playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Rebel Moon 2– Part Two: The Scargiver เนื้อเรื่องแทบไม่มีเพราะเต็มไปด้วยฉากสโลวโมชั่นเรื่อยเปื่อย…

Rebel Moon – Part Two: The Scargiver

Summary

หนังเต็มไปด้วยฉากที่ไม่สมเหตุผลมากๆ กับฉากสโลวโมชั่นเรื่อยเปื่อยมากมายกับทุกอย่างจริงๆ โดยที่เนื้อเรื่องก็แทบไม่ขยับไปไหนเพราะไม่มีอะไรให้เล่า เนื่องจากเน้นอัดฉากแอ็กชั่นสโลวโมชั่นกันเต็มที่ในชั่วโมงหลัง แต่มันเต็มไปด้วยฉากต่อสู้แบบซ้ำซากเดิมๆ เทียบแล้วแย่กว่าพาร์ท 1 มาก แล้วที่แย่กว่านั้นคือหนังยังจบแบบวางเรื่องทิ้งไว้ต่อไปอีก (แซ็ควางไว้ 6 ภาค) ซึ่งก็น่าเบื่อมากที่ Netflix ยังคงให้ทำต่อไปอีกครับ

Overall
4/10
4/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ฉากแอ็กชั่นยิงยาวเป็นชั่วโมง
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ทุกๆ อย่างในเรื่องออกมาแย่+ไม่สมเหตุผลมาก
  • ฉากสโลวทั่วไปเยอะเกิน
  • ไม่จบมีต่อ

รีวิว Rebel Moon 2– Part Two: The Scargiver

อ่านรีวิวพาร์ท 1 https://www.playinone.com/folkplay/rebel-moon-part-1-review-netflix/ 

ภาคต่อจากพาร์ท 1 ซึ่งแทบไม่มีเนื้อเรื่องอะไรให้เล่าเลยนอกจากฉากแอ็กชั่นสงคราม ซึ่งก็คือส่วนที่แซ็กถนัดที่สุดในการทำงานแล้ว แต่ว่าก่อนจะไปถึงจุดนั้นหนัง 1 ชั่วโมงแรกคือ ช่วงวางแผนการรบสู้กับกองทัพที่กำลังมา โดยให้ชาวบ้านรีบเก็บผลผลิตเอามาไว้ในบ้านเพื่อให้ศัตรูไม่กล้ายิงปืนใหญ่ทำลายลงมา ซึ่งก็ไม่สมเหตุผลเท่าไหร่ (เดินทางข้ามจักรวาลมาเก็บเมล็ดพืช?) ส่วนความยาวใน 1 ชั่วโมงนั้นส่วนใหญ่ก็คือการเล่นฉากสโลวโมชั่นชาวบ้านเก็บเกี่ยวผลผลิตกับฝึกซ้อมชาวบ้านให้ใช้อาวุธเป็น ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะสโลวไปทำไม เพราะมันไม่ได้จำเป็นอะไรเลยที่ต้องให้ผู้ชมดูแบบสโลวจริงๆ ส่วนที่เหลืออีกนิดหน่อยคือฉากย้อนอดีตที่จู่ๆ นั่งกินอาหารกันก็ให้เหล่ากบฏเล่าความเป็นมาในอดีตกันแบบสั้นๆ และก็ไม่ได้ช่วยส่งเสริมมิติตัวละครขึ้นมาเลย เพราะชีวิตแต่ละคนก็มาแนวเดียวกันหมด ถูกฆ่าล้างเผ่ามาเลยต้องหนีมาเพื่อรอเวลาแก้แค้น โดยมีเรื่องของนางเอกว่าทำไมถูกหมายหัวใส่แยกไว้ต่างหาก ซึ่งเกี่ยวพันกับองค์จักพรรดิที่มีลูกสาวมีพลังรักษาที่เคยใส่ไว้นิดนึงในพาร์ท 1 แต่ฉากนี้ก็ไม่ได้ช่วยทำให้เนื้อหาลึกขึ้นเลย แถมเหมือนแซ็กจะเอาแรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์โรม ที่ จูเลียส ซีซาร์ ถูกเหล่าขุนนางรวมหัวกันฆ่าโดยพกมีดไว้คนละเล่ม ซึ่งไม่รู้ว่าจะอ้างอิงให้เหมือนกันไปทำไมในเมื่อยุคนี้ดาบปืนเลเซอร์มากมายขนาดนี้แล้ว จักรพรรดิก็ตัวเปลือยเปล่าให้ฆ่ากันได้ง่ายๆ แถมยังจบด้วยการโบ้ยว่านางเอกลงมือฆ่าแบบงี่เง่าเกินเหตุ จนไม่รู้ว่าแซ็กคิดฉากแบบนี้มาได้ยังไง เพราะเป็นปมสำคัญที่วางไว้ทำภาคต่อไปด้วย (แซ็กประกาศว่าจะมี 6 ภาคจบ)

