playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Midnight Sky เรื่องราวที่โดดเดี่ยวอ้างว้างทั้งผืนโลกและอวกาศ (ไม่มีสปอยล์)

The Midnight Sky

สรุป

หนังดูล้มเหลวทั้งรายได้และคำวิจารณ์จากผู้ชมในโรง แต่สำหรับการมาลงสตรีมมิ่งแบบไม่ได้คาดหวังมาก ถือว่าเรื่องโอเคเลยกับแนวดราม่าไซไฟอวกาศ ที่ไม่ได้เน้นความตื่นตาตื่นใจ แต่ลงลึกถึงเรื่องราวการใช้ชีวิตของมนุษย์ในช่วงเวลาสุดท้ายของโลกที่ถึงจุดจบแล้ว

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
1 (2 votes)

Pros

  • ฉากโปรดักชั่นของยานอวกาศสมจริง
  • การกลับมาของจอร์จ คลูนี่ย์ เล่นเองกำกับเอง
  • เด็กสาวปริศนาในเรื่องที่ไม่มีบทพูด แต่น่ารักและมีเสน่ห์กับเรื่องมาก

 

 

Cons

  • การเดินเรื่องแบบเรียบๆ เน้นดราม่าชีวิตมนุษย์มาก จนเกือบจะเป็นแนวปรัชญาที่ทำให้คนดูเบื่อได้
  • ไม่มีการอธิบายหายนะโลกที่เกิดขึ้นให้คนดูเข้าใจในรายละเอียดจนทำให้ไม่อินกับแกนเรื่องส่วนนี้

 

The Midnight Sky ชื่อไทย สัญญาณสงัด หนังแนวไซไฟเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์ผู้โดดเดี่ยวคนเดียวบนผืนโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ เขาต้องทำภารกิจติดต่อกับยานสำรวจอวกาศลำหนึ่งที่กำลังกลับมายังโลกให้สำเร็จ เพื่อแจ้งข่าวร้ายของโลกแก่พวกเขา
 The Midnight Sky (2020) on IMDb

ตัวอย่าง The Midnight Sky สัญญาณสงัด

หนังสร้างจากนิยายชื่อ Good Morning, Midnight  และลงโรงแบบจำกัดเมื่อต้นเดือนธันวาคม ทำเงินไป 75,615 เหรียญ จากทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญ ขาดทุนย่อยยับ ก่อนที่ Netflix จะซื้อมาลงในระบบทันที ซึ่งคะแนนของทั้งนักวิจารณ์จากสื่อและผู้ชมถือว่าย่ำแย่มาก ราวๆ 50% จากเว็บไซต์ https://www.rottentomatoes.com/m/the_midnight_sky ซึ่งอาจจะเป็นความคาดหวังของคนตีตั๋วดูโรงเสียเงินซะเป็นส่วนใหญ่  แต่จากที่ดูใน Netflix ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นเลย และในบางมุมที่คนชอบแนวดราม่าสะท้อนชีวิตมนุษย์ก็อาจจะโดนใจเลยก็ได้

หนังสร้างและกำกับรวมถึงนำแสดงเองโดย “จอร์จ คลูนี่ย์” กับการเปิดเรื่องราวมาก็คือโลกถึงหายนะแล้วในอนาคต ผู้คนต้องลงไปอยู่ชั้นใต้ดิน แต่ “ออกัสตีน” นักวิทย์ศาสตร์สูงวัยกลับเลือกอยู่บนผิวโลกต่อไป โดยอาศัยอยู่ในหอวิทยุที่ส่งสัญญาณออกสู่ห้วงอวกาศเพื่อติดต่อกับยานสำรวจลำหนึ่งที่กำลังกลับมาจากดวงจันทร์ K-23 ของดาวพฤหัสบดี ซึ่งภารกิจของยานลำนี้คือการไปสำรวจเพื่อตอบสมมุติฐานของออกัสตีนที่ชี้ว่า ดาวดวงนี้มนุษย์สามารถไปอยู่อาศัยได้ แต่กลับไร้สัญญาณตอบรับกลับมาจากยาน ท่ามกลางความโดดเดี่ยวในสถานีเขากลับพบเด็กหญิงคนหนึ่งที่พูดไม่ได้ และต้องการความช่วยเหลือจากเขาอยู่

เด็กน้อยในเรื่องแม้ไม่มีบทพูด แต่ความน่ารักนี่กินขาดจนทำให้เรื่องดูมีหัวใจอบอุ่นขึ้นมาก

