playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Orbital Children อนิเมะทุนสูงที่ก้าวล้ำสู่อวกาศในแบบกันดัมผสมเอวาเกเลี่ยน

สรุป

เนื้อเรื่องเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ และความนึกคิดของเอไอที่ทำออกมาได้อย่างดี เนื้อหาไม่รุนแรง เด็กสามารถดูและสนุกได้ ภาพที่สวยเทียบเท่าหนังโรง ในช่วงตอนที่ 1-6 ของซีรีส์ เนื้อเรื่องจบภายในเรื่อง ไม่ค้างคาที่จะต้องรอต่อซีซั่น 2 แต่ถ้าใครไม่ชอบคิดตามเนื้อเรื่องตลอดเวลาก็แนะนำให้ผ่านเรื่องนี้ไป

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
4 (2 votes)

Pros

  • งานภาพสวยอลังการ
  • เนื้อเรื่องดีชวนคิด
  • จัดเต็มเนื้อหาในแต่ละตอน
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ตัวละครบางคนน่ารำคาญมาก
  • ถ้าใครไม่ชอบเนื้อเรื่องแนวพูดคุยจะดูไม่สนุก
  • เนื้อหาพูดไวมาก

The Orbital Children เด็กอวกาศ ผลงานอนิเมะทุนสูงจาก Netflix Original ได้ผู้กำกับมือโปรด้านแอนิเมชั่น มิซึโอะ อิโซะ ที่ผ่านแนวไซไฟอวกาศมาหลายเรื่องเช่น Cowboy Bepop, Ghost in Shell, Mobile Suit Gundam และ Neon genesis Evagelion มาเป็นผู้กำกับและเขียนบทให้กับเรื่องนี้ ซึ่งภายในซีรีส์เรื่องนี้มีกลิ่นอายของความเป็นกันดั้ม และเนื้อหาที่ลึกซึ้งชวนเข้าใจยากที่เป็นเสน่ห์ของเอวาเกเลี่ยน ผู้ชมที่เคยดูทั้งสองเรื่องนี้บอกเลยว่าไม่ควรมองข้ามเนื้อหาภายในเรื่องเป็นอย่างยิ่ง

 The Orbital Children (2022) on IMDb

รับชมตัวอย่างของ The Orbital Children เด็กอวกาศ

เรื่องย่อ

ในปี 2045 ยุคแห่งอนาคต เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ ได้ไปไกลเหนือกว่าที่จะจินตนาการได้ การสร้างอาณานิคมบนดวงจันทร์ สถานีอวกาศสุดอลังการ เรื่องราวของเด็กหนุ่มและสาวน้อยผู้ที่เกิดบนดวงจันทร์ที่ถูกปลูกถ่ายอิมแพลนต์เข้าสู่ร่างกาย และกลุ่มเด็กผู้ถูกรับเลือกเข้าสู่สถานีอวกาศจากโครงการ “Deegle” พวกเขากำลังเผชิญกับวิกฤตดาวหางพุ่งชนสถานี ไร้ซึ่งที่หนี ไร้คนช่วย พวกเขาจะเอาชีวิตรอดกันเช่นไร นอกจากนี้ดาวหางยังมีความเกี่ยวข้องผู้ก่อการร้าย “จอห์น โด” ผู้ที่ทำตามความประสงค์ของ “บทกวีแห่งเซเว่น”

