playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Dead Boy Detectives (Netflix) พล็อตนักสืบผีวัยรุ่นจากจักรวาลเดียวกับ The Sandman

Dead Boy Detectives

Summary

ซีรีส์พล็อตผีนักสืบที่เกร่อมาก แต่พอมาจากนีล ไกแมน และเป็นจักรวาลเดียวกับ The Sandman ทำให้เรื่องมีแง่มุมที่สดใหม่ ตัวละครมีมิติที่ลึกมากกว่าพล็อตที่เห็นมาก โดยยังคงเป็นแนววัยรุ่น มิตรภาพ ความรัก การผจญภัย แบบจบปิดเคสในตอน ภายใต้กฏของโลกหลังความตายที่แปลกประหลาดและโดดเด่น โดยยังแทรกปรัชญาชีวิตลงไปเบาๆ แต่ก็ลึกพอกับธีมเรื่องวัยรุ่นนี้ เรื่องมีฉากโหดรุนแรงมาก แต่ไม่ได้มีฉากติดเรตทางเพศเลยสักครั้ง แม้เรื่องจะนำเสนอความรักแบบ LGTBQ ตัวละคร WOKE กันทั้งเรื่อง แต่ก็ทำออกมาได้ดีมาก ไม่ยัดเยียด และจบแบบเรียลลงตัว จนเชื่อว่าผู้ชมที่แม้จะไม่ชอบในจุดนี้ แต่ถ้าดูจนจบเฉลยความสัมพันธ์ทั้งหมดก็น่าจะพอใจได้เช่นกันครับ

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • ซีรีส์จากผลงานของนีล ไกแมน จักรวาลเดียวกับ The Sandman
  • โลกแฟนตาซีหลังความตายที่แปลกและโดดเด่น
  • ปมเรื่องลึกเยอะมาก
  • ความรักแบบ LGTBQ
  • ตัวละครมีรายละเอียดสูงทุกตัว
  • ฉากโหดรุนแรง
  • ไม่มีฉากติดเรตทางเพศ
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • CG ยังไม่เนี๊ยบมากนัก
  • บอสงูยักษ์ตอนท้ายจบแบบง่ายๆ

 

Dead Boy Detectives เดดบอยดีเทคทีฟส์ ซีรีส์แนวสืบสวนแฟนตาซี 8 ตอนจบซีซั่น 1 มีพากย์ไทย สร้างจากหนังสือการ์ตูนของ นีล ไกแมน ผู้สร้าง The Sandman ให้กับ Netflix เรื่องราวของเอ็ดวินและชาลส์ผีเพื่อนรักที่ตั้งสำนักงานนักสืบเพื่อช่วยพวกผีด้วยกัน  จากแม่มดชั่วร้าย นรก และความตาย และด้วยความช่วยเหลือจากสาวที่มีญาณวิเศษชื่อคริสตัล ทั้งคู่จึงไขคดีสุดลี้ลับเหล่านี้ได้
Dead Boy Detectives (2024) on IMDb

 

รีวิว Dead Boy Detectives (ไม่มีสปอยล์)

พล็อตเรื่องนักสืบในโลกหลังความตายอาจจะไม่แปลกใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้โดดเด่นฉีกออกมาได้ก็คือเรื่องนี้เป็นผลงานของนีลไกแมน ซึ่งมีสไตล์เฉพาะตัวที่แปลกประหลาด ผู้ชมที่เคยดูงานของนีลไกแมนแล้วชอบก็คงกลายเป็นแฟนผลงานแน่นอน ซึ่งนีลไกแมนทำอยู่ 2 ค่ายสตรีมมิ่งคือ amazon Prime มี  Good Omens กับ American Gods ส่วน Netflix มี The Sandman กับเรื่องนี้ที่ตามเข้ามา โดยตอนแรกไม่ใช่ผลงานของ Netflix แต่เป็น HBO MAX ทำเพื่อเชื่อมต่อกับซีรีส์ Doom Patrol แต่เนื้อหาของซีรีส์ไม่สอดคล้องกับแผนการของ James Gunn และ Peter Safran ประธานร่วมของ DC Studios ที่กำลังสร้างจักรวาลใหม่อยู่ในตอนนี้ จึงขายให้ Netflix โดย นีล ไกแมน ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการเรื่องนี้ และยืนยันว่าซีรีส์นี้จะอยู่ในจักรวาลเดียวกับซีรีส์ The Sandman อีกด้วย 

