playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว AMERICAN FICTION (Prime) ผลงานชิงออสการ์ที่ตลกประชดเรื่องราวคนขาวบ้าคนดำจนสุดโต่ง!

AMERICAN FICTION

Summary

หนังดราม่าตลกประชดวงการบันเทิงคนขาวที่บ้าเรื่องราวชีวิตคนดำได้อย่างเจ็บแสบมากๆ หนังตลกแบบขำสุดๆ กับมุกเสียดสีกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมเลย โดยไม่ลืมวิพากษ์คนดำด้วยกันเองที่ยอมตามไกด์ไลน์คนขาวกรอบไว้ แต่หนังก็ไม่ได้ชี้ผิดถูกโดยตรง ยังยอมรับสภาพสังคมที่มันเป็นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วย โดยมีเรื่องราวชีวิตดราม่าของครอบครัวตัวเอกที่เป็นเหมือนเรื่องราวชีวิตจริงๆ ของคนดำที่มีแง่มุมอื่น ซึ่งเล่าสลับกับเรื่องจิกกัดคนขาวไปมาได้อย่างลงตัว และจบทั้งสองส่วนได้ดีโดยมีฉากปิดท้ายจิกกัดคนขาวที่แสบมากจริงๆ ครับ (หนังเข้าชิง 5 ออสการ์ และไม่ได้ฉายในไทยมีแค่ใน Amazon Prime ที่เดียวเท่านั้นครับ)

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ตลกร้ายจิกกัดกระแสคนขาวชอบเรื่องราวคนดำแบบเดิมๆ
  • เข้าชิง 5 รางวัลออสการ์
  • ดราม่าชีวิตเข้มข้ม
  • มีซับไทย

Cons

  • ครึ่งชั่วโมงแรกดราม่าล้วนๆ แทบไม่มีตลก

AMERICAN FICTION อเมริกัน ฟิกชัน ภาพยนต์ Amazon Prime แนวดราม่าตลก เรื่องราวของนักเขียนผิวดำชั้นเยี่ยมแต่ไส้แห้งเพราะถือคติไม่ยอมเขียนหนังสือคนดำตามที่ตลาดต้องการ วันหนึ่งครอบครัวเขามีปัญหาทางการเงินอย่างหนัก เขาจึงลองเขียนมันขึ้นมาประชดคนขาว แต่กลับกลายเป็นหนังสือติดท็อปขายดีเหมือนแจกฟรีไปซะนี่
American Fiction (2023) on IMDb

 

รีวิว AMERICAN FICTION

หนังเรื่องนี้ไม่ได้ทำลงสตรีมมิ่ง แต่เป็นหนังฉายโรงที่อเมริกาไปเมื่อปลายเดือนธันวา 2023 และก็ไม่ได้ฉายในไทย แต่สร้างโดยค่าย MGM ซึ่งเจ้าของก็คือ Amazon Prime ทำให้เราได้ดูกัน ซึ่งเรื่องนี้ได้คะแนนทั้งนักวิจารณ์ทั้งผู้ชมเมืองนอกไปแบบถล่มทลาย รวมถึงยังเข้าชิง 5 รางวัลออสการ์ 2024 นี้ด้วย (ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทดัดแปลง,แสดงนำชาย,ดาราสมทบ,ดนตรีประกอบ) แถมยังเป็นการกำกับหนังเรื่องแรกของนักเขียนบทชื่อดัง Cord Jefferson โดยเรื่องนี้ก็ดัดแปลงมาจากหนังสือคนดำ Erasure เมื่อปี 2001 ที่ว่าด้วยเรื่องปัญหาของนักเขียนผิวดำที่ยังเขียนเรื่องเดิมๆ ซึ่งตัวเขาเองก็มีเครดิตรางวัลจากการเขียนบท Watchmen ฉบับซีรีส์ของ HBO ทั้ง 9 ตอน ซึ่งก็คือเรื่องของคนผิวดำในโลก Watchmen ที่ต่อยอดจากภาพยนตร์มาได้อย่างยอดเยี่ยมมาเช่นกัน  จึงทำให้ผลงานเรื่องนี้ก็ไม่ธรรมดาและออกมาได้ถูกจังหวะเวลาในช่วงที่กระแสชื่นชมคนดำเกลื่อนฮอลลีวู๊ด จนกลายเป็นการ WOKE ที่เป็นปัญหาอยู่ในตอนนี้