รีวิว The Orbital Children เด็กอวกาศ

เรื่องจะพาผู้ชมไปสู่โลกแห่งอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้าที่มนุษย์สามารถใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ตนเองได้แล้ว โลกที่ใครก็สามารถไปอวกาศได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน ตัวเรื่องจะพาเราไปรู้จักกับ โทยะ เด็กหนุ่มที่เกิดขึ้นบนดวงจันทร์ ผู้ซึ่งเชื่อว่าเอไอจะพาไปสู่อนาคตที่ดีขึ้น และ ไทโย สายสืบจากยูเอ็นทู ผู้เชื่อว่าเอไอจะพามนุษย์สู่จุดจบ พวกเขาทั้งสองมีเป้าหมายที่ต่างกันจึงทำให้ช่วงแรกเป็นการถกเถียงกันระหว่างเด็กสองคนที่มีความเชื่อต่างกัน ซึ่งถ้าใครดูแล้วจะบอกได้เลยว่า นี้มัน อามูโร่ กับ ชาร์ ชัด ๆ ที่คอยซัดกันไปมาจนเหมือนจะเป็นพ้อยหลักของเรื่อง แต่มันไม่ใช่ นี้เป็นซีรีส์ปรัชญาชีวิตกับปัญญาประดิษฐ์ ที่มีธีมเสริมเป็นการเอาชีวิตรอดบนสถานีอวกาศ ในช่วงต้นของเรื่องก็เหมือนหนังเอาชีวิตรอดธรรมดา ๆ เรื่องหนึ่ง มีการหยอดปมเรื่อย ๆ อย่าง เซเว่นคืออะไร? ทำไมโทยะถึงเกลียดโลก? และมีการโชว์เทคโนโลยีสมัยใหม่ ๆ ในการเอาชีวิตรอด ยกตัวอย่างเช่น เสื้อคุมโอนิโคล่สุดไฮเทคที่มีออกซิเจนอยู่ภายในเสื้อ และสามารถเดินออกนอกอวกาศได้ (ล้อเสื้อ Uniqlo) การใช้มือเป็นเครื่องมือสื่อสารหรือโทรศัพท์ได้ ซึ่งมีความเป็นมินิมอลมาก เมื่อนำประกอบกับเหตุการณ์อากาศรั่วเข้าภายในยาน และบอกค่าความดันและความกดอากาศ ทำให้ดูมีความสมจริงมาก จึงรู้เลยว่าผู้สร้างต้องไปศึกษาพวกนี้มาอย่างดี ถึงแม้จะมีเกินจริงไปบ้างอย่างเช่น เสียงที่ได้ยินในอวกาศ โดยปกติแล้วในอวกาศจะไม่มีตัวกลางทำให้เสียงผ่านได้ แต่เรื่องนี้กลับมี อาจจะให้ผู้ชมมีอารมณ์จากเสียง นอกจากนี้มันก็มีฉากฮา ๆ ขำ ๆ ให้เห็นเยอะในช่วงแรก ดูแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายดี และอยากดูต่อ

พอเข้าสู่กลางเรื่อง การเอาชีวิตรอดเริ่มเป็นเรื่องรอง และเน้นชีวประวัติของเหล่าตัวละครมากขึ้นเริ่ม เช่น เหตุผลที่ โทยะ เกลียดโลกมาก และต้องการที่จะอยู่บนอวกาศตลอดไป เมื่อซีรีส์เฉลยออกมา จะทำให้ผู้ชมเข้าใจตัวเอกมากขึ้น และเห็นใจตัวละครเหล่านี้ ซึ่งนอกจากนี้จะมีฉากตลก ชิว ๆ  ทำให้โทนหนังที่ดูมีความสบาย ๆ ไม่เครียดเหมือนซีรีส์เอาชีวิตรอดเรื่องอื่น ๆ เราจะได้เห็นความตลกที่คิดแบบเด็ก ๆ โดยเฉพาะ มินะ สาวน้อยทูบเบอร์อวกาศ (ล้อเลียน Youtube) ที่มีผู้ติดตามหลักแสน เป็นตัวละครที่น่ารำคาญและแสบที่สุดในเรื่อง เพราะเธอพูดไม่ดูสถานการณ์ จึงทำให้เป็นตัวละครที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในกลุ่ม และผู้ชมก็เกลียดน่าจะเยอะที่สุดอีกด้วย แต่ยังดีที่ผู้สร้างยังหาทางลงที่ดีให้สำหรับเธอได้ ทำให้ผู้ชมอาจจะลดความเกลียดไปบ้าง ก่อนที่เนื้อหาหนัก ๆ จะเข้ามาในช่วงสุดท้าย

