playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว A Killer Paradox (Netflix) ศาลเตี้ยฆาตกรต่อเนื่องในแบบซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตจริง

A Killer Paradox

Summary

สรุปเป็นซีรีส์แนวดราม่าฆาตกรรมผสมแฟนตาซีเหนือธรรมชาติลงไปนิดๆ ซึ่งก็ออกมาสนุกลงตัวดีในแบบซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตจริง แม้จะเว่อร์ๆ กับพลังโชคช่วยของพระเอกที่ทำให้รอดจากจุดคับขันได้ตลอดทั้งเรื่องจนไม่ได้รู้สึกลุ้นจริงจังอะไรมาก ฉากฆาตกรรมก็เป็นแนวดาร์คคอมเมดี้มากกว่า แต่ก็มีความรุนแรงสูง เรื่องยังมีบทที่ลึกซับซ้อนถึงปูมหลังของทุกตัวละครสำคัญ และก็พยายามหาคำตอบว่าความยุติธรรมแบบในเรื่องนั้นถูกต้องจริงๆ หรือไม่ ซึ่งคำตอบนั้นก็คือฉากดราม่ากดดันท้ายเรื่องที่ทำให้จบได้ลงตัวดีทีเดียวครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แนวดราม่าฆาตกรรมผสมแฟนตาซีในแบบซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตจริง
  • ประเด็นศาลเตี้ยกับความยุติธรรมที่กฎหมายให้ไม่ได้
  • ฉากโหดกับติดเรตเยอะ
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ใช้พลังโชคช่วยหาทางออกแบบง่ายๆ ทั้งเรื่อง
  • แทบไม่มีจุดหักมุมให้น่าทึ่งเลย

A Killer Paradox หน้ากากความยุติธรรม ซีรีส์เกาหลี Original Netflix 8 ตอนจบมีพากย์ไทย เมื่อเหตุพลั้งมือสังหารครั้งหนึ่งนำไปสู่การลงมืออีกครั้ง หนุ่มนักศึกษาแสนธรรมดาจึงหลงเข้าไปในวังวนของเกมไล่ล่าชี้ชะตากับสายสืบผู้โชกโชน

A Killer Paradox (2024) on IMDb


รีวิว  A Killer Paradox 

(มีสปอยล์เนื้อหาบางส่วน แต่ไม่ได้เปิดเผยส่วนสำคัญ)


อีทัง (รับบท ชเวอูชิก) หนุ่มนักศึกษาที่บังเอิญฆ่าคนตาย แต่เหยื่อกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง และความบังเอิญเหมือนโชคช่วยก็ทำให้เขารอดพ้นจากเรื่องนี้อย่างง่ายๆ แต่สัญชาตญาณตัดสินคนชั่วได้ของเขากลับปรากฎขึ้นมา ทำให้เขาต้องตกอยู่ในวังวนนี้จนนำไปสู่ฆาตกรรมต่อเนื่อง โดยมี จางนันกัม (รับบทโดย ซนซอกกู) ตำรวจนักสืบที่มีอดีตอันขมขื่นตามไล่ล่าเขาเพียงลำพัง

ซีรีส์ที่ดัดแปลงจากเว็บตูนและกำกับโดย Lee Chang-Hee ผลงานเรื่องที่ 2 ต่อจาก Strangers From Hell นรกคือคนอื่น ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความโหดบิดเบี้ยวของมนุษย์ที่กลายเป็นฆาตกร มาในเรื่องนี้ก็ยังเป็นผลงานในแนวทางเดียวกัน แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือมันมีเรื่องเหนือธรรมชาติเข้ามาจากพลังของพระเอก ซึ่งแรกๆ อาจจะดูไม่ชัดเจนนักว่าคืออะไร โดยมีอาการขนลุกที่ต้นคอเหมือนการกระตุ้นให้เกิดความอยากฆ่าคนของตัวเอก โดยการดำเนินเรื่องก็ยังไปในแนวทางติดตลกนิดๆ ผสมดาร์คคอมเมดี้ เล่นกับความบังเอิญซวยของตัวเอกที่ต้องเจอพยานมาเห็นการฆ่า แล้วกลายเป็นพยานนั้นก็มาแบล็คเมล์ทำเรื่องเลวร้ายพอกัน ทำให้กลายเป็น “จำเป็นต้องฆ่า” จากสิ่งเร้ากระตุ้นของเหยื่อที่ถาโถมเข้าใส่ตัวเขารวมกับอดีตที่เขาถูกกลั่นแกล้งมาตลอดทำให้ระเบิดมันออก ซึ่งพระเอกก็ไม่ได้ตั้งใจลงมือแต่แรก และยังมีโชคที่ช่วยพระเอกไว้ทุกครั้งหลังฆ่าเสร็จแล้วทำลายหลักฐานเองได้หมด เป็นการเล่นมุกตลกที่บังเอิญเว่อร์ๆ อย่างแมลงวันบินปิดกล้องวงจรปิดพอดีงี้ ซึ่งทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่ซีรีส์แนวกดดันบีบคั้นอะไรมากเหมือนผลงานเรื่องก่อนนี้ แต่ก็มีอารมณ์ระทึกขวัญแฝงอยู่ในเรื่องเป็นระยะๆ ผสมดราม่าชีวิตซวยของพระเอกที่ต้องกลายมาเป็นฆาตกรต่อเนื่องจำเป็นไปครับ

