playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Expats (Prime) ดราม่าโศกนาฏกรรมเรียบๆ แต่ลุ่มลึกของผู้หญิง 3 เชื้อชาติในฮ่องกง

Expats

Summary

ซีรีส์เล่าเรื่องชาวต่างชาติจากอเมริกาที่มี 3 เชื้อชาติในฮ่องกง โดยผูกเรื่องจากผลการกระทำผิดพลาดครั้งเดียวแล้วก่อให้เกิดผลกระทบกับทั้ง 3 คนร่วมกัน เป็นแนวดราม่าที่เล่าเรื่องนิ่งๆ เรียบๆ แบบลุ่มลึกเรียลๆ ไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีจุดหักมุมหรือมีการสืบสวนคดีที่เกิดขึ้น แต่จุดเด่นคือการทำให้เห็นชีวิตของคนต่างชาติในสังคมฮ่องกงที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติมาก โดยเฉพาะช่วงเวลาของการประท้วงม็อบฮ่องกงที่ซีรีส์เน้นย้ำให้เห็นชีวิตสองด้านที่แตกต่างของชาวฮ่องกงจริงๆ กับชาวต่างชาติที่มาอยู่ ซึ่งนี่คือจุดที่ดีสุดของซีรีส์เรื่องนี้ที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นครับ

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • วิถีชีวิตคนอเมริกัน 3 เชื้อชาติในสังคมวัฒนธรรมฮ่องกง
  • ดราม่าเรียบๆ ลุ่มลึก
  • ช่วงเวลาการประท้วงของม็อบฮ่องกง
  • นักแสดงเล่นได้เยี่ยมยอดมาก
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • เนื้อเรื่องเล่าแบบเนิบๆ กินเวลายาวนานมากจนเกินไป
  • แทบไม่ให้อารมณ์แบบอื่นเลยนอกจากดราม่าเรียบๆ

Expats ต่างชาติ ต่างชั้น ซีรีส์ Amazon Prime 6 ตอนจบ มีพากย์ไทย เรื่องราวของผู้หญิงอเมริกัน 3 คน 3 เชื้อชาติในฮ่องกง ที่ทั้ง 3 คนมีปูมหลังที่เกี่ยวพันกันเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่ไม่น่าเกิดขึ้น

Expats (2023) on IMDb

รีวิว Expats ต่างชาติ ต่างชั้น  (ไม่สปอยล์)

ซีรีส์จาก Lulu Wang ผู้กำกับชาวจีน จากผลงาน The Farewell (ชื่อไทย กอดสุดท้าย คุณยายที่รัก) เล่าเรื่องสาวจีนที่เติบโตในอเมริกาและต้องกลับไปเยี่ยมอาม่าที่จีน โดยเรื่องนี้ก็เป็นผลงานที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับคนจีนและวัฒนธรรมจีนเหมือนกัน แต่เป็นโลเกชั่นในฮ่องกง ผ่านตัวละครชาวผู้หญิงต่างชาติจากอเมริกา 3 คนที่มีเชื้อชาติแตกต่างกัน โดย มาร์กาเร็ต (เล่นโดย Nicole Kidman) เป็นคนอเมริกันที่แต่งกับคนจีนมีลูก 3 คน ฮิลลารี่ (เล่นโดย Sarayu Blue) คนอินเดียที่แต่งงานกับคนอเมริกัน เมอร์ซี่ (เล่นโดย Ji-young Yoo) สาวเกาหลีที่มาใช้ชีวิตทำงานท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ 

เนื้อเรื่องเปิดให้เห็นตั้งแต่แรกว่าทั้ง 3 คนรู้จักกันมาก่อน แต่กลับมาเจอกันในงานเลี้ยง 1 ปี โดยมาร์กาเร็ตตามหาตัวเมอร์ซี่เจอในงานโดยบังเอิญ และพยายามไล่ตามเธอแต่ไม่ทัน ซึ่งเรื่องได้ทำให้เห็นเป็นปริศนาว่าเมอร์ซี่ทำผิดอะไรสักอย่างถึงหนีไป ก่อนที่เรื่องจะย้อนกลับไปเล่าเรื่องตั้งแต่การพบกันครั้งแรก เมื่อ 1 ปีก่อน ซึ่งซีรีส์ใช้เวลา 2 ตอนเต็มเพื่อบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของทุกคนให้เห็นว่า ชีวิตของมาร์กาเร็ตนั้นมีความสุขดีแค่ไหนกับครอบครัวแสนอบอุ่นลูก 3 คน ฮิลลารี่ก็มีหน้าที่การงานที่ดีกับแฟนหนุ่ม เมอร์ซี่เองก็ยังเป็นสาวห้าวๆ ที่ท่องเที่ยวท้าทายโลกผ่านเรื่องเสี่ยงๆ ซึ่งการกระทำนี้เองทำให้เธอกับมาร์กาเร็ตได้มาสนิทกัน ก่อนที่จะกลายเป็นความผิดพลาดเพียงชั่วขณะเดียวที่ทำร้ายทุกคนไปตลอด

