playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Good Omens SS2 เปลี่ยนจากวันสิ้นโลกมาแนวรักเต็มตัวตามสไตล์ นีล ไกแมน ที่แท้ทรู!

Good Omens Season 2

Summary

นี่คือผลงานที่แท้จริงของ  นีล ไกแมน เป๊ะ 1000% ซึ่งแตกต่างไปจากซีซั่นแรกค่อนข้างมากในเรื่องที่ไม่ใช่แนววันสิ้นโลก ไม่มีฉากแอ็กชั่น แต่เป็นการเล่าเรื่องความรัก ดราม่า ชีวิตของตัวละครทั้งสวรรค์กับนรกในแบบที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ไปเลย แต่ก็คงทำให้ผู้ชมที่ชื่นชอบแนวเรื่องแบบนี้กรี๊ดมากขึ้นไปอีก หรือผู้ชมที่ชอบนักเขียนคนนี้อยู่แล้วก็คงพอใจเช่นกัน แต่ถ้าไม่ใช่ก็คงบ้ายบายเลยกับเรื่องนี้ที่จบแบบมีต่อชัดเจน ซึ่งนี่เป็นงานที่คัดคนดูกันตรงๆ เลยนั่นแหละครับ!

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
4.5 (4 votes)

Pros

  • แนวรักสุดตัวต่างจากภาคแรก
  • เต็มไปด้วยเรื่องราวแบบ LGTBQ
  • ตลกเสียดสีแบบน่ารัก
  • CG ดีขึ้นกว่าภาคแรก
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • หลายมุกตลกอาจจะลึกเกินไป
  • ไม่เน้นให้มีฉากแอ็กชั่น
  • ไม่ใช่ซีรีส์ทุนสูง

Good Omens SS2  ซีรีส์ Amazon Prime  6 ตอนจบ มีพากย์ไทย เรื่องราวชีวิตภาคต่อของอซิราเฟลกับโครวลีย์ ที่หลงไหลในชีวิตบนโลกมนุษย์จนไม่ยอมทำตามกฎของทั้งสวรรค์และนรก เหมือนเดิม!

 

รีวิว Good Omens SS2 (มีสปอยล์เนื้อหาบางส่วน)

ภาคต่อของซีรีส์จากนักเขียนยอดฝีมือ นีล ไกแมน (Neil Gaiman) ซึ่งหลายคนพึ่งมารู้จักเขาในวงกว้างจากซีรีส์  The Sandman ของ Netflix ส่วนคนดู Prime ก็คงรู้จักเขามาก่อนแล้วจากเรื่องนี้กับ American Gods ซึ่งเอาผลงานของเขาไปแต่งต่อเองจนถึงซีซั่น 3 แต่ใน Good Omens ซีซั่น 1 เขายังเป็นแค่นักเขียนคู่กับ Terry Pratchett ซึ่งตอนนี้เสียชีวิตแล้วตั้งแต่ปี 2015 จึงไม่มีหนังสือภาคต่อของเรื่องนี้ออกมาอีกด้วย แต่ด้วยความที่ซีรีส์สร้างความนิยมได้สูงมาก โดยเฉพาะประเด็น LGBTQ ของ 2 ตัวเอก อซิราเฟลกับโครวลีย์ ทูตสวรรค์และปีศาจนรก ที่ดูยังไงก็มากกว่าเพื่อน แต่ก็ไม่ถึงกับมีความเกย์ให้เห็นในซีซั่น 1 ให้เห็นชัด เหล่าแฟนด้อมของเรื่องจึงจิ้นกันไปต่อเองมากมาย จนกลายเป็นจุดขายของซีรีส์เรื่องนี้ไปโดยปริยาย และถ้าใครตามประเด็นของ The Sandman มาก็คงรู้เรื่องดราม่า WOKE ที่ Neil เองถึงกับออกมาพูดถึงผู้ชมที่ไม่ชอบเรื่องราวพวกนี้ ซึ่งมันเป็นประเด็นสมัยใหม่ทั่วโลกที่มีทั้งคนรักและคนเกลียด การมาของเรื่องนี้ในซีซั่น 2 ที่เขาได้ลงมือทำเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เป็นทั้ง โชว์รันเนอร์และเขียนบท ทำให้เขาสามารถกำหนดทิศทางทุกอย่างได้ดังใจ และก็กลายมาเป็นซีรีส์ที่เป็นทุกอย่างของ นีล ไกแมน แท้จริงขึ้นไปอีก!

ซีรีส์เล่าเรื่องราวต่อจากซีซั่น 1 ผ่านไป 3-4 ปี กาเบรียลฑูตสวรรค์ชั้นสูงสุดได้ลงมาหา อซิราเฟลกับโครวลีย์ ในสภาพตัวเปล่ากับความทรงจำหายไป ทั้งคู่จึงต้องสืบหาต้นเหตุของเหตุการณ์นี้เพื่อหยุดยั้งหายนะที่อาจจะเกิดขึ้น แต่บอกเลยว่าภาคนี้ไม่มีเรื่องราววันสิ้นโลกอะไรอีกแล้ว แม้จะยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับตรงนี้อยู่ก็ตาม แต่เนื้อเรื่องหันไปโฟกัสเรื่องความรักของตัวละคร 2 คู่ คู่แรกคือ อซิราเฟลกับโครวลีย์ ที่ไม่ชัดในภาคแรก มาภาคนี้เจาะกันไปให้ชัดๆ ตั้งแต่เริ่มนาทีแรกของเรื่องด้วยฉากกำเนิดจักรวาลที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน และเริ่มมีความผูกพันกันตั้งแต่นั้นมา ตัวเรื่องจึงใส่เรื่องราวย้อนอดีตในแต่ละยุคสมัยจากไบเบิลจนถึงสงครามโลกนาซีแบบตีความใหม่สไตล์  นีล ไกแมน โดยที่แต่ละช่วงก็จะมีภารกิจกับตัวตนที่ต่างกันออกไป แต่ทุกภารกิจก็คือจุดไต่ระดับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้เห็นมากขึ้นๆ มาตลอด ซึ่งทั้งน่ารักและฮาไปพร้อมกัน 

