playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Never Have I Ever SS1-2 ซีรีส์วัยรุ่นอเมริกาสุดเฟี้ยวที่เล่าเรื่องผ่านสาวเนิร์ดเอเชียได้อย่างลึกซึ้ง

  • คะแนน SS1 - 7.5/10
    7.5/10
  • คะแนน SS2 - 8.5/10
    8.5/10

สรุป

รีวิว SS1 นานๆ จะเห็นซีรีส์วัยรุ่นของ Netflix ที่ออกแนวโรแมนติกใสๆ สักที เพราะที่ผ่านมามักเต็มไปด้วยฉาก SEX เล่นยาปาร์ตี้กันตลอดเวลา แต่เรื่องนี้แทบไม่มีอะไรแบบนั้นเลย และก็ยังใส่ตัวละคร LGTB มาได้อย่างน่าสนใจผ่านตัวละครสาวเนิร์ด ที่ไม่ได้มีความแรงทางเพศมาเกี่ยวข้องเลยสักนิด กับนางเอกอินเดียที่มีเรื่องราวแปลกๆ แตกต่างจากนางเอกวัยรุ่นอเมริกันมากมาย แต่เรื่องก็ไม่ได้อินเดียจ๋า เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมสองฝั่งไว้ด้วยกันกับเรื่องราวแม่หัวเก่ากับลูกสาวหัวใหม่ และยังมีพระเอกสองคนที่มีมิติตัวละครน่าสนใจทั้งคู่ครับ

รีวิว SS2 ถ้าใครชอบแนวรักตลกโรแมนติกเป็นหลักก็สนุกถูกใจกับซีซั่น 2 ได้มากกว่าซีซั่นแรกแน่นอน เพราะทั้งบททั้งจังหวะอารมณ์ต่างๆ ทำได้ดีมากมาย แต่ถ้าใครอยากได้ดราม่าปมปัญหาสังคมหลายอย่างแบบซีซั่นแรก อันนี้ก็แทบไม่มีเลย แต่เชื่อว่าคนดูส่วนใหญ่น่าจะชอบแนวทางแบบแรกมากกว่า ซึ่งซีซั่น 2 ก็ตอบโจทย์ทำให้คนหลงรักเรื่องนี้ไปเต็มๆ

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
5 (5 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • ความตลกจิกกัดแสบๆ ของนางเอกหัวใหม่กับทุกอย่างที่เธอไม่ถูกใจอะไรง่ายๆ
  • มีความโรแมนติกแบบวัยรุ่นดูแล้วฟิน
  • เรื่องราวดราม่าไม่เครียด ออกแนวฟีลกู๊ด
  • วัฒนธรรมอินเดียที่แทรกอยู่ในสหรัฐอเมริกา
  • พระเอก 2 คนที่มีดีสูสีกัน
  • ตัวละครสมทบทุกคนน่าติดตาม
  • มีตัวละครออทิสติกที่แสดงโดยนักแสดงออทิสติกจริงๆ
  • แต่ละตอนสั้น 25-28 นาทีดูจบง่ายๆ
  • มี ‘จอห์น แม็คเอนโร’ นักเทนนิสในตำนานมาเป็นคนเล่าเรื่อง

Cons

  • พระเอกนางเอกใน SS1 เรื่องยังเดินตามสูตรหนังรักวัยรุ่นปกติทำให้คาดเดาเรื่องได้ง่าย
  • ปมยิบย่อยในเรื่องเคลียร์กันง่ายๆ จนทำให้เรื่องดูชิลเบาๆ ไปเหมือนกัน
  • ตัวละครหญิงในเรื่องไม่ได้เป็นสูตรหน้าตาดีตามปกติของหนังวัยรุ่น (เพราะเป็นเนิร์ด) อาจจะไม่น่าติดตามนัก
  • ปมนางเอกพิการนั่งรถเข็นตอนแรกถูกทิ้งจบไวจนแทบไม่มีความสำคัญกับเรื่องเลย (มีใน SS2 เพิ่มอีกนิดนึง)

Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย ซีรีส์วัยรุ่น Netflix ที่เต็มไปด้วยความเฟี้ยวฟ้าว เมื่อสาวอินเดียอเมริกันสุดเนิร์ดประจำโรงเรียนอยากซั่มกับหนุ่มหล่อเท่สุดฮอตของโรงเรียน ภารกิจเสียตัวครั้งนี้จะสมหวังสำเร็จได้หรือไม่ ในเมื่อเธอไม่เคยรู้เรื่องอะไรแบบนี้เลยนอกจากตำราวิชาการ (เป็นที่มาของชื่อเรื่องนี้ด้วยในแต่ละตอนที่ขึ้นต้นด้วย Never Have I Ever หรือ ฉันไม่เคย…..)
 Never Have I Ever (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Never Have I Ever ภารกิจสาวซน ก็คนมันไม่เคย

รีวิว Never Have I Ever SS1

มีสปอยล์เนื้อหาบางส่วนประกอบ แต่ไม่ใช่จุดหักเหของเรื่อง

ซีรีส์วัยรุ่นเรื่องราวของครอบครัวอินเดียอเมริกันรุ่นแรก พ่อแม่ลูก ที่มาตั้งถิ่นฐานที่นี่ ทุกอย่างก็เหมือนมีความสุขดีมีบ้านแสนสุข แต่ในระหว่างงานแสดงดนตรีโรงเรียนของลูก ผู้เป็นพ่อเกิดหัวใจวายตายฉับพลัน ต่อมาไม่นานลูกสาวก็เกิดความผิดปกติกับร่างกาย ขาไม่สามารถขยับได้จนกลายเป็นคนพิการนั่งรถเข็น แต่เธอก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเมื่อมีเพื่อนสองคนอยู่ข้างๆ ในขณะนั้นเธอกลับปิ๊งหนุ่มหล่อเท่หุ่นล่ำนักกีฬาว่ายน้ำตัวท็อปของโรงเรียน และตามเฝ้าดูเขาจนกระทั่งวันหนึ่งเกิดปาฏิหาริย์ขากลับมาขยับได้อีกครั้ง เธอจึงหวังว่าจะมีอะไรกับเขาให้ได้โดยไม่สนใจว่าต้องคบกัน

ถ้าดูแค่พล็อตเรื่อง ซีรีส์เรื่องนี้ดูแล้วคงแรดมากๆ เมื่อนางเอกพยายามจะซั่มหนุ่มให้ได้โดยไม่แคร์อะไร แต่ถ้าได้ลองเปิดดูตอนแรกจะเห็นว่าเรื่องไม่ได้ออกแนวหื่นแรดๆ อย่างที่คิดเลย หนังกลับมาฟีลตลกใสๆ เปิดเรื่องเล่าโดยเสียงของนักกีฬาคนดัง จอห์น แม็คเอนโร ตำนานนักเทนนิสชื่อดังที่มีชื่อเสียพอๆ กับชื่อเสียงเมื่อเป็นตัวพ่อหัวร้อนมีปากเสียงกับกรรมการและคู่แข่งในการแข่งขันอยู่เรื่อย (แต่ฝีมือเก่งจริง) ปัจจุบันอายุ 61 วางมือแล้ว ซึ่งพอเปิดมาแบบนี้อาจจะงงทันทีว่านักกีฬาคนนี้มาเกี่ยวอะไร แต่เรื่องก็เล่าแบบกวนๆ ทันทีว่าดูไปเดี๋ยวก็รู้เอง ซึ่งก็มาเกี่ยวด้วยจริงๆ แต่สิ่งที่ตัวเรื่องไม่ได้บอกตรงๆ คือ การเอานิสัยหัวร้อนของจอห์นนี่แหละมาใส่ไว้ในตัวนางเอก Devi  (รับบทโดย Maitreyi Ramakrishnan เล่นเรื่องนี้เป็นครั้งแรก) ซึ่งเธอเป็นเด็กวัยรุ่นอายุ 16 ที่เก่งรอบด้านถึงขั้นมีชื่อเสียงระดับประเทศมาแล้ว แต่เธอก็เป็นสาวเนิร์ดสุดๆ ที่เข้ากับใครไม่ค่อยได้เช่นกัน แม้แต่กับครอบครัวที่เหลือเพียงแม่ก็ยังชวนทะเลาะอยู่ร่ำไป มีเพียงเพื่อนซี้สาวสองคนที่คอยเป็นทีมช่วยกัน ซึ่งตัวเรื่องไม่ได้เล่าแค่ชีวิตของนางเอก แต่เพื่อนทั้งสองคนก็มีอะไรแตกต่างน่าสนใจในฐานะ ประชากรต่างเชื้อชาติที่อพยพมาอเมริกาด้วยเช่นกัน