///เนื้อหาส่วนนี้สปอยล์ความลับตอน 2///

พอเรื่องจริงได้เผยว่าสิ่งที่เมอร์ซี่ก่อนั้นก็คือการทำลูกชายคนเล็กของมาร์กาเร็ตหายไป (โดนแก๊งลักเด็กพาตัวไป) จากการที่แค่หยิบมือถือขึ้นมาตอบแชทและปล่อยมือเด็กคนนั้นไปชั่วครู่  เนื้อเรื่องก็หันมาเล่าถึงชีวิตปัจจุบันหลังจากนั้นว่าสิ่งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบอะไรตามมา มาร์กาเร็ตกลายเป็นแม่ที่มีอาการวิตกจริตกับทุกอย่าง กลัวลูกที่เหลือจะหายไปอีก และไม่มีความสุขในชีวิตอีกเลย ซึ่งทำให้สามีของเธอก็ตรอมใจตามไปด้วย ซึ่งอาการลึกๆ หนักกว่ามาร์กาเร็ตเสียอีก เมอร์ซี่เองที่ทำผิดพลาดและไม่ได้โดนคดีอะไรกลับทำผิดซ้ำเมื่อสามีของฮิลลารี่มาปลอบและได้เสียกันต่อเนื่องจนทำให้ครอบครัวของฮิลลารี่แตกสลายตามไปอีกคน 

///////

เนื้อเรื่องหลักก็คือผลของความผิดเพียงครั้งเดียวที่ลุกลามไปเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดจบ และจบไม่ได้ด้วย เรื่องไม่ได้นำเสนอไปในทางว่าค้นหาคดีที่เกิดขึ้น (มีเกี่ยวข้องโดยตรงแค่ตอนเดียวคือตอน 4 แต่ก็แค่ส่วนของมาร์กาเร็ต) แต่นำเสนอเรื่องราวชีวิตแตกร้าวของ 3 คนแบบเรียบๆ ไม่ได้มีจุดหักมุมหรือจุดพีค โดยมีภาพการใช้ชีวิตในฮ่องกงที่ปะปนไปกับคนจีนและคนหลายเชื้อชาติที่มาทำงานที่นี่ (ในเรื่องมีการใช้หลายภาษาด้วยทั้งจีน อังกฤษ เกาหลี ฟิลิปปินส์ แต่จะพากย์ไทยเมื่อตัวละครพูดอังกฤษ) ว่าเป็นการใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากสังคมอเมริกามากแค่ไหน อย่างการใช้ชีวิตในโรงแรมตลอดแบบฟูฟ่าจนเคยตัวเพราะค่าเงินที่มากกว่า ซึ่งถ้ามีบ้านก็มีคนรับใช้ที่กลายมาเป็นประเด็นโต้เถียงถึงความรับผิดชอบในบ้านที่ปกติคนอเมริกันต้องร่วมกันทำ แต่พอมีแล้วก็ติดสบายจนเสียความรับผิดชอบทุกอย่างตามไปด้วย หรือคนรับใช้ที่เลี้ยงลูกของมาร์กาเร็ตอย่างดีจนเป็นเหมือนแม่อีกคนที่ดีกว่าแม่จริงๆ ที่จิตใจแตกสลายอยู่ตลอดเวลา 

ส่วนเมอร์ซี่ก็คือตัวละครสาวที่ใช้ชีวิตแบบเหลวแหลกในสังคมหนุ่มสาวชาวฮ่องช่วงช่วงที่มีม็อบใหญ่ปี 2019 กับการประท้วงด้วยภาพลักษณ์ร่มหลากสี ซึ่งทำให้เห็นว่าการกระท้วงครั้งส่งผลกระทบรุนแรงกับผู้คนที่พยายามลุกขึ้นต่อสู้กับทางการจีน แต่อีกด้านในสังคมใหญ่ก็มีคนที่ไม่ได้สนใจอะไรและมีปัญหาของตัวเอง อย่างชาวต่างชาติตัวเอกทั้ง 3 คนพบเจอ หรือรับรู้แต่ไม่อิน เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมกับประวัติศาสตร์นี้เลย ซึ่งเรื่องมีตอนนี้โดยเฉพาะที่ตอน 5 ยาวถึง 1 ชั่วโมง 40 นาทีจนแทบจะเป็นหนังเรื่องหนึ่งเลยครับ