ด้วยความที่นี่คือเรื่องราวในโลกเดียวกัน ซีรีส์จึงมีแนวทางที่คล้าย The Sandman มากในเรื่องโลกแฟนตาซีที่แปลกประหลาด แต่สิ่งที่แตกต่างไปอย่างชัดเจนก็คือนี่เป็นซีรีส์วัยรุ่นมากๆ ในสไตล์แบบที่ Netflix ชอบทำออกมาเลย ด้วยเรื่องราวการตื่นรู้เรื่องความรัก+ผจญภัย สืบสวนจบในตอน ทุกตอนคือเป็นเคสคดีประหลาดที่ยำทั้งเรื่องผี ปีศาจ แม่มด ไปจนถึงนรก แบบจบในตอนเลย ซึ่งตัวเอก เอ็ดวินและชาลส์ เป็นผีเพื่อนรักกัน โดยที่เรื่องเริ่มมาโดยไม่ปูรายละเอียดให้ผู้ชมรู้แบ็คกราวด์ที่มาของทั้งคู่เลย ก่อนจะกระโจนเข้าสู่โลกสืบสวนนี้ทันทีกับตัวละครสาวที่มีญาณวิเศษชื่อคริสตัล ซึ่งต่อจากนี้คือเรื่องราวความรักหลายเส้าของตัวเอกทั้ง 3 คน โดยมีตัวละครใหม่จากโลกปีศาจกับลูกสมุนศัตรูร้ายตามมาหลงรักภายหลังอีก นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวความรักของตัวละครสมทบในรูปแบบอื่นอีก ซึ่งซีรีส์เล่นเรื่องความรักเหล่านี้ในแบบที่ดูภายนอกแล้ว WOKE ชัดเจน เป็นชายรักชายเยอะกว่าชายรักหญิง หรือหญิงรักหญิง แต่มันหาทางเคลียร์ประเด็นความรักทั้งหมดได้อย่างนุ่มนวล โดย ไม่มีฉากติดเรตเปลือยกายให้เห็น ไม่ยัดเยียด มีความเรียลไปกับเรื่องราวที่ควรจะเป็น โดยเนื้อหาความรักนี้ก็แทรกผสมปนไปกับการสืบคดีในแต่ละเคสได้อย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเรื่องเดียวกันในแต่ละตอนได้อย่างดีงามมาก จนเชื่อว่าผู้ชมที่แม้จะไม่ชอบในจุดนี้ แต่ถ้าดูจนจบเฉลยความสัมพันธ์ทั้งหมดก็น่าจะพอใจได้เช่นกัน 

และการที่เรื่องนี้เป็นผลงานของ DC มาก่อน จึงมีความดาร์คมากกว่า  The Sandman ในระดับหนึ่ง อย่างปีศาจในตอน 3 ที่เป็นบ้านผีสิงก็มีฉากฆาตกรรมหมู่ครอบครัวซ้ำไปซ้ำมากับปีศาจที่คล้ายนางพยาบาลในไซเรนฮิลไซเรนฮิลซึ่งน่ากลัวมาก หรือฉากคนตายโหดๆ ที่ไม่มีเซ็นเซอร์เลย แต่เรื่องส่วนใหญ่จะเป็นการพบกับสิ่งมีชีวิตในโลกวิญญาณที่มาทำร้ายคนกับผีที่สิงอยู่ในที่แห่งนั้น โดยที่ตัวเอกมีอุปกรณ์การสืบสวนพิเศษของตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็ฉีกกฏผีหลายอย่าง ผีในเรื่องสามารถจับต้องวัตถุกับตัวคนได้เลย และยังออกมาในตอนกลางวันได้ปกติกันหมด เพียงแต่คนที่จะเห็นได้คือพวกมีพลังหรือผ่านการเฉียดความตายมาเท่านั้น ซึ่งจริงๆ แล้วก็แทบไม่รู้สึกว่าทั้งคู่เป็นผีเลยด้วยซ้ำ ซึ่ง 2 คนนี้มีแค่ฉากเดินผ่านมิติทางกระจกเท่านั้นที่ดูเหนือธรรมชาติ และเรื่องก็นำกฏนี้มาเป็นตัวล็อคไว้ให้ทั้งคู่มาอยู่อเมริกากลับไปยังลอนดอนไม่ได้ กลายเป็นต้องเปิดสำนักงานนักสืบชั่วคราวขึ้นที่นี่แทน ก่อนซีซั่น 2 จะกลับไปลอนดอนอีกครั้ง (ในต้นฉบับเรื่องนี้สถานที่คืออังกฤษ) 

