playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Blood Red Sky หนังแวมไพร์สไตล์ซอมบี้ในที่จำกัดบนเครื่องบินที่ชวนระทึกตั้งแต่ต้นจนจบ (ไม่สปอยล์)

Blood Red Sky

สรุป

หนังแนวสยองขวัญดราม่าของ Netflix ที่พล็อตเรื่องชวนดูมากๆ และก็เซอร์ไพร์ที่ไม่ใช่แค่ไม่ผิดหวัง แต่ได้มากกว่าที่หวังไว้มากด้วย ในแง่ของทุนสร้างจำกัดกับการเล่นไอเดียโจรจี้เครื่องบิน vs.แวมไพร์ในที่จำกัดได้อย่างคุ้มค่ามาก โดยมีทั้งความโหดดิบผสมกับดราม่าความสัมพันธ์แม่ลูกที่ชวนรันทดสะเทือนใจ และก็ยังมีความเหมือนหนังซอมบี้แต่มาในคราบแวมไพร์ที่โหดกว่าด้วย

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
3.33 (6 votes)

Pros

  • เล่นฉากสยองขวัญในที่จำกัดบนเครื่องบินได้อย่างคุ้มค่ามาก
  • ไอเดียโจรจี้เครื่องบิน vs.แวมไพร์ ที่ไม่ใช่สู้กันแบบทื่อๆ
  • ใส่รายละเอียดของแวมไพร์ในรูปแบบทันสมัยขึ้น แต่ก็ไม่ทิ้งจุดคลาสสิคดั้งเดิมไปด้วย
  • ตัวละครทุกคนมีบทบาทสำคัญกับการเดินเรื่อง
  • บทเด็กในเรื่องไม่ใช่ภาระ แต่เป็นตัวละครหลักที่ช่วยแก้ปัญหาตลอดเรื่อง นักแสดงเล่นดีมาก
  • ความโหดดิบทั้งโจรทั้งแวมไพร์เลือดสาดกันทั้งคู่
  • มีเสียงพากย์ไทย (แต่อย่าดูเสียงเด็กแย่มาก)

Cons

  • ฉากเปิดเรื่องที่เริ่มจากตอนเกือบจบ ทำให้รู้ว่ามีตัวละครไหนรอดตายตั้งแต่แรกจนหมดลุ้นไปเยอะ
  • ฉากดราม่าของแม่ผ่านเมคอัพหน้าตาแวมไพร์ทำให้ดูแล้วอินยากหน่อย
  • บางจุดดูคลุมเครือไม่ได้เล่าออกมาตรงๆ อาจจะทำให้คนดูตีความไม่ตรงจริง หรือไม่เข้าใจเลยก็ได้
  • จบแบบไม่มีทิ้งเชื้อทำต่อเลย ผิดสูตรหนังสยองขวัญ (แอบเสียใจ T_T อยากดูต่ออีก)

 

Blood Red Sky ฟ้าสีเลือด หนังแนวสยองขวัญจากงานสร้างของ Netflix เยอรมัน เรื่องราวสยองขวัญบนเครื่องบินที่ชวนระทึกตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมสอดแทรกปมดราม่าสะเทือนใจไว้ควบคู่กันด้วย

 Blood Red Sky (2021) on IMDb

ฟ้าสีเลือด Blood Red Sky

หนังแนวแวมไพร์ที่ห่างหายไปนานหลังกระแสหนังซอมบี้เป็นเทรนด์ฮิตกว่า ซึ่งเรื่องนี้แม้จะออกตัวว่าเป็นแวมไพร์ แต่ก็มีส่วนผสมของซอมบี้เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเห็นได้ชัด โดยใช้สถานการณ์ในที่จำกัดบนเครื่องบินมาบีบคั้นให้เรื่องน่าตื่นเต้นเข้าไปอีก แบบเดียวกับหนังงูบนเครื่องบินอย่าง Snakes on a Plane ซึ่งพล็อตเรื่องที่ว่าด้วยกลุ่มโจรจี้เครื่องบิน แต่ต้องมาเจอกับผู้โดยสารที่เป็นแวมไพร์ ก็เป็นอะไรที่ดูน่าสนใจมาก แต่ปัญหาคือการเล่าเรื่องในที่จำกัดแบบนี้จะสามารถสร้างฉากระทึกได้มากแค่ไหน แถมนี่ยังเป็นหนัง Original Netflix แท้ๆ จากผู้สร้างชาวเยอรมันอีกด้วย ซึ่งก่อนดูก็แอบห่วงอยู่ว่าจะไม่ไหวตามสไตล์หนังเน็ตฟลิกซ์ที่ไอเดียอาจจะดี แต่ทุนต่ำจนทำอะไรมากไม่ได้ แต่หลังได้รับชมต้องบอกเลยว่ากลับทำได้มากกว่าที่คิดไว้ซะอีกครับ

