playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Code 8 Part II (Netflix) ภาค 2 ที่ยังเป็นหนังฟอร์มเล็กๆ แต่ดูดีพอในสเกลหนังสตรีมมิ่ง

Code 8 Part II

Summary

สรุปเป็นหนังภาคต่อที่ทำมาลงสตรีมมิ่งโดยเฉพาะได้ดีพอตัว ซึ่งงบการสร้างจำกัดแค่ฟอร์มเล็กๆ ในระดับซีรีส์เท่านั้น จึงไม่ได้มีฉากแอ็กชั่นโชว์ CG พลังพิเศษมาก แต่ไปโฟกัสที่หุ่นสุนัขที่ทำออกมาได้ดีในฐานะศัตรูรายทางประจำเรื่อง เนื้อเรื่องวนอยู่ในวงเล็กแคบๆ กว่าเดิม แต่ก็มีการพัฒนาที่ดีขึ้นกับตัวเอกรองที่ทำออกมาเทาๆ กึ่งดีกึ่งร้ายเพื่อหลอกผู้ชม และก็ทิ้งปมไว้ไปต่อภาค 3 กันต่อไปครับ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • นักแสดงกับผู้กำกับคนเดิม
  • งาน CG หุ่นสุนัขทำได้สวย
  • มีพัฒนาตัวละครที่ดีต่อเนื่องจากภาคก่อน
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ฉากแอ็กชั่นใช้พลังพิเศษไม่เยอะ
  • เนื้อเรื่องจำกัดวงเล็กมาก

 

Code 8 Part II ล่าคนโคตรพลัง ภาค 2 ของหนังระดมทุนเล็กๆ เมื่อปี 2019 ที่ฉายโรงแล้วได้เข้ามาฉายใน Netflix จนมียอดผู้ชมสูงพอ ทำให้ Netflix ออกทุนให้ทำต่อ (แต่ภาคแรกหลุดจากระบบไปแล้วไม่ได้เป็นของ Netflix) โดยได้ผู้กำกับเขียนบทคนเดิม Jeff Chan  และนักแสดงนำคนเดิม Robbie Amell และ Stephen Amell เรื่องราวเกิดขึ้นในโลกที่ประชากร 4% เกิดมาพร้อมพลังพิเศษและโดนหุ่นยนต์สุดไฮเทคควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด อดีตนักโทษต้องร่วมมือกับเจ้าพ่อยาเสพติดที่เขาชิงชังเพื่อปกป้องเด็กสาวคนหนึ่งจากตำรวจผู้ฉ้อฉล 

Code 8: Part II (2024) on IMDb

 

รีวิว Code 8 Part II (ภาค 2) ไม่มีสปอยล์

เรื่องราวภาคแรกคือ ฉากหลังในอนาคตอันใกล้ที่มีมนุษย์จำนวนหนึ่งมีพลังพิเศษ แต่พวกเขากลับถูกกีดกันและถูกกักขังให้อยู่ในพื้นที่จำกัด โดยมีตำรวจและหุ่นไซบอร์กคอยควบคุมดูแล คอนเนอร์ รี้ด (แสดงโดย Robbie Amell ) ชายหนุ่มที่มีพลังควบคุมไฟฟ้า และจำใจต้องทำงานผิดกฎหมายเพื่อหาเงินมารักษาแม่ที่ป่วย แต่เหตุการณ์กลับเลยเถิดทำให้เขามอบตัวแก่ตำรวจในตอนจบของภาคแรก ส่วนภาคสองก็คือเรื่องราวหลังพ้นโทษออกมา เขาได้ไปพบกับเด็กสาวที่หนีตายจากตำรวจมาขอความช่วยเหลือ และต้องกลับไปร่วมมือกับการ์เร็ต (แสดงโดย Stephen Amell) อาชญากรที่ชวนเขาไปทำงานผิดกฎหมายในภาคแรก เพื่อหาทางช่วยเธอและต่อสู้กับตำรวจทุจริตพวกนี้อีกครั้ง