ส่วนคู่ที่ 2 คือ สาวเจ้าของร้านแผ่นเสียงเก่ากับสาวเจ้าของร้านกาแฟ ที่ตัวเรื่องโฟกัสไปที่สองตัวละคนนี้ชัดเจนตั้งแต่แรก และก็ใส่ภารกิจของอซิราเฟลกับโครวลีย์มาช่วยทำให้ทั้งคู่รักกันให้ได้ เพื่อตั้งใจหลอกสวรรค์ถึงปาฎิหาริย์ที่โกหกว่าทำลงไป (เรื่องจริงคือปาฎิหาริย์เพื่อปกปิดกาเบรียลไม่ให้ทั้งสวรรค์และนรกจำหน้าตาเขาได้) ตรงนี้ก็จะเป็นเหตุการณ์ที่ทั้งอซิราเฟลกับโครวลีย์มีมุมมองเรื่องความรักของมนุษย์คนละแบบ ต่างคนต่างก็พยายามทำตามที่ตัวเองคิด ซึ่งจริงๆ ก็มาจากนิยายกับภาพยนตร์ในโลกมนุษย์ที่ทั้งคู่หลงไหลนั่นเองแหละครับ แต่เนื้อเรื่องตรงนี้จะจริงจังกว่ามาก และมีมุมมองของมนุษย์มาเปรียบเทียบด้วย

ตัวเรื่องเน้นเล่นประเด็นความรักของทั้งคู่เป็นแกนหลักของเรื่อง โดยใช้การสืบสวนตามหาความทรงจำจากคำใบ้ของกาเบรียลนิดๆ หน่อยๆ ซึ่งผู้ชมก็หวังว่ามันจะนำไปสู่การเฉลยเรื่องราวแนวๆ วันสิ้นโลกครั้งที่ 2 ที่เรื่องเกริ่นไว้ โดยที่การสืบสวนของอซิราเฟลกับโครวลีย์ก็เกี่ยวพันกับทั้งสวรรค์และนรกจนชวนให้คิดแบบนั้นด้วย แต่ความจริงกลายเป็นการซ้อนเรื่องราวไว้อีกชั้น และก็นำไปสู่การเฉลยความลับเรื่องความรักทั้งหมดทุกคู่ในตอนจบ ที่ผู้เขียนชอบไอเดียนี้แบบยกนิ้วให้เลย แต่หลายคนที่ไม่อินกับประเด็นนี้ก็อาจจะบายเรื่องนี้ไปได้ทันทีเช่นกัน เพราะมันไม่มีฉากแอ็กชั่นใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นการเดินเรื่องและจบแบบต่างจากภาคแรกแบบสุดขั้วกันไปเลยทีเดียว ซึ่งถ้าไม่ใช่  นีล ไกแมน ทำเองก็คงยากที่จะออกมาแบบนี้ได้ และก็ต้องวัดกันด้วยว่าภาคต่อไปที่เรื่องทิ้งท้ายไว้จะมีผู้ชมมากขึ้นหรือลดลงกันแน่ครับ

 

ส่วนประเด็นเรื่อง CG ในซีซั่นแรกที่ดูไม่ดีมาก มาภาคนี้ถือว่ามีความตั้งใจทำให้ดีกว่าเยอะ ฉากสร้างโลกตอนแรกกับโอเพนนิ่งนี่ดูดีมากเลย แต่ส่วนอื่นๆ จะพยายามลดต้นทุนด้วยการเปลี่ยนฉาก หลบมุม ต่างๆ นาๆ แต่โดยรวมก็เข้าใจได้เพราะนี่เป็นผลงานแท้ๆ ของ  นีล ไกแมน ที่เน้นความเจ๋งของไอเดียตลกร้ายเสียดสีแบบน่ารักๆ มากกว่าจะมาโฟกัสที่งาน CG ต้องเลิศเพราะนี่ไม่ใช่ผลงานทุนสูงแบบ The Sandman ด้วยครับ 

สรุปนี่คือผลงานที่แท้จริงของ นีล ไกแมน เป๊ะ 1000% ซึ่งแตกต่างไปจากซีซั่นแรกค่อนข้างมากในเรื่องที่ไม่ใช่แนววันสิ้นโลก ไม่มีฉากแอ็กชั่น แต่เป็นการเล่าเรื่องความรัก ดราม่า ชีวิตของตัวละครทั้งสวรรค์กับนรกในแบบที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ไปเลย แต่ก็คงทำให้ผู้ชมที่ชื่นชอบแนวเรื่องแบบนี้กรี๊ดมากขึ้นไปอีก หรือผู้ชมที่ชอบนักเขียนคนนี้อยู่แล้วก็คงพอใจเช่นกัน แต่ถ้าไม่ใช่ก็คงบ้ายบายเลยกับเรื่องนี้ที่จบแบบมีต่อชัดเจน ซึ่งนี่เป็นงานที่คัดคนดูกันตรงๆ เลยนั่นแหละครับ!

 

including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!