หนังมีประเด็นเรื่องเชื้อชาติวัฒนธรรมเข้ามาอยู่ในเรื่องมาก ในมุมที่ว่าเด็กอเมริกันพวกนี้เป็น Gen ใหม่ที่แปลกแยกไปจากฝรั่งปกติ และก็พยายามบอกตัวเองว่าเป็นอเมริกัน แต่ครอบครัวพ่อแม่กลับภูมิใจในเชื้อชาติดั้งเดิม แม้จะมาทำมาหากินที่นี่ก็ตาม ฟังดูอาจจะรู้สึกว่าเรื่องมันหนักๆ แต่บอกเลยว่าไม่ใช่แบบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกประเด็นในเรื่องนี้ถูกเล่าแบบฮาๆ มีการจิกกัดสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อทุกอย่างอยู่ตลอดเวลา ผ่านฝีปากของนางเอกในเรื่องที่วันๆ ก่อแต่เรื่องดราม่าทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือแม้แต่กับเพื่อนฝูงก็ไม่เว้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางเอกดูแล้วน่ารำคาญ เพราะดราม่าแต่ละอย่างบางทีมันก็แทงใจดำกันตรงๆ หรือไม่ก็ตกกระไดพลอยโจนตามน้ำไปจนกลายเป็นดราม่าที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว

และจุดที่ล่อให้คนติดตามทีแรกว่านางเอกจะซั่มมี SEX กับหนุ่มเท่ Paxton กลับไม่ใช่ประเด็นเรื่องราวจริงๆ สักเท่าไหร่ แค่เป็นชนวนเหตุให้เรื่องราวโยงใยไปยังเรื่องอื่นภายหลัง ซึ่งก็มาตามสูตรแนวหนังรักวัยรุ่นโรแมนติกฟินๆ กันเต็มตัวเลย เมื่อเรื่องค่อยๆ นำเสนอว่าจากสาวเนิร์ดคนนี้มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปยังไงหลังจากนี้ ซึ่งเธออาจจะไม่ใช่สาวเนิร์ดเฉิ่มๆ จนผู้ชายไม่สนใจก็ได้ บอกใบ้ไว้เลยว่าเรื่องนี้มีพระเอก 2 คน ซึ่งก็มาคนละแนว และสร้างความประทับใจไปคนละแบบสูสีกันมาก เรียกว่าดูไปมีลุ้นไปว่าคนไหนคือพระเอกตัวจริงกันแน่ แม้จะเป็นสูตรสำเร็จที่เคยมีมาเยอะมากแล้วก็ตาม

สปอยล์พระเอกคนที่ 2 ของเรื่อง 

Ben หนุ่มบ้านรวยคู่ปรับด้านการเรียนของนางเอกมาตั้งแต่เด็ก หนังวางให้เขามีแฟนแล้ว แต่หลังจากที่เป็นคู่กัดนางเอกจนรู้ไส้พุงกัน เขากลับเริ่มมีใจให้แทน ซึ่งในตอนที่ 6 จะเป็นเรื่องราวอีกด้านของเขาเต็มๆ ให้เห็นกันชัดๆ ว่าชีวิตของ Ben เป็นอย่างไร แต่เรื่องก็ไม่ทิ้ง Paxton ไปเช่นกัน 

 