ถึงหนังเรื่องนี้จะเปิดตัวแบบขัดเจนว่าเป็นแนวสยองขวัญเหนือธรรมชาติตั้งแต่ทีเซอร์แรก แต่บทของโจรจี้เครื่องบินก็ไม่ได้ทำออกมาแบบมักง่ายให้พอผ่านๆ เพื่อไปเล่นเรื่องแวมไพร์อย่างที่เข้าใจกัน ยิ่งสมัยนี้สายการบินทั่วโลกออกกฎปิดช่องทางการก่อการร้ายบนเครื่องบินไว้รัดกุมมาก จนทำให้แค่คิดบทว่าจะจี้เครื่องบินยังไงให้สมจริงก็ยากแล้ว แต่บทของโจรในเรื่องนี้ก็ยังหาช่องทางจี้เครื่องบินให้สมจริงน่าเชื่อถือได้ เริ่มตั้งแต่อาวุธที่หลุดรอดการตรวจขึ้นเครื่องได้คืออะไร ปืนเอามาจากไหน (ในเรื่องมีปืนสองกระบอก) แรงจูงใจคืออะไร การหนีเอาตัวรอดจากเครื่องบินจะทำยังไง ซึ่งถ้าตัดแวมไพร์ออกไปนี่ก็เป็นหนังอาชญากรรมจี้เครื่องบินที่เขียนบทมาดีเลย ทุกอย่างเป็นไปได้ และยังมีจุดที่กึ่งๆ ปลายเปิดให้คนดูคิดกันเองด้วยว่าแรงจูงใจที่แท้จริงของพวกนี้คืออะไร ซึ่งดูสมเหตุผลกว่าการจี้เครื่องบินเพื่อเรียกค่าไถ่หรือจี้เพื่อก่อวินาศกรรมเพียงอย่างเดียว แถมหนังก็ยังสร้างให้โจรพวกนี้โหดแบบไม่มีปราณี มีฉากต่อรองฆ่าตัวประกันแบบโหดๆ แบบไม่มียั้งมือเลย แบบนับ 1-3 ยิงทิ้งทันที ทำให้เรื่องดูโหดสมจริงมากขึ้นไปอีก และมีที่พิเศษนิดๆ คือดาราที่มาเล่นเป็นหัวหน้าโจรกลุ่มนี้คือ Dominic Purcell จากบท Lincoln Burrows พี่ชายของสกอฟิลด์ตัวเอกในซีรีส์ดัง Prison Break นั่นเอง ซึ่งลุคกับอะไรหลายๆ ก็เหมาะเจาะมาก ชวนให้คิดถึงบทเดิมที่แจ้งเกิดเขา แต่น่าเสียดายที่บทในเรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นตัวร้ายหลักของเรื่องเท่านั้น