พอครบ 1 ชั่วโมงหนังก็เริ่มเข้าสู่ฉากแอ็กชั่น โดยที่มีฉากดราม่างี่เง่าคั่นนิดนึงว่านางเอกอยู่ๆ ก็ยอมแพ้ไม่อยากให้ชาวบ้านตาย ซึ่งจริงๆ สมเหตุผลกว่าถ้าหนังเลือกจะไปทางนี้แล้วหาทางใส่ฉากต่อสู้มาภายหลัง แต่หนังก็เลือกให้มีสงครามเกิดขึ้นเลย ก่อนจะบรรเลงฉากสโลวมากมายเข้าไปในช่วงนี้ โดยแบ่งบทให้นักรบคนอื่นๆ ต่อสู้อยู่ในหมู่บ้านร่วมกับชาวบ้าน ส่วนนางเอกขึ้นไปบนยานแม่ของศัตรู โดยที่ศัตรก็โง่มากที่หลงกลง่ายๆ แล้วก็ยิงยาวฉากแอ็กชั่นต่อเนื่องเป็นชั่วโมง แต่มันก็ไร้การครีเอท ซ้ำซากมากวนๆ อยู่กับท่าทางตัวละครเดิมๆ ยิงๆ ฟันๆ กับเหล่าลูกน้องระดับกี้กี้ที่มีจำนวนเยอะ แล้วก็เติมยานพาหนะสงครามมาคั่นนิดหน่อยให้ดูน่าสนใจ แต่ก็ยังธรรมดามากๆ เมื่อเทียบกับหนังแนวนี้ด้วยกัน แม้แต่ฉากต่อสู้ของนางเอกกับบอสตัวร้ายภาคก่อนที่ฟื้นมาอีกรอบก็ยังไม่แตกต่างจากภาคก่อน แล้วก็จบตายง่ายๆ แบบเดิม ไม่รู้จะฟื้นคืนชีพมาทำไมจริงๆ หรือหุ่นยนต์นักรบที่พาร์ท 1 บทน้อยแต่ดูน่าน่าสนใจ มาพาร์ทนี้ก็แทบไม่มีอะไรเพิ่มเติมเลยนอกจากฉากแอ็กชั่นสั้นๆ ช่วยหมู่บ้านก่อนจะแพ้แค่นั้น ถ้าเทียบกันพาร์ท 1 ก็ยังดีกว่ามากกับฉากแอ็กชั่นเปิดตัวของแต่ละคนครับ

สรุป หนังเต็มไปด้วยฉากที่ไม่สมเหตุผลมากๆ กับฉากสโลวโมชั่นเรื่อยเปื่อยมากมายกับทุกอย่างจริงๆ โดยที่เนื้อเรื่องก็แทบไม่ขยับไปไหนเพราะไม่มีอะไรให้เล่า เนื่องจากเน้นอัดฉากแอ็กชั่นสโลวโมชั่นกันเต็มที่ในชั่วโมงหลัง แต่มันเต็มไปด้วยฉากต่อสู้แบบซ้ำซากเดิมๆ เทียบแล้วแย่กว่าพาร์ท 1 มาก แล้วที่แย่กว่านั้นคือหนังยังจบแบบวางเรื่องทิ้งไว้ต่อไปอีก (แซ็ควางไว้ 6 ภาค) ซึ่งก็น่าเบื่อมากที่ Netflix ยังคงให้ทำต่อไปอีกครับ

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!