แต่เมื่อถึงกลางเรื่องมีการเปิดตัวละครใหม่เพื่อพาตัวเอกออกจากจุดวังวนความซวยนี้ โดยเรื่องถูกพลิกไปในแนวซูเปอร์ฮีโร่เรียลๆ ในโลกจริงไปเลย (เหมือนอย่างหนัง Unbreakable, Split ของผู้กำกับเอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน) มีการเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวพระเอกใหม่ให้ดิบขึ้นกว่านักศึกษาติ๋มๆ ในช่วงแรก โดยมีคู่หูที่คอยช่วยเหลือพระเอกให้ฆ่าคนได้อย่างง่ายๆ พร้อมกับการอธิบายพลังวิเศษของเขาในแบบที่พยายามทำให้น่าเชื่อถือ แม้มันจะหลุดโลกมากๆ จากความสามารถโชคดีฟ้าประทานช่วยล้วนๆ แต่ถึงจุดนี้ผู้ชมก็คงรู้สึกสนุกไปกับไอเดียนี้แล้วว่ามันจะพาไปถึงไหน ซึ่งซีรีส์ก็พาไปไกลขึ้นไปอีกด้วยการเปิดตัวร้ายที่มีแนวทางชีวิตแบบเดียวกัน แต่เก่งกว่า โหดเหี้ยมกว่า แต่ไม่มีพลังวิเศษใดๆ เป็นแค่ศาลเตี้ยที่ใช้ความรู้สึกตัดสินเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากตัวพระเอก แล้วก็พยายามค้นหาความยุติธรรมที่มีข้ออ้างในแบบของตัวเอง ซึ่งนี่ก็คือประเด็นหลักของเรื่องว่าสิ่งที่ทั้งคู่ทำมันแตกต่างกันหรือไม่ แล้วมันคือความยุติธรรมอย่างที่ทั้งคู่เชื่อจริงหรือ? 

ซีรีส์ยังมีตัวเอกอีกคนคือนักสืบที่คอยตามล่าพระเอกมาตลอด ซึ่งเรื่องก็ไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นแค่ตำรวจตามจับคดีปกติ แต่มีปมดราม่าบาดแผลใหญ่ในครอบครัวที่ทำให้เขากลายมาเป็นตำรวจและพยายามสืบหาคนร้ายนี้ให้ได้ โดยเป็นตัวละครตรงกลางของเรื่องที่อยู่ฝ่ายกฎหมาย แต่ไม่สามารถใช้กฎหมายจัดการคนชั่วเหล่านี้ได้ ซึ่งการที่เขามาพัวพันกับคดีแบบนี้ที่ต้องปกป้องคนชั่ว ก็ทำให้เขาเหมือนต้องพยายามใช้อารมณ์กดทับความรู้สึกนี้ไว้  ไม่ให้เป็นกลายเป็นศาลเตี้ยทำลายกฎหมายซะเอง นักแสดงก็เล่นกับอารมณ์นี้ที่จวนเจียนจะระเบิดได้ตลอดเรื่องดีมากครับ

ซีรีส์เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบได้สนุกตลอดเวลา แต่ว่าเรื่องก็ค่อนข้างใช้ความบังเอิญโชคช่วยของพระเอกแก้ปัญหาช่วงวิกฤตทุกครั้งไปแบบง่ายๆ จนเหมือนบทอยากเขียนทางออกยังไงก็ได้ ซึ่งดูมักง่ายมากไปในหลายครั้ง คือยังไงพระเอกก็รอดได้ ตำรวจที่ตามจับก็ต้องโดนหรือผิดพลาดอะไรไปเองเสมอ ทำให้ไม่ค่อยว้าวกับไอเดียในการหาทางออกของปัญหาได้เลย แล้วทางออกช่วงแรกๆ ออกจะตลกล้วนๆ ด้วยซ้ำ จนกระทั่งช่วงหลังถึงจะมาแนวจริงจังหน่อย

 

จุดด้อยนิดๆ อีกอย่างคือการดำเนินเรื่องหลายครั้งไม่ได้ไปตามลำดับ แต่กระโดดเอาอนาคตของตัวละครมาเล่าก่อน แล้วค่อยย้อนกลับไปว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้ตอนแรกมีงงนิดๆ อยู่บ้าง และก็พยายามเล่าแฟลชแบ็คชีวิตของตัวละครต่างๆ ภายหลังยาวๆ เป็นการเฉลยที่มาที่ไปของปูมหลังชีวิตตัวละครแต่ละตัวให้เนื้อเรื่องหักมุม แต่ก็ไม่ได้ผลตามนั้นนัก

 

ซีรีส์จบแบบเคลียร์ปมเนื้อเรื่องหมดในซีซั่นนี้ได้ค่อนข้างลงตัวดี โดยมีฉากจบแบบปลายเปิดทำต่อได้ ซึ่งก็คงคล้ายๆ พวกซีรีส์ฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นฮีโร่ของฝรั่งอย่าง Dexter ครับ

 

สรุปเป็นซีรีส์แนวดราม่าฆาตกรรมผสมแฟนตาซีเหนือธรรมชาติลงไปนิดๆ ซึ่งก็ออกมาสนุกลงตัวดีในแบบซูเปอร์ฮีโร่ในชีวิตจริง แม้จะเว่อร์ๆ กับพลังโชคช่วยของพระเอกที่ทำให้รอดจากจุดคับขันได้ตลอดทั้งเรื่อง จนไม่ได้รู้สึกลุ้นจริงจังอะไรมาก ฉากฆาตกรรมก็เป็นแนวดาร์คคอมเมดี้มากกว่า แต่ก็มีความรุนแรงสูง เรื่องยังมีบทที่ลึกซับซ้อนถึงปูมหลังของทุกตัวละครสำคัญ และก็พยายามหาคำตอบว่าความยุติธรรมแบบในเรื่องนั้นถูกต้องจริงๆ หรือไม่ ซึ่งคำตอบนั้นก็คือฉากดราม่ากดดันท้ายเรื่องที่ทำให้จบได้ลงตัวดีทีเดียวครับ

 

including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!