playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Red White & Royal Blue หนังเกย์ยุคใหม่ที่ลึกซึ้งถึงการเมืองกับเรื่องเจ้าได้อย่างสมดุลย์ลงตัวมาก

Red White & Royal Blue

Summary

นี่คือหนังเกย์ยุคใหม่ที่ฉีกและสดใหม่ด้วยการนำปมปัญหา LGTBQ ขึ้นไปสู่การเมืองกับเรื่องเจ้าได้อย่างลึกซึ้งและลงตัวมากทั้ง 2 ด้าน หรือใครที่อาจจะต้องการดูแค่ตัวเอกสุดหล่อมีเสน่ห์ทั้งคู่ก็ย่อมได้เช่นกัน เพราะหนังก็จัดให้อย่างเต็มอิ่มด้วยฉากโรแมนติก+ติดตลกนิดๆ ร่วมกับฉากลึกซึ้งที่เอาว่าฟินแน่นอนละกันครับ

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • หนัง LGTBQ การเมืองกับเรื่องเจ้า 
  • นักแสดงตัวเอกทั้งคู่เล่นได้อย่างมีเสน่ห์ยอดเยี่ยม
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • ตอนจบหลังเคลียร์ปมสั้นมาก
  • ประเด็นการเมืองอเมริกาน้อย

Red White & Royal Blue amazon prime video หนังเกย์+การเมือง สร้างจากนิยายชื่อดังของนักเขียน Casey McQuiston เรื่องราวของ อเล็กซ์ ลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ตกหลุมรักกับ เจ้าชายเฮนรี่ แห่งราชวงศ์อังกฤษ ความรักครั้งนี้จะเป็นไปได้งั้นหรือ?
Red, White & Royal Blue (2023) on IMDb

รีวิว Red White & Royal Blue (ไม่สปอยล์)

หนังเกย์ราชวงศ์อังกฤษรักกับลูกชายประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นี่คือพล็ตหนังเกย์ที่ท้าทายมากทั้งการเมืองและเรื่องเจ้าไปพร้อมกัน ในแง่ไอเดียที่ครีเอทีฟสุดๆ แล้ว เนื้อหาในเรื่องยังบอกเล่าเรื่องราวจริงจังในทุกแง่มุม สื่อสารไปยังทุกคนที่ไม่ใช่เกย์หรือแฟนหนังแนวนี้โดยตรงได้เป็นอย่างดีด้วย

ความท้าทายของเรื่องนี้คือการครีเอทสร้างโลกที่ยังมาไม่ถึง แต่ยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนก็ทำให้สิ่งต่างๆ ในเรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมีเหตุผล อย่างการสร้างประธานาธิบดีอเมริกาที่เป็นผู้หญิง (แสดงโดย Uma Thurman) ถึงแม้บทของเธอจะไม่เยอะ แต่ก็สะดุดตาน่าสนใจพอๆ กับตัวเอกของเรื่องที่เป็นคู่เกย์ เจ้าชายเฮนรี่ (แสดงโดย Nicholas Galitzine) กับ ลูกชายประธานาธิบดี Alex Claremont-Diaz (แสดงโดย Taylor Zakhar Perez) ซึ่งประวัตินักแสดงทั้งสองคนนี้ก็ไม่ได้จะโด่งดังมาก และไม่ได้เป็นเกย์หรือไบเซ็กส์ชวลแต่อย่างใด แต่หลังจากเล่นเรื่องนี้แล้วทั้งคู่คงถูกจับตามองในฐานะดารานักแสดงที่มีฝีมือและเสน่ห์อย่างจัดจ้าน ด้วยฉากแนวอย่างว่าตามแบบหนังเกย์โดยตรง ซึ่ง Matthew López ผู้กำกับเรื่องนี้เองก็เป็นเกย์ด้วย แต่ฉากนี้ก็มีแค่ 1 ฉากตรงๆ และไม่ถึงกับโจ่งแจ้งมาก แต่ก็ลึกแบบผู้ชมที่ไม่ใช่เกย์เองก็จินตนาการได้มากมายพอกัน