Never Have I Everสิ่งที่ซีรีส์นี้ทำได้ดีคือการใส่เรื่องราวตัวละครสมทบมาได้น่าติดตามทุกคน อย่างเพื่อนสาวสองคนที่คนหนึ่งพึ่งรู้ตัวว่าเบี่ยงเบนทางเพศแล้วไม่กล้าบอกใคร นอกจากหุ่นยนต์ที่เธอสร้างขึ้นมา อีกคนก็เป็นสาวจีนที่หน้าตาไม่สวย แต่กลับอยากเป็นนักแสดงตามรอยแม่ให้ได้ โดยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้วแม่ของเธออาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด หรือญาติพี่สาวจากอินเดียหัวดีที่มาเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา พร้อมรูปโฉมงามจนใครๆ ก็เหลียวมอง แต่เธอกลับถูกแม่ของนางเอกนัดดูตัวกะคลุมถุงชน ที่เธอเองก็หัวอ่อนยอมตามแบบง่ายๆ แต่เมื่อดูซีรีส์วัยรุ่น Riverdale ของ Netflix ความคิดก็เปลี่ยนไป แม้แต่แม่ของนางเอกที่ดูหัวเก่าแม้จะเป็นหมอหญิง ก็มีเรื่องราวย้อนอดีตไปช่วงตั้งรกรากใหม่ๆ กับสามีที่ทำออกมาได้คลาสสิคน่ารักทุกครั้งเสมอ และตัวละครพ่อของนางเอกที่ตายไปตั้งแต่เปิดเรื่องไม่กี่นาทีก็มีบทบาทกลับมาตลอดทั้งเรื่องในฝัน หรือบางทีนางเอกก็เห็นพ่อมายืนคุยด้วยในความคิด จนถึงเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างพ่อกลับมาในรูปของ หมาป่าไคโยตี  (อเมริกาในชนบทมีพวกสัตว์ป่ามารบกวนถึงบ้านเสมอ) ซึ่งรับรองว่าทุกตัวละครสมทบในเรื่องนี้มีสีสันในเรื่องราวน่าติดตามทุกคน หนังวางเรื่องไว้ตอนละ 25-28 นาทีเกลี่ยบทแบ่งเรื่องเฉลี่ยได้ทั่วถึงมาก แต่ก็ไม่ได้มาเบียดบังตัวเรื่องหลักของนางเอกมากไป

ซีรีส์เรื่องนี้ยังมีตัวละครพิเศษของเรื่องเป็น “สาวออทิสติก” น้องสาวของ Paxton ผู้ซึ่งถูกชะตากับนางเอกตั้งแต่เจอกันครั้งแรก แม้บทจะออกมาไม่กี่ครั้งแต่ก็เป็นตัวละครเสริมที่ช่วยให้ตัวเอก Paxton ที่ดูเหมือนเป็นหนุ่มเท่สายกีฬาดูเปอร์เฟ็กต์ (แม้จะเรียนไม่เก่ง) กลับมีปมพี่สาวออทิสติคซ่อนไว้ที่บ้าน และเธอก็เล่นได้ดีไม่ขัดเขินดูเป็นปกติมากด้วยซ้ำ แถมยังมีส่วนสำคัญในตอนจบของเรื่องที่ช่วยให้ Paxton คิดได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของเขาตอนนี้ 

ส่วนข้อด้อยของ Never Have I Ever จริงๆ คงจะเป็นพล็อตเรื่องเดิมๆ แนวหนังรักวัยรุ่น ซึ่งแม้เรื่องจะฉีกให้นางเอกเป็นคนอินเดีย แถมเก่งและมีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่ก็ยังไม่วายมาตกหลุมรักนักกีฬาโรงเรียนง่ายๆ ตามสูตรเดิม แต่ถ้าไม่คิดมาก เรื่องก็ทำออกมาในแนวโรแมนติกคอมเมดี้ตอบโจทย์หนังวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี แต่ต้องบอกว่าถ้าใครหวังว่าเรื่องราวจะจบเลยคงมีค้าง เพราะซีรีส์จบลงตรงการเปิดตัวชัดๆ ว่ามีพระเอกสองคนแน่นอน (แม้จะเดาได้มาก่อน) และก็ยังพึ่งเริ่มเรื่องราวความรักจริงๆ ที่ค้างกันไว้เท่านั้น