สิ่งที่หนังเรื่องนี้นำเสนอคือการเล่าเรื่องของ มังค์ (แสดงโดย Jeffrey Wright) นักเขียนผิวดำที่มีคติประจำใจเลยว่าจะไม่เขียนงานคนดำทั่วไปที่สื่ออเมริกาชอบทำกันออกมา อย่าง ตัวละครแร็ปเปอร์ ครอบครัวมีปัญหาความรุนแรง ติดยา ถูกกดขี่โดยตำรวจผิวขาว ซึ่งครึ่งชั่วโมงแรกคือการนำเสนอชีวิตของคนผิวดำอย่างเขาที่เป็นแกะดำในบ้านที่ครอบครัวเป็นหมอกันหมด แต่ชีวิตในบ้านก็ไม่ได้ดีอะไร เขาเป็นนักเขียนจนๆ ในบ้านที่มีปัญหาชีวิตแบบคนทั่วไป แม่ก็มาเป็นอัลไซเมอร์ พี่สาวก็มาด่วนจากไป น้องชายหลังถูกจับได้ว่าเป็นเกย์ก็บ้านแตกถูกหย่าจนไม่มีเงินมาช่วยแม่ ซึ่งนี่คือช่วงชีวิตลำบากที่หนังแทบไม่ได้มีมุกตลกอะไรมากเลยกับชีวิตรันทดของตัวละคร ดูแล้วจะเนือยๆ เหมือนผิดเรื่องว่านี่มันไม่ใช่หนังตลกนี่นา แต่มันคือการปูเรื่องที่บีบให้มังค์กินเหล้าแล้วเขียนงานประชด บก.ที่พยายามของานแบบนี้จากเขาประจำ ซึ่งงานที่ออกมามันก็คือผลงานโลวเกรดสุดๆ ไม่ได้ตั้งใจให้ไปตีพิมพ์ แต่มันดันกลายเป็นถูกใจสำนักพิมพ์คนขาว ผู้สร้างหนังคนขาว และอื่นๆ อีกมากมายที่มังค์ก็แทบไม่เชื่อว่ามีคนชอบมันจริงๆ

หนังเริ่มตลกสุดๆ ก็คือหลังเขียนหนังสือนี้ออกไป ด้วยฉากประชดคนขาวทุกฉากที่ฮามากๆ ด้วยความพยายามของมังค์ที่จะกวนทีนคนขาวสุดๆ เพื่อไม่ให้หนังสือของเขาได้ตีพิมพ์ออกไป แต่กลายเป็นยิ่งกวนทีนแสดงความโง่แบบทุยๆ ออกไปมากเท่าไหร่ คนขาวกลับยิ่งถูกใจแบบ โอ้วววว พระเจ้าจ็อด นี่มันไอเดียสุดติ่งของคนดำที่ไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งดำสุดๆ แบบนี้ยิ่งขายดีแน่ๆ หนังเล่นกับมุกแนวตอกย้ำเสียดสีคนขาวที่ชอบเรื่องราวคนดำแบบที่ฮอลลีวู๊ดชอบทำกันออกมา โดยไม่เว้นแม้แต่การจิกกัดคนดำด้วยกันเองที่เขียนหนังสือแบบนี้ออกมา หรือคนดำที่ชื่นชอบแนวทางที่คนขาวไกด์ไลน์อุ้มชูไว้ว่านี่คือเรื่องราวของคนดำที่ตลาดต้องการ ซึ่งเรื่องชี้ให้เห็นว่าชีวิตจริงของคนดำมีมากกว่านั้นแต่ถูกคนขาวตีกรอบไว้ว่าต้องการแค่นี้ๆ ซึ่งนี่คือการทำร้ายคนดำด้วยกันเอง ซึ่งหนังก็สร้างตัวละครตรงข้ามกับมังค์มาตีโต้ประเด็นต่างๆ พวกนี้ได้ดีมาก โดยไม่ได้บอกว่าอะไรถูกหรือผิด แม้จะจิกกัดคนขาวแบบสุดๆ จนถึงฉากสุดท้ายก็ตาม แต่สภาพสังคมคนขาวในระบบทุนนิยมที่มากกว่าก็ทำให้มันเป็นไปแบบนั้นโดยดุษดี แม้แต่ บก.ของมังค์เองก็บอกเขาไว้แต่แรกแล้วเช่นกัน

