playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว I’m A Virgo แนว Coming of Age ผสมพลังพิเศษที่ถูกเล่าแบบหนังคัลท์หลุดโลก

I'm A Virgo

Summary

ซีรีส์ที่มีไอเดียตั้งต้นได้แปลกพิดาร ร่วมกับการนำเสนอในแนวคัลท์จนชวนปวดหัว หลายอย่างในเรื่องถูกใส่เข้ามาแบบหลุดโลกและเข้าใจได้ยาก โดยเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองและทุนนิยมในมุมมองของคนผิวดำ ซึ่งทำให้เป็นเนื้อหาเฉพาะกลุ่มเข้าใจได้ยากเข้าไปอีก ส่วนนี้ทำให้เรื่องดูไม่สนุก แต่ว่าในส่วนของตัวละครที่มีพลังพิเศษกลับมีการนำเสนอพลังแบบแปลกๆ ที่เข้าท่าไปกันได้กับเรื่องมาก และก็เป็นส่วนที่ช่วยดึงรั้งให้ชมได้จนจบ ซึ่งจะลองดูก็ได้ไม่เสียเวลามาก เพราะแต่ละตอนยาวประมาณ 25-30 นาทีเท่านั้นครับ (แต่ตอนจบค้างคาเรื่องไว้ไปต่อซีซั่น 2 เยอะ)

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • แนว Coming of Age ผสมพลังพิเศษ
  • พลังพิเศษในเรื่องมีความแปลก
  • ตลกเสียดสีหลายอย่าง

Cons

  • เล่าเรื่องแบบหนังคัลท์มากจนไม่สนุก
  • จบแบบค้างเรื่องไว้ไปต่อเยอะ

I’m A Virgo ข้าราศีกันย์ ซีรีส์ 7 ตอน ของ Amazon Prime เรื่องราวของเด็กยักษ์สูง 4 เมตรที่ออกมาเผชิญโลกภายนอก หลังถูกพ่อแม่เลี้ยงไว้ในบ้านมาตลอด 18 ปี และต้องพบกับผู้คนในสังคมที่ทั้งดีและร้าย รวมถึงซูเปอร์ฮีโร่ที่เขาชื่นชอบมาตลอด แต่กลับถูกมองว่าเขาเป็นภัยต่อสังคม

I'm a Virgo (2023) on IMDb

 

รีวิว I’m A Virgo (ไม่สปอยล์)

ซีรีส์ที่มีไอเดียตั้งต้นได้แปลกพิดารมาก ซึ่งถ้าดูเรื่องย่อก็อาจจะเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นแนว Coming of Age ผสมซูเปอร์ฮีโร่ แต่เรื่องราวจริงๆ กลับไม่ใช่แบบที่เห็น แม้เรื่องราวการเติบโตของตัวละครเด็กยักษ์ที่ชื่อว่า Cootie  (รับบทโดย Jharrel Jerome นักแสดงเด็กยอดฝีมือจากซีรีส์ When They See Us ของ Netflix และเป็นคนพากษ์เสียง Spider-Man: Across the Spider-Verse) จะเกี่ยวข้องกับช่วงการเรียนรู้เปลี่ยนผ่านวัย การมีเพื่อนครั้งแรก การตกหลุมรักผู้หญิง การทำงานหาเงิน เป็นซีรีส์วัยรุ่นที่เอาเรื่องเด็กยักษ์ที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไม่เคยพบเจอโลกภายนอกมาเล่นได้อย่างน่าสนใจ แต่เรื่องราวในส่วนนี้กลับถูกลดทอนความสำคัญลงไปมาก เมื่อผู้สร้างเลือกเล่าเรื่องเป็นแนวทางการเมือง สะท้อนเรื่องราวของคนดำกับทุนนิยม แล้วยังใช้การเล่าเรื่องแบบหนังคัลท์ (Cult) ที่นึกอยากให้มีอะไรก็ใส่เข้ามาแบบหลุดโลกไปเลย โดยไม่สนใจว่าผู้ชมจะเข้าใจสิ่งนั้นเลยหรือไม่ ซึ่งชวนให้ผู้ชมงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องมาก ถึงขนาดที่ว่าทาง amazon prime ต้องมีส่วนเสริมอธิบายเรื่องราวในแต่ละตอนจากผู้สร้าง Boots Riley อีกทีถึงจะเข้าใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร และสะท้อนมุมมองปัญหาสังคมแบบไหน ทำให้การรับชมซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแนวบันเทิงอย่างที่คิด

แต่ถึงตัวเรื่องจะถูกเล่าออกมาแบบหนังคัลท์จนทำให้ไม่สนุก เข้าถึงยาก ตัวเรื่องก็ยังมีส่วนที่ดูแล้วสนุกและน่าชมเชยอยู่ นั่นก็คือส่วนของซูเปอร์ฮีโร่ที่ทำออกมาฉีกแนวล้อเลียนเสียดสีแบบ The Boys แต่ก็มีความแตกต่าง โดยในเรื่องนี้มีตัวละครที่เปิดเผยมาตั้งแต่แรกก็คือ The Hero วายร้ายประจำเรื่องที่แสดงบทเป็นฮีโร่ประจำเมือง โดยล้อเลียนทุกอย่างของ Iron man มาปรับใช้แบบตลกๆ เขาเป็นมหาเศรษฐีเทคโนโลยีที่รวยล้นฟ้า แล้วอยากเป็นฮีโร่ จึงสร้างชุดออกปราบเหล่าร้ายด้วยตนเอง พร้อมทั้งเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เขียนการ์ตูนที่มีตัวเองเป็นพระเอก เป็นเหมือนผลงานโฆษณาชวนเชื่อดีๆ นี่เอง โดย Cootie เองก็ชอบหนังสือการ์ตูนของเขา แต่เมื่อเขาออกมาพบกันในโลกภายนอก Cootie กลับกลายเป็นวายร้ายในสายตาของ The Hero ไป นอกจากนี้แล้วในเรื่องยังมีตัวละครที่มีพลังพิเศษอีกหลายคน ซึ่งเชื่อมโยงความสามารถกับสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ หรือการอาการผิดปกติตั้งแต่กำเนิดอย่าง ออทิสติกส์  ก็ถูกนำมาดัดแปลงให้เป็นคนที่มีพลังพิเศษ ผ่านมุมมองที่แตกต่างได้อย่างน่าสนใจมาก ซึ่งในส่วนนี้เองที่ช่วยดึงความสนใจของผู้ชมไว้ได้เรื่อยๆ และก็ทำได้ดีกับการนำเสนอพลังพิเศษในรูปแบบแปลกๆ ไม่เหมือนใคร โดยไม่ได้เน้นฉากต่อสู้ ซึ่งผู้ชมก็ต้องเข้าใจด้วยว่านี่คือซีรีส์ทุนต่ำ มันจึงเป็นการขายไอเดียแหวกแนวล้วนๆ 

ซีรีส์จบที่ตอน 7 แบบค้างคาเรื่องไว้ค่อนข้างเยอะ และก็อาจจะไม่ได้ทำต่อเพราะเป็นเนื้อหาเฉพาะกลุ่มมาก แต่ถ้าจะลองดูก็ได้ไม่เสียเวลามาก เพราะแต่ละตอนยาวประมาณ 25-30 นาทีเท่านั้นครับ

 

อ่านรีวิวหนังซีรีส์ Amazon Prime VIDEO เพิ่มคลิกที่นี่

Including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!