 

สิ่งที่เรื่องนี้แปลกแตกต่างไปอีกคือการใส่ปมเงื่อนไขบอสไว้หลายตัวแยกกันเป็นคนๆ ไป โดยมีปีศาจที่ขโมยความจำของคริสตัล, แม่มดที่อาศัยในเมืองมานานตั้งแต่ยุคแรก, พนักงานจากนรกที่มาตามพวกเขากลับ และราชาแมวที่ล็อคตัวพวกเขาไว้ ตัวละครทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับเคสที่สืบสวนโดยตรง แต่เป็นศัตรูร้ายที่ปราบไม่ได้และคอยโผล่มารบกวนเป็นระยะๆ แล้วเรื่องก็ค่อยๆ พัฒนาให้ตัวเอกแต่ละคนมีช่วงเวลาที่ต่อสู้กลับ ในช่วงที่ทำคดีในแต่ละตอน  และบอสบางตัวก็ถูกนำเสนอเรื่องราวให้ลึกมีมิติขึ้นไปอีก กลายเป็นตัวละครสำคัญมากกว่าตอนแรก โดยที่มีค้างบางปมทิ้งไว้ไปต่อในภายหลังได้อีก 

ส่วนแนวคิดปรัชญาในเรื่องนี้อาจจะไม่ถึงกับเข้มข้นแบบ The Sandman ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีกว่าเพราะทำให้เรื่องไม่หนัก แล้วก็สอดคล้องกับการเล่าเรื่องราวซีรีส์วัยรุ่นได้ดีกว่า ซึ่งเรื่องก็แทรกสิ่งเหล่านี้มาได้อย่างแนบเนียน อย่างการเฉลยความตายของตัวเอกทั้งคู่ที่มีปมถูกบูลลี่ในโรงเรียน แต่เรื่องก็ฉีกแนวให้ตัวละครที่บูลลี่ได้ชดใช้กรรมที่เขาเองก็รู้สำนึกว่ามันคือความผิดพลาดวัยเด็ก แต่ความรู้สึกนี้อยู่ในใจก็ทำให้ตกนรกไปตลอดกาล หรือตัวละครจากนรกที่มาตามตัวเอกกลับโดยหน้าที่ก็ถูกนำเสนอว่าเป็นคนยึดติดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งเรื่องสะท้อนวิธีคิดหาทางออกจากปมชีวิตต่างๆ ของทุกตัวละครได้ดีแบบฉีกแนว ไม่เกร่อและก็มีจุดหักมุม ที่ทำให้เรื่องมีทางต่อยอดไปได้ไกลขึ้นไปอีกด้วยครับ

สรุป ซีรีส์พล็อตผีนักสืบที่เกร่อมาก แต่พอมาจากนีล ไกแมน และเป็นจักรวาลเดียวกับ The Sandman ทำให้เรื่องมีแง่มุมที่สดใหม่ ตัวละครมีมิติที่ลึกมากกว่าพล็อตที่เห็นมาก โดยยังคงเป็นแนววัยรุ่น มิตรภาพ ความรัก การผจญภัย แบบจบปิดเคสในตอน ภายใต้กฏของโลกหลังความตายที่แปลกประหลาดและโดดเด่น โดยยังแทรกปรัชญาชีวิตลงไปเบาๆ แต่ก็ลึกพอกับธีมเรื่องวัยรุ่นนี้ เรื่องมีฉากโหดรุนแรงมาก แต่ไม่ได้มีฉากติดเรตทางเพศเลยสักครั้ง แม้เรื่องจะนำเสนอความรักแบบ LGTBQ ตัวละคร WOKE กันทั้งเรื่อง แต่ก็ทำออกมาได้ดีมาก ไม่ยัดเยียด และจบแบบเรียลลงตัว จนเชื่อว่าผู้ชมที่แม้จะไม่ชอบในจุดนี้ แต่ถ้าดูจนจบเฉลยความสัมพันธ์ทั้งหมดก็น่าจะพอใจได้เช่นกันครับ

รวมรีวิว Netflix คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!