แต่ฉากเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ช่วยส่งเรื่องให้เข้มข้นในด้านอื่นมากกว่า เพราะปมปัญหาใหญ่ของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นหนังเกย์ที่พ่อแม่จะรับได้หรือไม่เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงปัญหาความสัมพันธ์อันดีของอเมริกากับอังกฤษ และยังใส่เรื่องการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกาสมัยที่ 2 โดยที่ Alex คือคนที่ช่วยหาเสียงในรัฐเท็กซัสให้แม่ที่อยู่พรรคเดโมแครต และกลายมาเป็นตัวสำคัญที่จะชี้อนาคตของแม่และประเทศชาติต่อไปด้วย ในขณะที่ทางราชวงศ์ของอังกฤษเองก็มีปัญหากับจารีตประเพณีที่ต้องอนุรักษ์ไว้ ทำให้นี่เป็นการส่องกล้องมองปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่จริง ทั้งประเด็นเจ้า การเมือง ความรัก ไว้ด้วยกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งเรื่องก็สามารถแจกแจงและขยี้ปมเหล่านี้ได้อย่างน่าสนใจและลึกซึ้งกินใจมากอีกด้วย (ขนาดที่ผู้เขียนไม่ใช่เกย์หรือแฟนหนังแนวนี้เลยก็ตาม)

หนังมุ่งเน้นปัญหาของทางราชวงศ์อังกฤษมากกว่าการเมืองอเมริกาที่มีแค่ผลเลือกตั้งในตอนท้ายเป็นตัวตัดสิน ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะประเด็นเกย์กับราชวงศ์นั้นเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งกว่าสังคมเปิดกว้างของอเมริกามาก หนังพาไปชวนมองปัญหาความขัดแย้งภายในจิตใจของเฮนรี่ที่มีมาตลอด การตอบสนองแก้ปัญหาของทีมงาน และครอบครัวที่มีคุณตาดำรงค์ตำแหน่งสูงสุดอยู่ รวมถึงพี่น้องของเขา ซึ่งหนังบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ได้ลึก ในระดับที่ทำให้คนนอกได้เข้าใจความยากลำบากของการเป็นคนในครอบครัวราชวงศ์ได้ดีมาก แม้อาจจะรู้สึกขัดแย้งว่ากินหรูอยู่สบาย แต่ก็ต้องแลกกับการถูกขังคุกในจิตและความประพฤติไปตลอดชีวิต ซึ่งนี่คือโจทย์ที่หนังต้องหาทางแก้ให้ได้ ซึ่งหนังก็เคลียร์ปมเหล่านี้ได้อย่างสมดุลย์ในความรู้สึก ไม่ขัดกับความเป็นไปได้จริงที่มีโอกาสจะเกิดขึ้น และก็ไม่ทิ้งจารีตประเพณีที่ต้องคงอยู่ไว้ด้วยกัน เพียงแต่ฉากจบท้ายสุดอาจจะสั้นมากจนไม่ถึงกับฟินสุดอย่างที่ควรจะเป็นครับ 


ในด้านโปรดักชั่นโดยปกติหนังสตรีมมิ่งจะทุนต่ำ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างสูงและจัดเต็มกับฉากต่างๆ มาก โดยเฉพาะฉากในห้องทำงานรูปไข่กับในวังบักกิ้งแฮม ทำให้ภาพรวมของของงานโปรดักชั่นเข้าขั้นดีมาก แค่ไม่อลังการยิ่งใหญ่เท่านั้น

 

สรุปนี่คือหนังเกย์ยุคใหม่ที่ฉีกและสดใหม่ด้วยการนำปมปัญหา LGTBQ ขึ้นไปสู่การเมืองกับเรื่องเจ้าได้อย่างลึกซึ้งและลงตัวมากทั้ง 2 ด้าน หรือใครที่อาจจะต้องการดูแค่ตัวเอกสุดหล่อมีเสน่ห์ทั้งคู่ก็ย่อมได้เช่นกัน เพราะหนังก็จัดให้อย่างเต็มอิ่มด้วยฉากโรแมนติก+ติดตลกนิดๆ ร่วมกับฉากลึกซึ้งที่เอาว่าฟินแน่นอนละกันครับ

 

including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!