นานๆ จะเห็นซีรีส์วัยรุ่นของ Netflix ที่ออกแนวโรแมนติกใสๆ สักที เพราะที่ผ่านมามักเต็มไปด้วยฉาก SEX เล่นยาปาร์ตี้กันตลอดเวลา แต่เรื่องนี้แทบไม่มีอะไรแบบนั้นเลย และก็ยังใส่ตัวละคร LGTB มาได้อย่างน่าสนใจผ่านตัวละครสาวเนิร์ด ที่ไม่ได้มีความแรงทางเพศมาเกี่ยวข้องเลยสักนิด กับนางเอกอินเดียที่มีเรื่องราวแปลกๆ แตกต่างจากนางเอกวัยรุ่นอเมริกันมากมาย แต่เรื่องก็ไม่ได้อินเดียจ๋า เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมสองฝั่งไว้ด้วยกันกับเรื่องราวแม่หัวเก่ากับลูกสาวหัวใหม่ และยังมีพระเอกสองคนที่มีมิติตัวละครน่าสนใจทั้งคู่ครับ

ติดตามรีวิวหนังซีรีส์ Original Netflix ในเว็บไซต์คลิกที่นี่

รีวิว Never Have I Ever SS2

เนื้อเรื่องต่อจากตอนจบสุดท้ายของ SS1 ทันทีที่ฉากจูบในรถกับเบน ก่อนตัดมาที่แพกซ์ตันที่มารอเธอถึงบ้าน กลายเป็นว่านางเอกเลือกไม่ถูกสุดท้ายก็เลยต้องคบซ้อนก่อนไปอินเดียในอีก 1 เดือน เรื่องราวในซีซั่นนี้จึงเริ่มจากจุดนี้ และไปสิ้นสุดที่งานเต้นรำของโรงเรียนว่าใครคือพระเอกตัวจริง (ในซีซั่นนี้) กันแน่

ตื่นเช้ามาเจอสองคนทักพร้อมกัน

เรื่องราวใน Ss2 นี้โฟกัสไปที่เรื่องรักกับการเรียนของตัวละครในเรื่องเป็นสำคัญ พร้อมกับยิงมุกตลกมากกว่า Ss1 อย่างเห็นได้ชัด โดยลดเรื่องราวประเด็นสะท้อนสังคมของเด็กต่างชาติในอเมริกาลงไปพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ทิ้งไปซะทีเดียวเพราะในซีซั่นนี้จะมีตอนเฉพาะของแพ็กซ์ตันล้วนๆ แบบเดียวกับที่เบนมีในซีซั่นแรก โดยมีสเปเชี่ยลแขกพิเศษมาให้เสียงบรรยายแนะนำเรื่องราวโดยเฉพาะจากนางแบบคนดัง จีจี ฮาดีด ที่บรรยายได้ตลกก๊วนโอ๊ยไม่แพ้ จอห์น แม็คเอนโร ที่ยังคงรับบทบรรยายให้นางเอกต่อจนจบเรื่อง ซึ่งตัวแพ็กซ์ตันเองก็เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นตามที่เรารู้ในซีซั่นแรก แต่กลับไม่ได้เห็นพ่อแม่ของเขาเลย มาในซีซั่นนี้ตัวละครครอบครัวของแพ็กซ์ตันมากันครบและมีบทมากพอสมควร โดยเฉพาะปู่ของเขาที่เป็นคนญี่ปุ่นเกิดในอเมริกายุคสงครามครั้งที่ 2 เป็นการเพิ่มแบ็คกราวด์ให้กับตัวละครนี้ขึ้นมากมาย และประเด็นเรื่องราวของแพ็กซ์ตันก็ถูกนำเสนอเยอะกว่าเบนมากด้วย อาจจะเพราะเบนได้บทในซีซั่นแรกมากพอที่คนดูจะรู้จักเขาแล้ว แต่กับแพ็กซ์ตันยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่คนไม่รู้ (แอบมีฉากขายมัดกล้ามเยอะกว่าซีซั่นแรกด้วย) รวมไปถึงการเน้นปมด้อยที่ซีซั่นแรกมีเผยไว้เบาๆ ว่าเขาเองหล่อล่ำเป็นนักกีฬาว่ายน้ำก็จริง แต่การเรียนกลับไม่เอาไหน ไม่ใช่คนฉลาดแบบเบน ซึ่งบทในซีซั่นนี้เราจะได้เห็นพัฒนาการทางการเรียนของแพ็กซ์ตันจาก 0 ไปสู่จุดที่ดีกว่าเดิมขึ้นเรื่อยๆ โดยมีนางเอกเป็นติวเตอร์ส่วนตัวให้กับเขา ซึ่งเรื่องนำเสนอรูปแบบการศึกษาในโรงเรียนของอเมริกาหลายวิชาผ่านชั้นเรียนที่มีแพ็กซ์ตันเป็นตัวหลักในส่วนนี้โดยตรง และก็ทำออกมาได้ดีมาก จนรู้สึกอิจฉาเลยว่ารูปแบบการสอนในเรื่องแค่ชั้นมัธยมก็ล้ำหน้ากว่าไทยไปไกลมากมายจริงๆ