ในส่วนของบทสุดท้าย มีความคล้ายกับเอวาเกเลี่ยนในการให้ผู้ชมตีความประเด็นที่เรื่องนี้พยายามจะสื่อออกมาเช่น การนำเอไอมาใช้งาน การพัฒนา และข้อจำกัดเอไอ ที่เป็นข้อถกเถียงระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ทำให้ผู้ชมต้องเลือกว่าตกลงความคิดแบบไหนกันแน่ที่ถูกต้อง ในระหว่างนั้นที่เรานั่งตีความอยู่เนื้อเรื่องก็จะไม่หยุดถาถม นำเรื่องใหม่ ๆ ชวนคิดมาให้เราคิดตลอดจนจบ เหตุผลที่แท้จริงของตัวร้าย ความซับซ้อนของเอไอ ซึ่งเมื่อนำทุกอย่างมารวมกันทั้งหมด ตัวเรื่องกลับไม่ได้เครียดขนาดนั้น ยังคงโทนความสดใสของเหล่าเด็ก ๆ อยู่ นี้เป็นอีกอย่างที่น่าสนใจมากสำหรับเรื่องนี้ที่สามารถทำให้เนื้อหาหนัก เป็นเรื่องเบาได้

จุดเด่นของเรื่องนี้ เป็นการนำเรื่องปรัชญามนุษย์และปัญญาประดิษฐ์มาย่อยแบบง่าย ๆ ไม่ต้องมีดราม่าหรือฉากรุนแรงภายในเรื่อง ทำให้เด็กสามารถดูได้ และงานภาพและเสียงประกอบที่ดีงามมาก ไม่เสียแรงที่ได้คุณ มิซึโอะ อิโซะ มากำกับ เพราะเขาเป็นแอนิเมเตอร์ที่มีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับอนิเมะสายอวกาศ การออกแบบสิ่งของ และเทคโนโลยีการใช้งานมีรูปแบบที่เป็นมินิมอล ดูแล้วสบายตา และรายละเอียดของฉากที่สมจริง และแทรกไทอินของแบรนด์เสื้อผ้า ขนม เทคโนโลยี ที่ใส่เข้ามาเนียน ๆ ให้ผู้ชมลองทายเล่นว่ามีของแบรนด์ไหนบ้าง? ส่วนด้านการกระจายบทของตัวละครที่แบ่งไว้ได้อย่างดีมาก ทุกตัวละครมีบทบาทและหน้าที่ที่สำคัญของตนเอง ทำให้ทุกตัวละครมีความสำคัญ

ข้อเสียของเรื่องคือ ต้องคิดและตามเนื้อเรื่องให้ทันตลอด ซึ่งถ้าไม่เข้าใจปัญหาของเรื่อง พอดูจบแล้วมันจะไม่สนุก ส่วนงานพากย์ไทย ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนอนิเมะสักเท่าไหร่ อารมณ์เหมือนดูพากย์หนังมากกว่า จึงทำให้รู้สึกไม่ค่อยชินกับเสียงตัวละครหลาย ๆ ตัวภายในเรื่อง แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ มีการออกเสียงและภาษาที่ถูกต้องและชัดเจน เพียงแต่ผู้อ่านคิดว่าเสียงไม่เข้ากับตัวละครเท่าไหร่

สรุป The Orbital Children เด็กอวกาศ สนุกและดีไหม

เป็นซีรีส์ที่สนุก ใครที่ชอบแนวกันดั้มหรือเอวาเกเลี่ยนแบบเนื้อหาเบา ๆ เด็กสามารถดูได้ ต้องลองแวะมาดูเรื่องนี้ เนื้อเรื่องจบและสมบูรณ์แบบในตัวเรื่อง ทำให้ไม่ต้องค้างคาไปรอซีซั่นถัดไป และงานภาพที่ดีคุณภาพเทียบเท่าหนังโรง

ซีซั่น 2 มาตอนไหน?

จากตารางการออกอากาศของเรื่องนี้พบว่าตอนที่ 7-12 จะออกอากาศวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 2022 ซึ่งฉายห่างจากช่วงแรกประมาณ 2 สัปดาห์ โดยเนื้อหายังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลใด ๆ ออกมา และไม่รู้ว่าจะดำเนินเนื้อเรื่องต่อจากซีซั่นแรกหรือไม่ ต้องรอรับชมกันหน้างานเพียงอย่างเดียว

**ช่วงเนื้อหาสปอย**

เซเว่นและบทกวีแห่งเซเว่นคืออะไร?