 

ซีรีส์มีประเด็นของเรื่องที่ดี รวมถึงนักแสดงทั้ง 3 คนที่ทำได้เยี่ยมยอดมากๆ กับ 3 บทบาทที่แตกต่างกันไปหมด ผู้ชมจะได้รู้สึกหดหู่ไปกับชีวิตของมาร์กาเร็ตที่พยายามเป็นแม่ที่ดี แต่ทำยังไงก็ทำไม่ได้เมื่อสิ่งที่เจอนั้นคือความสูญเสียต้องตามหากันตลอดไป ฮิลลารี่คือผู้หญิงอินเดียที่ผ่านการต่อสู้ในสังคมอเมริกันที่เธอถูกบูลลี่มาตลอด จนขึ้นมาเป็นคนเลี้ยงดูตัวเองได้ แต่ก็ไม่มีลูกทำให้สามีนอกใจ ไม่มีความสุขในชีวิตที่ภายนอกดูดี แต่ภายในครอบครัวแตกสลายไปนานแล้ว เมอร์ซี่คือตัวละครหญิงสาวเกาหลีที่ชีวิตแย่แบบตกต่ำไม่มีอนาคตในต่างประเทศ เธอเล่นจนผู้ชมต้องรู้สึกรังเกียจกับการกระทำแย่ๆ ตลอดของเธอที่ทำซ้ำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ทั้งนี้คือผลกระทบจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากความประมาทตามวัยของเธอเอง ไม่ใช่ความผิดแบบเจตนาให้เกิด ซึ่งเรื่องตอนท้ายคือช่วงไถ่ถอนความรู้สึกผิดของทั้ง 3 คนที่ค้างคามานาน และเป็นฉากจบแบบเปิดกว้างให้ชีวิตต้องเดินต่อไป 

จุดด้อยจริงๆ ก็คือนี่เป็นซีรีส์ที่ขายสไตล์ผู้กำกับที่ถ่ายทอดเรื่องราวดราม่าแบบเรียบๆ ลุ่มลึก โดยไม่มีฉากตื่นเต้น หวือหวา หรือแม้แต่ประทับใจมากๆ ก็ไม่มี ทุกอย่างดูเรียบ นิ่ง แม้ตัวละครจะมีอารมณ์โกรธมาก แต่เรื่องก็ไม่ทำให้ลุกลามไปไหนมากกว่าแค่ฉากมีปากเสียงทะเลาะกันในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่สนุกกับผู้ชมทั่วไปนัก แต่ก็เป็นการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเรียลตามจริง ปัญหาจริงๆ คือความเป็นซีรีส์ที่ยาวมากทำให้การเล่าเรื่องแบบนี้ดูแล้วเหนื่อยเมื่อเทียบกับผลงานหนังของเธอที่กระชับและมีจุดคลิ๊กกับผู้ชมได้ง่ายกว่าครับ

 

สรุปซีรีส์เล่าเรื่องชาวต่างชาติจากอเมริกาที่มี 3 เชื้อชาติในฮ่องกง โดยผูกเรื่องจากผลการกระทำผิดพลาดครั้งเดียวแล้วก่อให้เกิดผลกระทบกับทั้ง 3 คนร่วมกัน เป็นแนวดราม่าที่เล่าเรื่องนิ่งๆ เรียบๆ แบบลุ่มลึกเรียลๆ ไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีจุดหักมุมหรือมีการสืบสวนคดีที่เกิดขึ้น แต่จุดเด่นคือการทำให้เห็นชีวิตของคนต่างชาติในสังคมฮ่องกงที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติมาก โดยเฉพาะช่วงเวลาของการประท้วงม็อบฮ่องกงที่ซีรีส์เน้นย้ำให้เห็นชีวิตสองด้านที่แตกต่างของชาวฮ่องกงจริงๆ กับชาวต่างชาติที่มาอยู่ ซึ่งนี่คือจุดที่ดีสุดของซีรีส์เรื่องนี้ที่เป็นเหมือนกระจกสะท้อนเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นครับ

 


including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!