหลักอยู่ตลอดเวลา

ก็ถือว่าตัวเรื่องมีความแปลกใหม่ในแนวทางซีรีส์วัยรุ่น Netflix พอสมควร ตั้งแต่ชื่อเรื่องเก๋ๆ มีปมนัยยะโยงเข้ากับเนื้อหาของเรื่องได้อย่างน่าสนใจ การเดินเรื่องฉับไว มีการชิงไหวพริบของนางเอกกับคนร้ายที่น่าติดตาม แต่สิ่งที่มาทำให้เรื่องเสียไปคือ ช่วงใบ้กลางเรื่องที่บอกใบ้เยอะเกินไป แถมยังเฉลยไวแบบหมดเปลือกง่ายๆ จนทำให้ตอนจบของเรื่องไม่พีคเท่าไหร่ แถมยังจบแบบตัดจบทิ้งเรื่องให้คนดูคิดเอาเองมากเกินไป จนดูไม่น่าติดตามต่อในซีซั่น 2 นัก

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

รีวิว Control Z SS2

เรื่องราวในซีซั่นนี้ขึ้นเรื่องใหม่หมด ช่วงเวลาต่อจากตอนจบ SS1 สองเดือน หลังเปิดเทอมใหม่ทุกคนกลับมาเรียนพร้อมไว้อาลัยให้ลุยส์ แต่คนร้ายปริศนาก็ปรากฎตัวออกมาให้ทุกคนในโรงเรียนหาตัวเฆร์ริที่หนีไปให้เจอ พร้อมทั้งส่งวิดีโอถึงโซเฟียให้เห็นถึงเหยื่อรายต่อๆ ไปในโรงเรียน ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่แค่การแฉหรือแฮ็กล้วงความลับ แต่ถึงขั้นเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

ซีซั่นสองยกระดับความรุนแรงมากขึ้น อาชญากรรมที่คนร้ายในซีซั่นนี้ก่อคือถึงตายได้เลยทั้งนั้น อย่างการจับคนไปฝังทั้งเป็น การจุดไฟเผาบ้าน วางยา ทำให้ตัวเรื่องดูสนุกน่าตื่นเต้นขึ้นกว่าซีซั่นแรกที่ไปแนวแฮ็กเกอร์ล้วนๆ อีกทั้งซีซั่นนี้ตัวคนร้ายถูกซ่อนไว้แบบไม่มีใบ้ ไม่มีการเฉลยก่อนเหมือนซีซั่นแรก คนดูจึงต้องลุ้นไปจนถึงตอนสุดท้ายของเรื่องเลย ซึ่งจุดนี้ซีซั่นสองถือว่าทำได้ดีขึ้นมาก และยังเอาคนร้ายอย่างราอุลในซีซั่นแรกกลับมาเป็นมิตรกับนางเอก กลายเป็นแท็คทีมความสามารถแฮ็กเกอร์บวกสกิลวิเคราะห์ของนางเอกด้วย ทำให้เรื่องดูหลากหลายมากกว่าเดิม โดยมีเรื่องรักสามเส้ากลับมาพัวพันเหมือนซีซั่นแรก แต่การใช้สกิลของนางเอกในซีซั่นนี้น้อยลงเยอะ เหมือนคนสร้างไม่ต้องการโฟกัสให้เด่นมากจนเหมือนนางเอกเก่งเกินไป ในขณะที่คนร้ายซีซั่นนี้เก่งกว่าเดิมมาก ซึ่งพอเฉลยว่าเป็นใครก็รู้สึกดูโอเว่อร์เกินจริงไปอยู่บ้าง

อีกจุดที่เรื่องทำได้ดีมากคือการหยิบเอาปมบูลลี่ในโรงเรียนของลุยส์จากซีซั่นแรกมาขยี้ต่อให้มีที่มาที่ไปลึกขึ้น ซึ่งเป็นทั้งแรงจูงใจในการก่อคดีของคนร้ายใหม่ รวมถึงเป็นดราม่าระหว่าง เฆร์ริ ที่เปิดเผยมาแพลมๆ ตั้งแต่ซีซัานแรกว่าเขาเป็นเกย์แอบ ซึ่งชนวนเหตุของเรื่องราวรันทดที่เกิดขึ้นกับลุยส์ก็มาจากตรงนี้เอง ซึ่งเฆร์ริรับบทหนักของหนุ่มซื่อๆ ที่เก็บกดความเป็นเกย์ไว้เพราะพ่อรังเกียจได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังต้องแบกรับความรู้สึกผิดที่ทำให้ลุยส์ตายโดยไม่เจตนาไว้ตลอดเวลาอีกด้วย ทำให้คนดูรู้สึกสงสารเห็นใจตัวละครนี้ได้จริงๆ แม้จะไม่ใช่ตัวเอกนำเรื่องก็ตามที

แต่ตัวเรื่องมีปัญหาหลักอย่างหนึ่งคือการพยายามวางเนื้อเรื่องรองไว้เพื่อทิ้งปมไปต่อซีซั่น 3 แบบจงใจไปหน่อย โดยเป็นเรื่องของนาตาเลียที่ลากยาวมาตั้งแต่ซีซั่นแรกว่าทำยาเสพติดหายจนพ่อค้ายาตามล่าตัว ซึ่งการแทรกมาแบบไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักเลย ทำให้ส่วนนี้ดูเป็นดราม่าโดดออกมาแบบแปลกๆ แม้เรื่องราวจะไม่ถึงกับแย่หรือดูไม่สนุก แต่พอวางไว้แบบนี้แล้วตอนจบของซีซั่น 2 ก็ยังไม่เคลียร์เพื่อเอาปมนี้ไปต่อซีซั่น 3 เลยทำให้เรื่องดูค้างๆ คาๆ แบบไม่ลงตัว แถมยังตัดจบแบบหักลำเนื้อเรื่องเกินไป โดยให้ตัวละครหลายตัวตอนท้ายทำอะไรแบบไม่เมคเซนส์ จนทำให้ตอนจบของเรื่องดูดรอปลงไปทันที

ถือว่าซีรีส์ก็ยังคงเส้นคงวากับแนวทางของตัวเองอยู่เหมือนเดิม อาจจะสนุกขึ้นมากกับระดับอาชญากรรมท่คนร้ายก่อขึ้น ซึ่งถ้าใครชอบซีซั่นแรกแล้วก็ดูต่อได้เลยครับ

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!