ด้วยความที่หนังเดินเรื่องต่อโดยตรง โดยไม่มีฉากเท้าความอดีตเลย สำหรับผู้ชมที่ไม่เคยดูมาก่อนก็จะงงๆ แน่นอนกับความสัมพันธ์ตัวละครและโลกในเรื่องที่มียาเสพติดที่เรียกว่า “ไซค์” ที่ทำมาจากน้ำไขสันหลังของมนุษย์ที่มีพลังพิเศษ แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ เพราะเรื่องดำเนินไปโดยมีแค่ตัวละครเก่าหลักๆ คือตัวเอก 2 คนกับ King ตัวร้ายตำรวจคนเดิม (แสดงโดย Alex Mallari Jr.) ซึ่งเรื่องก็โฟกัสวงไว้แคบๆ เป็นแค่เหตุการณ์ตามล่าในสเกลเล็กๆ จากทุนสร้างภาคใหม่ที่ไม่ได้มาก ดูแล้วงานสร้างอยู่ในระดับซีรีส์เล็กๆ แค่ 1-2 ตอนเท่านั้น จึงแทบไม่ได้เห็นฉากแอ็กชั่นที่ใช้พลังพิเศษมาก อาจจะน้อยกว่าเก่าด้วยเพราะภาคแรกคือการพยายามโชว์สกิลพวกนี้เพื่อขายตอนฉายโรง โดยภาคนี้ก็มีพลังไฟฟ้ากับพลังเทเลคิเนซิสของตัวเอกอยู่ให้เห็นบางฉากสั้นๆ ซึ่งบางทีก็ใช้การตัดภาพแทนการแสดงพลังให้เห็นเต็มๆ อีก ส่วนพลังของเด็กสาวก็เป็นแนวควบคุมเครื่องจักร ซึ่งแทบไม่ได้ใช้ CG มาเกี่ยวข้องเลย แต่สิ่งที่ทำได้ดีก็คือพวกงานสร้างไซบอร์กที่เป็นสุนัขตำรวจที่ออกมาเหมือนเอาหุ่นสุนัขจริงๆ มาเล่นเลย และมีบทเป็นตัวสำคัญของภาคนี้ ซึ่งมีโชว์การไล่ล่ากับฉากต่อสู้เยอะ แต่ก็เป็นแค่ศัตรูตามทางที่มีหลายตัวไม่ถึงกับเป็นบอส

ในส่วนของบทหนังมีการพัฒนาที่ดีขึ้น เรื่องเลือกเล่าตัวละครพระเอกรี๊ดในแบบคนดีสุดๆ โดยพยายามช่วยเด็กสาวจากใจจริง แต่ก็ต้องมาร่วมมือกับการ์เร็ตที่เป็นเจ้าพ่อค้ายาไซค์ ซึ่งมีวิถีชีวิตเลี้ยงดูเหล่าเด็กๆ ที่มีพลังพิเศษและดูดน้ำไขสันหลังออกมาขายเพื่อเลี้ยงชุมชน โดยที่จ่ายส่วยให้ King ที่เป็นบอสของเรื่อง ซึ่งเขายืนยันว่าทำไปเพื่อชุมชน แต่เรื่องก็ใช้จุดนี้สับขาหลอกผู้ชมไปมาหลายครั้งว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นฝ่ายไหนกันแน่ และเป็นคนที่ทำเพื่อตัวเองหรือชุมชนอย่างที่เขาบอก ซึ่งก็ทำให้มีฉากหักเหลี่ยมระหว่างทั้ง 3 คนนี้ ซึ่งหนังก็ทำมันออกได้ดีมีช่วงที่บีบให้คั้นให้ผู้ชมเอาใจช่วยตัวละครการ์เร็ตมากกว่าพระเอกซะอีก และก็จบโดยทิ้งปมเรื่องไว้เล็กๆ ต่อภาค 3 กันได้อีก (ซึ่งน่าจะได้ทำต่อ ถ้าดูจากทุนสร้างที่สเกลงานเล็กมากแบบนี้)

สรุปเป็นหนังภาคต่อที่ทำมาลงสตรีมมิ่งโดยเฉพาะได้ดีพอตัว ซึ่งงบการสร้างจำกัดแค่ฟอร์มเล็กๆ ในระดับซีรีส์เท่านั้น จึงไม่ได้มีฉากแอ็กชั่นโชว์ CG พลังพิเศษมาก แต่ไปโฟกัสที่หุ่นสุนัขที่ทำออกมาได้ดีในฐานะศัตรูรายทางประจำเรื่อง เนื้อเรื่องวนอยู่ในวงเล็กแคบๆ กว่าเดิม แต่ก็มีการพัฒนาที่ดีขึ้นกับตัวเอกรองที่ทำออกมาเทาๆ กึ่งดีกึ่งร้ายเพื่อหลอกผู้ชม และก็ทิ้งปมไว้ไปต่อภาค 3 กันต่อไปครับ

 


   

including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!