playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Nocturne หนังของ Blumhouse ที่พยายามเป็น Whiplash รวมกับ Black Swan แต่น่าผิดหวัง

Nocturne น็อกเทิร์น 

สรุป

พอดูเพลินๆ ได้ถ้าคนไม่ได้คาดหวังในระดับเดียวกับ Whiplash และ Black Swan ที่เรื่องพยายามจะเป็นสองแนวควบกันให้ได้ แต่ตัวเรื่องกลับแทบไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ทั้งๆ ที่วัตถุดิบอะไรก็พร้อม

Overall
5.5/10
5.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • แนวดนตรีผสมจิตหลอนบวกปีศาจ
  • นางเอกน่ารักแต่ดูร้ายลึก

Cons

  • ฉากสยองแทบไม่มีความน่ากลัวอะไรเลย แถมมีออกมานิดหน่อยเท่านั้น
  • การเล่นเพลงในเรื่องครึ่งๆ กลางๆ ตลอดจนจบ
  • บทพี่สาวของนางเอกที่เป็นปมสำคัญกลับไม่ค่อยมีบทเท่าไหร่

Nocturne น็อกเทิร์น  หนังใหม่แนวดราม่าทริลเลอร์ของค่าย Blumhouse ที่ขึ้นชื่อเรื่องแนวระทึกสยองขวัญ ซึ่งในเดือนตุลาคมนี้ทางค่ายนี้ร่วมกับ Amazon Prime จัดหนังแนวทริลเลอร์สยองขวัญมาลงด้วยกัน 4 เรื่องต้อนรับฮาโลวีน ซึ่งตอนนี้ออกมาแล้วสองเรื่อง Black Box กับ The Lie คำลวง

 Nocturne (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Nocturne Amazon Prime

น็อกเทิร์น บทเพลงสำหรับเดี่ยวเปียโนในลักษณะโรแมนติก ให้บรรยากาศยามค่ำคืน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าน็อกเทิร์นจะเป็นเพลงที่มีแต่ความหวานซึ้ง น็อกเทิร์นบางบทก็มีอารมณ์ที่รุนแรง อ้างอิงจากวิกิพีเดีย ซึ่งเป็นที่มาของธีมของหนังเรื่องนี้คือการที่นางเอก “จูเลียต” นักเรียนดนตรีเปียโนพยายามแข่งกับพี่สาว “วิเวียน” ที่เก่งกว่าในงานจบการศึกษาเทอมสุดท้ายที่โรงเรียนจัดขึ้น และพี่สาวถูกวางตัวไว้ว่าเป็นตัวเต็งคนเล่นเปียโนนำด้วยบทเพลงแนวน็อกเทิร์นที่หาคนเล่นได้ยาก จนกระทั่งเธอไปพบสมุดบันทึกของนักเรียนดีเด่นที่ฆ่าตัวตายในเทอมก่อน และพบว่าสมุดเล่มนี้ช่วยชี้ทางให้เธอประสบความสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ แม้ว่าต้องแลกมาด้วยเรื่องประหลาดลึกลับที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอก็ยินยอม

จากหนังตัวอย่างมีความน่าดูสูง เหมือนการพบกันของ Whiplash กับ Black Swan แถมในตัวอย่างก็โปรยว่าจากผู้อำนวยการสร้าง Whiplash อีก ซึ่งพอได้ดูจริง กลับกลายเป็นแค่ได้กลิ่นจางๆ มากของสองเรื่องที่ว่ามานั่น ซึ่งที่จริงแล้วคนเขียนบทกับกำกับเรื่องนี้อย่าง Zu Quirke ก็คงได้แรงบันดาลใจมาจากสองเรื่องนี้บ้างแน่ๆ เพราะความพยายามผสมแนวศิลปะกับดนตรีสองเรื่องมาไว้ในเรื่องเดียวกัน แล้วก็เติมเรื่องปีศาจเพิ่มไปสักหน่อย ก็ได้เป็นหนังเรื่องใหม่ที่พล็อตดูโอเคดีในความคิด แต่เวลาทำจริงมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อหนังแทบไม่ได้ไปถึงส่วนเสี้ยวแก่นของสองเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย

ในความเป็น Whiplash คือการที่ตัวเอกต้องเจอครูสุดโหดที่เคี่ยวกรำด้วยวิธีโหดๆ ให้ตัวเอกได้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งก็มีความซาดิสส่วนตัวผมรวมอยู่ด้วย จนตัวเอกแทบสติแตก แต่พอมาเป็นเรื่องนี้คือครูกลับเป็นฝ่ายถูกกระทำจากตัวเอกจูเลียตซะเอง จนมีปัญหากับนักเรียน แล้วก็ไม่ได้มีฉากเคี่ยวกรำอะไรแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย แม้แต่บทเพลงของ แซงซอง ที่ทำนองดุดันในเรื่องก็มีเล่นให้เห็นแค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีช่วงยาวๆ ให้ดูดุดันจนจบเลย แม้กระทั่งตอนจบที่คนดูแนวเพลงหวังว่าจะมีฉากเล่นเพลงมันส์ๆ ก็กลับไม่ได้เน้น จนงงว่าตกลงหนังเรื่องนี้ใช่แนวเพลงหรือไม่ใช่กันแน่ ดูเหมือนเพลงในเรื่องเป็นแค่น้ำจิ้มประกอบเท่านั้น

ในความเป็น Black Swan คือตัวเอกต้องพยายามฝึกแข่งกับตัวเองจนกลายเป็นคนสองบุคลิก สำหรับเรื่องนี้นางเอกไม่ได้แข่งกับตัวเองอะไรสักเท่าไหร่ แม้จะพยายามมีฉากให้เห็นว่าซ้อมเล่นดึกดื่น แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นดูแล้วลำบากอะไรขนาดนั้น แถมความพยายามเอาเรื่องที่ว่านางเอกใช้ยาช่วยระงับประสาทจนเห็นภาพหลอน ซึ่งก็เป็นตัวหลอกที่พยายามให้คนดูคิดว่า นางเอกหลอนไปเองหรือมีปีศาจจริงๆ แต่การดำเนินเรื่องกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกถูกหลอกขนาดนั้น เพราะตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องก็ชี้ให้เห็นแล้วว่านักเรียนที่ฆ่าตัวตายผิดธรรมชาติ แถมตอนจบของเรื่องก็จบง่ายๆ แบบไม่ต้องให้คนดูขบคิดว่าอะไรคือเรื่องจริงเลย จนกลายเป็นการทำให้เรื่องราวที่ปูมาว่าหลอนหรือปีศาจมีจริงแทบจะเสียเวลาฟรีๆ กับฉากจบแบบนี้

ถ้าใครหวังมาดูหนังสยองขวัญจากค่าย Blumhouse อันนี้ก็ยิ่งต้องผิดหวัง เพราะทั้งเรื่องมีฉากแบบนี้โผล่มาน้อยมาก แทบไม่มีความรู้สึกน่ากลัวหรือตกใจแบบจั๊มสแกร์ก็ยังไม่มี อาจจะเพราะตัวเรื่องพยายามทำให้เรื่องผีปีศาจให้ดูเนียนๆ ไปกับอาการทางจิตของนางเอกที่ไม่รู้ว่าจิตจริงแค่ไหนอีกเหมือนกัน

สิ่งที่ดีหน่อยของเรื่องคือนางเอก Sydney Sweeney มีความน่าติดตามกับบทแหลๆ แต่น่ารัก ตั้งแต่เรื่อง Euphoria ซีรีส์ดังปีก่อนของ HBO มาในเรื่องนี้ก็เล่นเป็นนางเอกตัวร้ายที่ไม่ต้องมีปีศาจมาช่วย เธอก็มีความอิจฉาริษยาลึกๆ พร้อมจะเป็นปีศาจด้วยตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งการแสดงของเธอก็ชวนให้ดูได้จบจบไม่เบื่อซะก่อน แต่ก็น่าผิดหวังจากบทที่ไม่ส่งเธอให้ดีกว่านี้

สรุปเป็นหนังที่หน้าหนังดูดีมาก แต่ตัวเรื่องกลับแทบไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ทั้งๆ ที่วัตถุดิบอะไรก็พร้อม แต่กลับไปไม่ถึงสักทาง มีดีแค่หน้าตาและการแสดงของนางเอกที่ชวนติดตามให้ดูจบจบได้เท่านั้นครับ

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!