แต่ถึงประเด็นทางสังคมจะลดน้อยลงไป แต่เมนหลักของเรื่องนี้ที่มาเน้นความรักมากขึ้นก็เป็นอะไรที่สนุก ตลก น่ารัก กว่าซีซั่นแรกมากมาย โดยเริ่มจากความพยายามสับรางของเดวี่ที่คนดูคงแบบเอาจริงเหรอ จะให้นางเอกเป็นคนเลวคบซ้อนแบบนี้จริงๆ นะ? ซึ่งไม่ต้องห่วงว่าเรื่องจะมาแนวน่ารังเกียจแบบไม่มีเหตุผล เรียกว่าคนเขียนบทเก่งที่เปิดปมคบซ้อนแล้วก็ปิดมันลงในเวลาสั้นๆ แค่ตอน 2 เพื่อจะเอาจุดนี้มาเป็นตัวเดินเรื่องให้กับเดวี่แบบชดใช้กรรมที่ตัวเองก่อไว้ยาวๆ บวกกับปัญหาอื่นที่มารุมเร้าเธอในจังหวะเดียวกันเข้าไปอีก จนเดวี่ในซีซั่นนี้ต้องรับมือกับปัญหาที่ตัวเธอเองก่อขึ้นไม่รู้จบมากกว่าซีซั่นแรกซะอีก และปมคบซ้อนนี้ก็เป็นบาดแผลทิ่มแทงใจตัวละครหลักทั้ง 3 คนตลอดเรื่องที่เดวี่เองต้องแก้ไขความผิดพลาดนี้ให้ได้ โดยไม่ต้องสนว่าจะได้ความรักกลับมา ขอแค่ได้สถานะเพื่อนก็เพียงพอแล้ว ซึ่งก็คือการรีเซ็ทรักสามเส้านี้ใหม่หมด ทำให้คนดูต้องมาลุ้นกันอีกรอบว่า เบนกับแพ็กซ์ตัน ใครกันแน่ที่จะเป็นพระเอกตัวจริงอีกครั้ง แม้ว่าดราม่ารักๆ จะดูเยอะแต่ไม่เครียดเลย แถมตลกมากกว่าซีซั่นแรกซะอีก รับรองว่าสายแนวรอมคอม รักตลกโรแมนติก ต้องถูกใจการเดินเรื่องในซีซั่นนี้แน่นอน แถมยังเดายากมาก มีการสลับจังหวะว่าใครกันแน่ที่จะเป็นพระเอกไปมาเป็นระยะๆ ลุ้นกันจนถึงนาทีสุดท้ายของเรื่องแบบเดิมเลย โดยที่เรื่องก็เข้าใจทิ้งปมบางอย่างในเรื่องรักค้างต่อให้คนดูได้ลุ้นกันต่อไปอีกรอบ (มี SS3 แน่นอน)

ในซีซั่นนี้มีตัวละครใหม่เพิ่มมาสองคน “อนีสา” นักเรียนใหม่ชาวอินเดียสุดคูลที่มาทำให้ความมั่นใจของเดวี่ลดน้อยถอยลงไปอีก เมื่อมีตัวเปรียบเทียบเป็นคนอินเดียด้วยกันในโรงเรียนกับเนิร์ดอย่างเธอ ซึ่งบทของอนีสาจะมาเป็นตัวละครหลักใหม่ในแก๊งเพื่อนสนิทของเดวี่เลย และก็เป็นตัวละครที่ช่วยสะท้อนปมปัญหาด้านเชื้อชาติของเดวี่ที่คิดไปเองเยอะให้เด่นชัดมากขึ้นด้วย ว่าทำไมอนีสาถึงป๊อบปูล่าได้ในเมื่อเธอเป็นอินเดียแบบเดียวกัน แถมครอบครัวนับถืออิสลามที่เคร่งกว่าบ้านเดวี่ซะอีก

