playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Dark water Netflix ซีรีส์โรคระบาดที่เนื้อเรื่องลึกซับซ้อนถึงก้นบึ้งจิตใจมนุษย์

Dark water

Summary

ซีรีส์เล่าเรื่องโรคระบาดที่มีสถานการณ์แบบเดียวกับโควิด 19 แต่ร้ายแรงกว่ามาก โดยจำกัดเรื่องไว้บนเกาะห่างไกลของอินเดีย และเล่าเรื่องการหาทางเอาชีวิตรอดของหลายตัวละครจากสังคมปิดตายที่เริ่มล่มสลาย โดยมีเนื้อหาที่ลงลึกถึงจิตใจของมนุษย์ได้ดี เนื้อเรื่องลึกหลายอารมณ์และซับซ้อน มีช่วงหักมุมซ้อนกันหลายครั้งในช่วงหลังแบบสไตล์หนังอินเดีย แต่จุดด้อยคือการเล่าเรื่องที่ข้ามช่วงเวลาสำคัญไปหลายครั้ง จนทำให้การดำเนินเรื่องดูกระโดด และก็มีฉากเฉลยเหตุการณ์ที่ยัดใส่มาแบบทื่อๆ จงใจเกินไป แต่ถึงแม้การเล่าเรื่องจะสะดุดมีปัญหาอยู่ ซีรีส์ก็ยังมีความน่าติดตามที่มากพอชวนให้ทดลองรับชมได้เช่นกันครับ

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • โรคระบาดที่มีสถานการณ์แบบเดียวกับโควิด 19 แต่ร้ายแรงกว่า
  • เนื้อเรื่องจำกัดไว้บนเกาะห่างไกลของอินเดีย
  • ตัวละครเยอะและทุกคนมีความลึก
  • หลากหลายอารมณ์
  • มีช่วงหักมุมหลายครั้ง

Cons

  • เล่าเรื่องโดยข้ามช่วงสำคัญหลายครั้ง
  • ใส่ฉากเฉลยมาแบบจงใจจนดูทื่อๆ

Dark water (Kaala Paani) น้ำมรณะ ซีรีส์ อินเดีย Netflix 7 ตอน เรื่องราวบนเกาะเล็กๆ ของอินเดีย เมื่อมีผู้ป่วยด้วยโรคระบาดปริศนามีผื่นดำขึ้นที่หลังคอและตายในเวลาต่อมา ในขณะที่เกาะมีงานเทศกาลรับนักท่องเที่ยวนับแสนคน ทุกคนถูกขังไว้ในเกาะแห่งนี้ และต้องหาทางเอาชีวิตด้วยตัวเองให้ได้
Kaala Paani (2023) on IMDb

 

รีวิว Dark water (Kaala Paani) น้ำมรณะ (ไม่สปอยล์)

เนื้อเรื่องแนวโรคระบาดที่สเกลเรื่องใหญ่กว่าซีรีส์อินเดียทั่วไปมาก แม้จะสร้างเรื่องขึ้นบนเกาะที่ถูกปิดตาย แต่ก็วางเรื่องให้เป็นโรคร้ายที่แพร่ระบาดติดต่อง่ายแบบเดียวกับโควิดที่พร้อมแพร่ไปทั่วโลก (ปีในเรื่องนี้คือ 2027) โดยเป็นแบคทีเรียที่มาจากน้ำประปาบนเกาะ ซึ่งในเรื่องขาดปัจจัยการใช้ชีวิตปกติอย่างมาก ต้องพึ่งพิงจากทางการแบ่งปันมาให้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้เน้นที่ภาพการติดโรคระบาดโดยตรง แต่เน้นการเอาชีวิตรอดไปจากเกาะ ที่ตัวละครทุกคนต่างมีปูมหลังและแรงจูงใจแตกต่างกัน พร้อมกับไขปริศนาของโรคระบาดนี้ไปด้วย

เนื้อเรื่องมีตัวละครหลักมากมายหลายคน ตั้งแต่รองผู้ว่าฯ ตำรวจ หมอ นักวิทยาศาสตร์ ไกด์ทัวร์ ครอบครัวนักท่องเที่ยว แม้แต้คนป่าประจำเกาะ ซึ่งตัวละครทั้งหมดนี้จะถูกเล่าไปพร้อมๆ กับเรื่องราวที่เริ่มเกิดขึ้นในตอน 1 อย่างเงียบๆ โดยใช้เวลาที่ยาวถึง 70 นาที ซึ่งข้อมูลที่เนื้อเรื่องใส่มาก็ไม่ได้ถูกทำให้จดจำมากเพราะจำนวนตัวละครที่ปรากฎเยอะเกินไป และแต่ละคนยังมีปริศนาติดตัวแปลกๆ ที่ใส่เข้ามาตรงๆ ชวนให้งง เพื่อตั้งใจไว้ไปเฉลยในภายหลังอีก ทำให้ตอน 1 ไม่อาจจะเชื้อชวนให้น่าติดตามมาก มีแค่ความพยายามหาต้นตอโรคระบาดของ ดร.ซิงห์ ที่พาให้ผู้ชมติดตามได้เป็นระยะๆ เท่านั้น

