playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Carter อัดแอ็กชั่นมันส์ๆ เล่นใหญ่มาเต็มเหนี่ยว แต่ปลอมเยอะจนดูออก (ไม่สปอยล์)

Carter

Summary

หนังแอ็กชั่นโม้มันส์ที่ต้องดูแบบถอดสมองอย่าสนใจอะไรเลยเหมือนหนังแอ็กชั่นอินเดียก็ไม่ปาน (บางฉากโม้จนดูตลกไม่ต่างกันเลย) แต่มาในสไตล์เกาหลีที่น่าจะถูกใจคนบ้านเรามากกว่า ดูได้เลยสนุก แม้จะมีเรื่องชวนปวดหัวจากมุมกล้องมากหน่อยกับ CG ฉากแอ็กชั่นปลอมๆ ที่ยัดแทรกมาตลอดเรื่องก็ตาม อีกทั้งยังผสมแนวซอมบี้เข้ามาในครึ่งหลังหลอมรวมกับเนื้อเรื่องสายลับเกาหลีเหนือ-ใต้ CIA ชวนวุ่นวายมาก แต่เรื่องทำค้างไว้ไม่จบมีต่อ อันนี้ก็อาจจะเป็นอะไรที่น่าตำหนิอยู่เหมือนกันครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • แอ็กชั่นโม้ระเบิดอัดมาถี่ยิบต่อเนื่องร่วมกับ CG ทั้งเรื่อง
  • ครึ่งหลังเป็นหนังซอมบี้
  • พระเอกหล่อดิบ
  • ผสมแนวไซไฟเข้ามานิดๆ
  • มีฉากโหดดิบกับเปลือยติดเรตเยอะ
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • มุมกล้อง FPS แฮนเฮลด์ หมุนวนไปมาทั้งเรื่องจนชวนปวดหัว
  • ฉากแอ็กชั่นหลายฉากโม้มากจนดูตลก
  • เนื้อเรื่องสลับข้างไปมาไวมากจนบางครั้งตามเรื่องไม่ทัน
  • ตอนจบทำค้างไว้มีต่อ ไม่จบในภาคเดียว
  • นักแสดงฝรั่งดูปลอมไม่เหมือน CIA เลย

Carter หนังเกาหลีแอ็กชั่นสุดเดือดของ Netflix ที่เล่าเรื่องของชายหนุ่มนามคาร์เตอร์ผู้สูญเสียความทรงจำ และต้องเอาชีวิตรอดจากการตามล่าของทั้งอเมริกาและเกาหลีเหนือใต้ โดยมีเสียงสั่งการเขาจากในหูจากบุคคลปริศนาที่อ้างว่าเขากำลังทำภารกิจยิ่งใหญ่ที่เป็นความเป็นความตายของชาติ

 Carter (2022) on IMDb

 

หนังเรื่องนี้มีเป้าหมายแน่วแน่เลยว่าต้องเล่าเรื่องด้วยแอ็กชั่นสุดเดือด ทั้งเรื่องจึงเต็มไปด้วยฉากแอ็กชั่นกระหน่ำติดๆ กันเป็นพายุยิ่งกว่าจอห์นวิคซะอีก (หลายเท่าด้วย) อย่างเปิดมาก็เป็นฉากกึ่งลองเทคที่พระเอกต้องสู้กับแก๊งนักเลงมากมายที่ดาหน้าเข้ามาแบบนับไม่ถ้วน ชวนให้คิดถึงฉากนีโอเจอสมิธรุมเป็นร้อยในเมทริกซ์แบบนั้นเลย นอกจากนั้นก็มีฉากขับรถไล่ล่าระเบิดเถิดเทิงอยู่เรื่อยๆ หรือฉากแนวสายลับบุกเข้าไปถล่มรังผู้ร้ายคนเดียวก็มี บางทีพระเอกก็แทบจะบินได้ไปเลย ความเว่อร์นี่บอกเลยเกินจอห์นวิคไปไกลมาก พระเอกแทบไม่โดนยิงหรือแมงเลยมีแค่แผลถลอกเท่านั้น แต่ตัวเองทั้งฆ่ายิงเสียบสารพัดคนตายไปเผลอๆ จะถึงพันด้วยในเรื่องนี้ เพราะนับไม่นับถ้วนจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่าการขายความมันส์จากฉากแอ็กชั่นกันตรงๆ มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างแมสและถูกใจคนดูทั่วไปแน่นอน ตัวหนังตอบโจทย์คนดูสายนี้ได้แน่นอน

แต่ก็ต้องบอกว่าการที่หนังอัดแอ็กชั่นโม้แตกรัวๆ ได้ขนาดนี้ก็เพราะฉากทั้งหลายส่วนมากเป็นการผสม CG เข้ามาจำนวนมาก ไม่ใช่ฉากบู๊สดแบบลองเทค แล้วตัวหนังก็ไม่ได้จะทำได้เนียนอะไรด้วย เรียกว่าดูออกตั้งแต่ฉากแรกๆ อาจจะไม่ดูแย่ แต่คนดูออกว่าปลอมแน่นอน โดยไม่ต้องจับผิดอะไรเลย เพราะหลายฉากมันออกแนวโม้เกินความเป็นไปได้จนชวนขำเสียด้วยซ้ำ ยกตัวอย่างลูกกระจ๊อกที่พระเอกอัดตกตึกโดนรถชนกลับกระเด็นเด้งลอยขึ้นมาบนตึกให้พระเอกโดดลงไปเหยียบรองเป็นเบาะลงพื้นนิ่มๆ อะไรแบบนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ทางผู้กำกับคิดมาได้ไง หลายฉากมันโม้แบบแทบจะเป็นฉากในการ์ตูนขำๆ ไปแล้ว ซึ่งถ้าใครไม่ติดใจอะไรก็ขำๆ ตามได้ แต่ถ้าคนดูซีเรียสนี่คงเครียดพอดูกับฉากอะไรแบบที่ว่าเหมือนกัน