แต่สิ่งที่หนังยอดเยี่ยมยิ่งกว่าคือในช่วงที่หนังจิกกัดคนขาวแบบสุดโต่ง หนังก็สลับเรื่องราวหลังจบฉากตลกด้วยการเล่าเรื่องดราม่าชีวิตครอบครัวของมังค์ที่มีปัญหาแตกร้าวหลายๆ อย่างจากแม่ที่เป็นอัลไซเมอร์แล้วก็เริ่มพูดในสิ่งที่ลูกไม่เคยรู้มาก่อน น้องชายที่เริ่มเลยเถิดกับการเป็นเกย์แบบอิสระเปิดเผย เอาเกย์มาเป็นคู่นอน ทำบ้านแม่เป็นรังรักปาร์ตี้เกย์ไป มังค์เองก็ได้เจอผู้หญิงคนใหม่หลังหย่าร้าง แต่เธอก็ดันชอบหนังสือเล่มนี้ที่เขาแต่ง ซึ่งหนังนำเสนอช่วงเวลาชีวิตครอบครัวผิวดำที่ดูแล้วเป็นธรรมชาติจริงๆ ของคนทั่วไป ไม่ใช่ในแบบที่ฮอลลีวูดพยายามยัดให้คนดำเป็น ซึ่งมันออกมาดีมากแล้วก็หาทางจบเรื่องราวชีวิตร้าวๆ ของมังค์ได้อย่างดี โดยที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบนัก เพราะนี่คือชีวิตจริงๆ ที่คนเป็นกัน

 

สรุป นี่เป็นหนังดราม่าตลกประชดวงการบันเทิงคนขาวที่บ้าเรื่องราวชีวิตคนดำได้อย่างเจ็บแสบมากๆ หนังตลกแบบขำสุดๆ กับมุกเสียดสีกันตรงๆ ไม่มีอ้อมค้อมเลย โดยไม่ลืมวิพากษ์คนดำด้วยกันเองที่ยอมตามไกด์ไลน์คนขาวกรอบไว้ แต่หนังก็ไม่ได้ชี้ผิดถูกโดยตรง ยังยอมรับสภาพสังคมที่มันเป็นไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ด้วย โดยมีเรื่องราวชีวิตดราม่าของครอบครัวตัวเอกที่เป็นเหมือนเรื่องราวชีวิตจริงๆ ของคนดำที่มีแง่มุมอื่น ซึ่งเล่าสลับกับเรื่องจิกกัดคนขาวไปมาได้อย่างลงตัว และจบทั้งสองส่วนได้ดีโดยมีฉากปิดท้ายจิกกัดคนขาวที่แสบมากจริงๆ ครับ (หนังเข้าชิง 5 ออสการ์ และไม่ได้ฉายในไทยมีแค่ใน Amazon Prime ที่เดียวเท่านั้นครับ)

 


including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!