หนังเดินเรื่องด้วยการพยายามติดต่อสื่อสารของออกัสตีนไปยังห้วงอวกาศเพื่อแจ้งข่าวร้ายกับอีกฝ่ายที่ยังไม่ทราบเรื่องโลกถึงหายนะ ซึ่งเรื่องจะแบ่งเป็นสองด้านในสถานีของออกัสตีนที่มีเด็กสาวปริศนาพ่วงมาด้วยอีกคน กับอีกด้านคือทีมลูกเรือในยานอวกาศ ตัวเรื่องจะตัดฉากสลับไปมาอยู่ตลอดเวลาโดยทั้งสองฝ่ายก็พยายามติดต่อหากัน แต่สัญญาณไม่อาจจะเชื่อมถึงกันได้ง่ายๆ โดยมีอุปสรรคกันทั้งสองฝ่ายแตกต่างกัน อย่างของออกัสตีนคือ ตัวเขาเองก็ป่วยเป็นโรคร้ายต้องถ่ายเลือดอยู่บ่อยๆ เพื่อยืดชีวิตออกไปเรื่อยๆ แถมยังมาเจอเด็กสาวที่ถูกทิ้งไว้ที่แห่งนี้ ทำให้เขาที่ไม่เคยมีครอบครัวต้องพยายามเลี้ยงดูเด็กคนนี้ จนทำให้เกิดเป็นความรักผูกพันในเวลาต่อมา ซึ่งส่วนนี้เองจะมีแฟลชแบ็คกลับไปยังวัยหนุ่มของเขาด้วยตั้งแต่การค้นพบดาว K-23 และมุ่งมั่นหาทางสำรวจมันจนทำให้ละเลยความสัมพันธ์กับแฟนสาวกับชีวิตด้านอื่นของตัวเองไปจนหมดสิ้น ซึ่งดราม่าส่วนนี้เองที่ผูกโยงกลับมาทำให้ช่วงเวลาตอนนี้ของออกัสตีนเหมือนได้กลับมาชีวิตด้านอื่นนอกจากงานอีกครั้ง และก็ทำให้เขาได้ค้นพบว่าความสวยงามของชีวิตมนุษย์แท้จริงคืออะไรกันแน่ ซึ่งหนังค่อนข้างต้องใช้การตีความทำความเข้าใจในส่วนนี้สักหน่อย เพราะตัวเรื่องซ่อนปมสำคัญไว้ที่จุดนี้ด้วยในตอนจบ

อีกด้านคือเรื่องราวในยานอวกาศที่ออกแบบมาแนวยานเดินทางไกล สามารถใช้ชีวิตในนั้นได้ยาวนาน และเป็นทีมสำรวจดาวดวงใหม่เพื่อให้มนุษย์ไปตั้งรกราก และกำลังเดินทางกลับมาโดยไม่รู้ว่าคนบนโลกไม่เหลืออยู่แล้วแม้แต่นาซ่า ทำให้ลูกเรือในยานไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลก แต่คิดว่าปัญหาน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของฝั่งตัวเอง ตัวเรื่องฝั่งนี้จะค่อยๆ ให้เห็นว่าชีวิตที่มีความหวังของแต่ละคนเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมารู้ภายหลังว่าโลกที่กำลังกลับมานั้นไม่สามารถอาศัยได้อยู่อีกต่อไปแล้ว ซึ่งก็กลายมาเป็นดราม่าเมื่อชีวิตสิ้นหวัง ก่อนที่ตอนจบแต่ละคนจะตัดสินใจแตกต่างกันออกไป และก็มีดราม่าบางส่วนที่เชื่อมกลับมายังเรื่องราวของออกัสตีนบนโลกอีกครั้ง

แทบทั้งเรื่องทั้งสองฝั่งถูกเล่าออกมาแบบเรียบๆ ไม่ค่อยมีเหตุการณ์อะไรตื่นเต้นนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าส่วนนี้จะขาดหายไปเลย เพราะเรื่องก็มีฉากตื่นเต้นให้ลุ้นกันคนละครั้งใหญ่ๆ ของออกัสตีนจะเป็นฉากที่ต้องลุยฝ่าพายุขั้วโลกไปยังฐานแห่งใหม่ ซึ่งระหว่างทางนี้เองที่แทบคร่าชีวิตของเขากับเด็กสาวปริศนาไป ส่วนบนยานอวกาศก็จะมีฉากที่เจอกับเศษอุกาบาตพุ่งชน จนทำให้ลูกเรือได้รับบาดเจ็บ และตามมาด้วยการโชว์วิชวลเอฟเฟ็กต์เลือดลอยในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง ซึ่งถือว่าสมจริงและตื่นเต้นที่สุดในหนังแล้ว แต่หนังก็ไม่ได้ต้องการขายจุดนี้นัก เพราะมาแค่ฉากสั้นๆ ก่อนจะตัดข้ามจบเรื่องราวส่วนนี้ไปเลย ทำให้เรื่องดูราบเรียบไปหน่อยกับโครงเรื่องหายนะโลกแบบนี้ ไปเน้นปูดราม่าชีวิตของตัวละครมากกว่า ซึ่งถ้าคนไม่ชอบก็คงหลับได้เลย แต่ถ้าใครชอบแนวดราม่าชีวิตหน่อยก็คงดูเพลินๆ ได้ ยืนยันว่าเรื่องไม่ได้แย่ แต่แค่ไม่ได้หวือหวาอย่างที่ควรจะเป็นกับหนังฟอร์มใหญ่ทุนสร้างสูงแบบนี้เท่านั้นครับ ซึ่งพอไม่ต้องตีตั๋วไปดูก็เลยทำให้รู้สึกว่าไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย จนทำให้รู้สึกโอเคกับเรื่องนี้ที่หลายๆ อย่างดูดีกว่าหนัง Netflix ทำเองเยอะครับ

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!