และเหมือนแค่อัดแอ็กชั่นโม้แตกมารัวๆ ไม่พอ ผู้กำกับยังพยายามใช้มุมกล้องแบบแฮนเฮลด์สั่นๆ แนวเกม FPS เข้ามาด้วยทั้งเรื่องแทบไม่หยุดพัก รวมถึงการใช้มุมกล้องหมุนวนไปทั่วเหมือนกล้องติดโดรน แต่จริงๆ เป็นภาพมุมกล้องจาก CG ซึ่งแรกๆ อาจจะรู้สึกเท่ แต่พอทั้งเรื่องยัดมาแต่แบบนี้ ไม่เว้นแม้แต่ฉากขับรถธรรมดาก็ยังต้องวนกล้องรอบรถตอนวิ่ง มันเลยกลายเป็นหนังที่ชวนเวียนหัวเอามาก ใครที่แพ้มุมกล้องแบบนี้นี่เตรียมยาแก้ปวดหัวไว้ได้เลยครับ 

นอกจากแอ็กชั่นแนวสายลับความจำเสื่อมถูกไล่ล่า ตัวเรื่องยังพยายามทำตัวเป็นหนังซอมบี้กลายๆ มาด้วย โดยการให้เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัสชนิดใหม่ที่ทำให้คนติดมีสภาพคลุ้มคลั่งเหมือนซอมบี้ ซึ่งตัวเรื่องครึ่งหลังนี่แทบจะเปลี่ยนแนวจาก CIA ไล่ล่ากลายมาเป็นหนังซอมบี้เกือบเต็มตัวเลยก็ว่าได้ ซึ่งการยัดมาครั้งนี้ก็มีบทรองรับ อาจจะไม่ดูแย่หรือน่าเกลียด แต่ก็รู้สึกแปลกๆ กับการที่เรื่องพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นแบบนี้ แล้วก็ยังมีความพยายามต่อพล็อตไปภาค 2 แบบชัดเจนด้วยการทิ้งเรื่องค้างไว้ แล้วเผลอๆ ก็จะกลายเป็นหนังซอมบี้เต็มตัวในอนาคตได้อีกต่างหากครับ

ส่วนตัวเรื่องการเป็นสายลับความจำเสื่อม แล้วถูกคนในหูชักใยพร้อมทั้งมีตัวละครอื่นหลอกใช้พระเอกกลับไปกลับมาก็เป็นอะไรที่เข้าท่าดี มีความเป็นไซไฟล้ำๆ ติดมาหน่อยไม่มีปัญหา แต่ปัญหาคือตัวเรื่องเล่นกลับไปกลับมาจนงงคนดูงงเองว่าตอนนี้พระเอกอยู่ข้างไหน แล้วเรื่องจริงๆ เป็นไงกันแน่เพราะตัวเรื่องหมดเวลาไปกับการอัดแอ็กชั่นซะ 70-80% ทำให้เหลือเวลาเล่าเรื่องไม่มากในแต่ละช่วง เผลอนิดเดียวตามเรื่องไม่ทันเอาง่ายๆ เป็นอะไรที่ชวนปวดหัวอีกอย่างของเรื่องเลยก็ว่าได้ครับ

ตัวนักแสดงในเรื่องวางบทให้มีทั้งอเมริกัน เกาหลีเหนือ ใต้ ผสมปนเปกันมั่วไป ซึ่งทางนักแสดงฝรั่งก็ยังดูปลอมๆ เหมือนดาราเกรดบีตัวประกอบ เล่นได้ไม่เหมือนเป็น CIA อะไรเลย แต่ก็เข้าใจได้เพราะหนังเกาหลีส่วนใหญ่เวลาใช้ฝรั่งก็มักจะเป็นแบบนี้หมด แต่ดาราทางเกาหลีนี่โอเค มีไม่บ่อยนักที่เรื่องวางให้เกาหลีเหนือเป็นตัวหลัก แกนหลัก ตัวเอกของเรื่อง ซึ่งพระเอกก็เล่นได้ผ่าน หน้าตาหล่อเหลาน่าเอาใจช่วยจากคนดูสาวๆ ได้แน่นอน

ถือเป็นหนังแอ็กชั่นโม้มันส์ที่ต้องดูแบบถอดสมองอย่าสนใจอะไรเลยเหมือนหนังแอ็กชั่นอินเดียก็ไม่ปาน แต่มาในสไตล์เกาหลีที่น่าจะถูกใจคนบ้านเรามากกว่า ดูได้เลยสนุก แม้จะมีเรื่องชวนปวดหัวจากมุมกล้องมากหน่อยก็ตามครับ

 

 

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!