หลังจบตอน 1 แล้ว ตอน 2 คือฉากที่เปลี่ยนมาที่งานท่องเที่ยวในเมือง ซีรีส์เริ่มเร่งเครื่องไปไวมาก เมื่อทำให้ทั้งตอนนี้เป็นสเกลเรื่องที่ใหญ่ เมื่อทางการเริ่มจำกัดการระบาดกับนักท่องเที่ยวโดยไม่บอกให้ชัดว่าพวกเขากำลังเจอกับอะไร ทำให้เกิดวิกฤตขึ้นมาในงานนั้นทันที ซึ่งการเดินเรื่องจากที่อืดๆ ในตอนแรกเริ่มระทึกเหมือนหนังซอมบี้เล็กๆ กับฝูงคนจำนวนมากที่พยายามหาทางหนีออกจากเกาะ ซึ่งซีรีส์ฉายภาพสเกลเรื่องที่ใหญ่โตขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งผู้ชมก็คาดหวังสิ่งนี้ไว้กับเนื้อเรื่องระดับนี้อยู่แล้วเช่นกัน

แต่ในตอน 3 เรื่องราวกลับกระโดดข้ามเวลาไป 7 วันเป็นการล็อกดาวน์+เคอร์ฟิว ที่จำกัดฉากที่ใหญ่โตลงมาเหลือแค่เรื่องเล็กๆ ส่วนตัวของแต่ละคนเท่านั้น โดยเป็นการเริ่มเรื่องใหม่แบบสถานการณ์โควิด-19 ที่ทุกคนต้องมีแมสก์ปิดปากเวลาพูดคุยกัน โดยตัวละครจำนวนมากในตอนแรกก็ได้มาเริ่มเรื่องราวที่แท้จริงกันตั้งแต่ตอนนี้ไป ซึ่งแม้จะดูเป็นสเกลเล็กเน้นเรื่องราวการเอาชีวิตรอดในสังคมบนเกาะที่เริ่มล่มสลายจากการถูกตัดขาดจากโลกภายนอกแบบเดียวกับโควิด แต่เนื้อหากลับลงลึกและดีขึ้นเรื่อยๆ โดยตั้งแต่ตอน 4 ไปที่เริ่มเกี่ยวข้องกับคนป่าเพื่อหาที่มาของเชื้อปริศนา และย้อนไปถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้มีตัวละครทหารญี่ปุ่นเพิ่มมากอีก ทำให้เห็นเลยว่าซีรีส์มีเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนกว่าที่เห็นในตอนแรกมาก และก็ผูกเรื่องเข้ากับตัวละครลูสเซอร์ (Loser) ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ทำให้ตัวละครเล็กๆ ในตอนแรกกลายเป็นตัวเอกได้อย่างไม่น่าเชื่อ รวมถึงตัวละครอื่นที่มีเรื่องการไถ่บาป การแก้ไขปมในอดีต ก็เฉลยออกมาได้ดีจนทำให้ทุกตัวละครมีเรื่องเล่าที่ดีตามมา

นอกจากนี้การดำเนินเรื่องยังเน้นการตัดสินใจของตัวละครที่มีทางแยกของศีลธรรมอยู่ตลอดเรื่อง ซึ่งถูกเกริ่นนำไว้เรื่องการสับรางรถไฟชน 5 คนที่ไม่รู้จักกับชน 1 คนที่รู้จักแบบไหนคือการตัดสินใจที่ถูกต้องกว่ากัน มาเป็นเหตุการณ์เลือกว่าใครจะรอด แม่ที่ท้องลูกต้องยอมให้ลูกตายเพื่อรักษาชีวิตตัวเองและคนนับแสน ชีวิตคนป่าหลักร้อยแลกกับชีวิตคนเมืองนับแสนดีกว่าหรือไม่ ซึ่งซีรีส์สร้างสถานการณ์แบบนี้เข้ามาตลอดเรื่อง ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ชมต้องลุ้นกับการตัดสินใจแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ยังถูกวางให้เป็นจุดหักมุมที่ซับซ้อนมากในเวลาต่อมา จนต้องช็อคกับการกระทำของตัวละครที่คาดไม่ถึง ทั้งตัวละครที่ดีและไม่ดีในตอนแรกมีจุดเซอร์ไพรส์หักมุมกันหมด ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้สำรวจลึกลงไปในจิตใจมนุษย์ได้ดีกว่าที่คาดไว้มากเลยทีเดียว

จุดด้อยของเรื่องที่มีปัญหาหลักๆ คือการที่ซีรีส์เลือกเล่าเรื่องแบบกระโดดข้ามหลายอย่างไป อย่างช่วงตอน 2 มาตอน 3 ก็ขาดการเล่าเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกภายนอก ทางการอินเดียส่งของมาช่วยแบบไหน ไม่มีการแสดงไว้ให้เห็นจนเข้าใจ หรือบางตัวละครที่เริ่มป่วย แต่ตัดฉากมาอีกทีก็ตายไปเฉยๆ โดยไม่มีฉากการตายให้เห็น หลายฉากในเรื่องนี้ถูกเล่าแบบข้ามวันจนทำให้เรื่องดูมีปัญหา แม้จะพอเข้าใจได้แต่ก็สะดุดอยู่ตลอด รวมถึงฉากเฉลยความลับก็ถูกแทรกมาตรงๆ จนดูขาดเทคนิคในการนำเสนอไปเลย

 

เนื้อเรื่องของซีรีส์เล่าเรื่องจบปมปัญหาบนเกาะในซีซั่นแรกเกือบทั้งหมด และก็เปิดแนวทางเล่าเรื่องใหม่ในตอนท้ายเป็นสถานที่ใหม่ที่น่าติดตามมาก ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ทำต่อเพราะนี่เป็นซีรีส์อินเดียที่สร้างมาเพื่อขายผลงานวงกว้างบนโลกมากกว่าเรื่องก่อนๆ ของ Netflix มากครับ

including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!