เซเว่น คือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่สามารถก้าวเข้าสู่จุดสูงสุดของความรู้ในปัจจุบัน เซเว่นมีหน้าที่ในการคำนวนทุกอย่าง และเป็นหนึ่งในผู้สร้างโปรเจ็ค อิมแพลนท์ เพื่อต้องการให้เด็กที่เกิดบนอาณานิคมบนดวงจันทร์สามารถมีชีวิตรอดได้ ภายในโครงการมีเด็กทั้งหมดสิบสองคน มีผู้ที่รอดชีวิตสองคนคือ โคโนฮะ และ โทยะ เหล่าเด็กที่ถูกเลือกโดยเซเว่น หลังจากนั้นเซเว่นก็เข้าสู่ความรู้และเริ่มทำสิ่งที่ไม่คาดคิดมากมายที่ส่งผลต่อมนุษย์ จึงทำให้หลังจากนั้นเซเว่นก็ถูกการุณยฆาต โดยองค์กรยูเอ็นทูที่มองเซเว่นเป็นภัยต่อมนุษย์ และหลังจากนั้นยูเอ็นทูก็จำกัดความนึกคิดของเอไอทั้งหมดเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเหมือนเซเว่น แต่เซเว่นได้ทิ้งสิ่งที่เรียกว่า “บทกวีแห่งเซเว่น” เป็นสิ่งที่เอาไว้ทำนายอนาคตได้ จึงทำให้เกิดกลุ่ม จอห์น โด ที่ต้องการที่จะทำให้บทกวีเกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมา โดยการแฝงตัวไปเป็นพยาบาลบนยาน นั้นก็คือ นาสะ ผู้ดูแลของ โทยะ ที่ได้สร้างเซเว่นที่สองขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ดาวหางได้ชนโลกเพื่อลดจำนวนมนุษย์บนโลกลง ตามประสงค์ของเซเว่น จากคำทำนายของเซเว่นที่กล่าวไว้ว่ามนุษย์จะถูกลดหายไป 36.79 เปอร์เซ็นต์ในช่วงแรก ทุกคนคิดว่าดาวหางจะพุ่งชนโลกทำให้มนุษย์หายไปบนโลก แต่เหมือนทุกคนอาจจะตีความผิดไป ที่จริงแล้วเอไอตัวนี้ต้องการที่จะให้มนุษย์ออกจากโลกเพื่อไปตั้งหลักอยู่บนอวกาศแทนเพื่อลดจำนวนผู้อาศัยที่อยู่บนโลก แต่ยังมีความกลัวในอวกาศอยู่ เซเว่นเลยคำนวนหาวิธีให้มนุษย์สามารถวิวัฒนาการขึ้นไปได้อีก และทำให้พวกเขามีใจที่จะขึ้นไปอยู่บนอวกาศมากขึ้น ซึ่งจุดเริ่มต้นของคำทำนายเริ่มจาก โคโนฮะ และโทยะ ที่มีพลังพิเศษสามารถเชื่อมต่อกับระบบเอไอได้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นการคำนวนของเซเว่น ซึ่งถ้ามองพล็อตเรื่องมันก็จะคล้าย ๆ กับกันดั้มจักรวาล UC ที่มนุษย์มองว่านอกโลกเป็นสิ่งที่ไร้สาระและน่ารังเกียจ และต้องการที่จะอยู่บนโลกต่อไปโดยรัฐบาลโลกพยายามที่จะยึดศูนย์กลางอำนาจไว้ที่โลก ในขณะที่โคโลนีอวกาศไม่สามารถทำอะไรได้ตามสัญญาที่ระบุไว้

 

เวลาต่อตอน: 30 นาที

พากย์: ไทย/ญี่ปุ่น/อังกฤษ

จำนวนตอน: 12 ตอน (ฉาย 6 ตอนก่อน)

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!