อีกตัวละครคือหมอแจ๊คสัน หมอที่มาอยู่ตึกเดียวกับแม่ของเดวี่ และก็กลายมาเป็นคู่กัดเล็กๆ ในเรื่องการงาน แต่ในภายหลังกลับกลายเป็นความรักที่ก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งแม่ของนางเอกเองก็ต้องเจอกับปัญหาความรักครั้งใหม่ที่ยากลำบากเพราะสามีพึ่งเสียไปไม่นานจนต้องปิดบังเรื่องนี้ไว้เช่นกัน แต่ตัวเรื่องก็ไม่ได้เทบทไปที่ตรงนี้มาก มาสั้นๆ ในทุกตอนกำลังดี ไม่ได้รู้สึกว่ามาเบียดบังเนื้อหาวัยรุ่นแต่อย่างใด

ส่วนบทลูกพี่ลูกน้องคนสวยของเดวี่ก็หันมาโฟกัสที่การทำงานกับกลุ่มผู้ชายเป็นใหญ่ ก่อนที่จะตบกลับไปที่เรื่องความรักของเธอนิดๆ ไม่ได้มีอะไรมาก แต่น่าจะมีบทบาทสำคัญในซีซั่น 3 เพราะตอนท้ายปูเรื่องการตัดสินครั้งใหญ่ที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปมาก

ฟาบิโอล่ากับอีฟ

ไม่รู้ว่าด้วยความเป็นเน็ตฟลิกซ์หรือเปล่า ในเรื่องจึงมีความพยายามเพิ่มเนื้อหาของตัวละครเพศทางเลือกใหม่อย่าง เควียร์ (Queer) ซึ่งในเรื่องก็คือฟาบิโอล่ากับอีฟ ที่พยายามผลักดันให้คนยอมรับเพศทางเลือกใหม่ๆ ที่ไม่ต้องระบุว่าเป็นเพศไหน การแต่งตัวแบบไหน ตรงเพศหรือไม่ตรงก็รักกันได้หมด ซึ่งมันก็ดูซับซ้อนมากขึ้นกว่าที่ถูกมองว่าเป็นเลสเบี้ยนตามปกติ ซึ่งบทในส่วนนี้ออกจะดูเกินๆ เป็นความพยายามใส่เข้ามามากสักหน่อยตามประสาเน็ตฟลิกซ์ แต่ก็ไม่ได้มากจนน่ารำคาญ รวมถึงบทของเพื่อนชาวจีนอีกคนก็ลดลงไป แต่ก็ยังมีบทบาทสำคัญกับเรื่องอยู่พอสมควร

สรุปเลยว่าถ้าใครชอบแนวรักตลกโรแมนติกเป็นหลักก็สนุกถูกใจกับซีซั่น 2 ได้มากกว่าซีซั่นแรกแน่นอน เพราะทั้งบททั้งจังหวะอารมณ์ต่างๆ ทำได้ดีมากมาย แต่ถ้าใครอยากได้ดราม่าปมปัญหาสังคมหลายอย่างแบบซีซั่นแรก อันนี้ก็แทบไม่มีเลย แต่เชื่อว่าคนดูส่วนใหญ่น่าจะชอบแนวทางแบบแรกมากกว่า ซึ่งซีซั่น 2 ก็ตอบโจทย์ทำให้คนหลงรักเรื่องนี้ไปเต็มๆ

คะแนนจากสื่อต่างประเทศของ Ss2 ก็ยังได้เยอะเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม (ได้ 100 เต็มจาก 6 รีวิวในเว็บมะเขือตอนนี้) https://www.rottentomatoes.com/tv/never_have_i_ever/s02
Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!