Dominic Purcel ที่คนดูซีรีส์คงจำกันได้ดีจากแหกคุกนรก

เมื่อบทของกลุ่มโจรสร้างมาโหดได้สมจริง ส่วนของแวมไพร์ก็ต้องยิ่งโหดกว่า เพราะนี่เป็นเมนหลักของเรื่องนี้ที่เป็นแนวสยองขวัญเลือดสาด แต่หนังเรื่องนี้เลือกวางตัวเองเป็นแนวกึ่งสยองขวัญผสมดราม่า (แม้จะเลือดสาดมากตลอดเรื่อง) ให้แม่ของเด็กในเรื่องยอมเปิดเผยตัวเองว่าเป็นแวมไพร์ต่อสู้กับโจรเพื่อปกป้องลูก ไม่ใช่ปกป้องชีวิตผู้โดยสารทั้งลำ และก็เลือกวิธีเอาตัวรอดแบบที่ดูเห็นแก่ตัวบ้าง แต่ก็เพื่อให้ลูกรอดเป็นสิ่งสำคัญแรกสุดมากกว่าชีวิตตัวเอง ซึ่งถือว่าบทเขียนมาดีมากในมุมที่สมเหตุผลกับสถานการณ์ตัดสินชีวิตแบบนั้น โดยมีการตัดสลับย้อนกลับไปยังจุดกำเนิดความเป็นแวมไพร์ของเธอในระหว่างที่จัดการพวกโจรด้วยเป็นระยะๆ เข้ากับเหตุการณ์ในปัจุบันที่เธอกำลังประสบอยู่ด้วย ทำให้มีเรื่องราวเล่านอกเครื่องบินมาช่วยเสริมรายละเอียดให้แน่นขึ้น โดยยังคงรายละเอียดแทบทุกอย่างของแวมไพร์แบบดั้งเดิมไว้หมด และก็ปรับปรุงให้ดูทันสมัยเข้ากับเรื่องราวในหนัง ตั้งแต่ต้นกำเนิดว่าใครทำให้เธอกลายมาเป็นแวมไพร์ วิธีฆ่าแวมไพร์ที่ยังคงเดิมตรงโดนของแหลมปักหัวใจถึงตาย การแพ้แสงอาทิตย์ ที่ใส่เรื่องประยุกต์ใช้ไฟฉายแสงอุลต้าไวโอเลตเข้ามาแทนได้อย่างมีเหตุผล การที่นางเอกเลือกเดินทางกลางคืนยาวนานจากเยอรมันไปอเมริกาเพื่อหลบแสงอาทิตย์ ตัวเรื่องก็เอาจุดนี้มาเป็นไฮไลท์สำคัญเรื่องการบินในโซนเวลาที่มืดเสมอได้ตลอดเรื่องด้วย คล้ายๆ ซีรีส์ Into the Night ของ Netflix และก็เป็นจุดเปิดเรื่องกับจุดปิดท้ายเรื่องที่แสงอาทิตย์มีความสำคัญกับความเป็นความตายของตัวละครในเรื่องทั้งหมดด้วย ซึ่งทำออกมาได้ลุ้นระทึกมากจนนาทีสุดท้ายของเรื่องเลย แต่แอบเสียดายนิดนึงว่าหนังสามารถทำต่อหรือทิ้งเชื้อไว้ต่อได้อีก แต่กลับเลือกจบสมบูรณ์ในตัวเลยจนน่าเสียดายนิดๆ

สิ่งที่แวมไพร์ในเรื่องนี้เหมือนซอมบี้ก็คือการติดเชื้อในแบบเดียวกัน แค่โดนกัด หรือแค่รอยแผลถากๆ ก็สามารถติดเชื้อกลายเป็นแวมไพร์ได้ในทันที ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าแนวหนังซอมบี้มันมีอิทธิพลมากในปัจจุบัน การที่ปรับให้แวมไพร์ติดเชื้อกันทันทีแบบนี้มันดูลุ้นระทึกกว่า และยังมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นแนวกึ่งๆ ซอมบี้ก็ยังได้ แถมยังน่ากลัวกว่าด้วยที่แวมไพร์รวดเร็วว่องไว แข็งแกร่งกว่าซอมบี้มาก แต่หนังก็ไม่ได้ทำให้นางเอกดูเป็นอมตะไล่ฆ่าพวกโจรได้ง่ายๆ โดยใส่จุดอ่อนเรื่องการใช้เลือดเพิ่มพลังเอาไว้ว่าต้องหาเลือดกินเป็นระยะๆ ถ้าบาดเจ็บก็อ่อนแรงลงทันที ต้องหาเลือดมากินใหม่เพื่อฟื้นฟูร่างกาย รวมถึงตัวนางเอกก็ต้องมียาช่วยคุมสติหรือปรับสภาพในขณะที่เป็นแวมไพร์ด้วย (ยา Cytarabine ไว้รักษามะเร็งฉับพลัน) ไม่งั้นก็จะกลายเป็นแวมไพร์สมบูรณ์แบบที่ไล่ฆ่าคนไม่เลือก จำลูกตัวเองไม่ได้ กลายเป็นหายนะยิ่งกว่าโจรเข้าไปอีก และตัวเรื่องก็ยังเอาการติดเชื้อตรงนี้ไปใส่ไว้กับพวกโจรด้วย ทำให้ช่วงหลังของเรื่องเป็นการปะทะกันของแวมไพร์ที่พึ่งกลายร่างสดๆ มาไล่ฆ่านางเอกกับลูก และก็มีเป็นฝูงในตอนท้ายเรื่องที่ใกล้เคียงแนวหนังซอมบี้มากขึ้นไปอีก โดยหนังใช้ทุกส่วนของเครื่องบินทั้งลำเป็นฉากสยองขวัญในที่จำกัดได้อย่างคุ้มค่ามาก

และที่ต้องชมมากคือหนังสยองขวัญเรื่องนี้ไม่มีตัวละครอ่อนเหตุผลหรือไร้ประโยชน์กับเรื่องเลย ทุกตัวละครที่วางมามีเหตุมีผลกับเรื่องทั้งหมด เด็กในเรื่องก็เป็นตัวเอกที่ไม่ได้เป็นภาระของเรื่อง เป็นตัวเอกจริงๆ ที่มีบทบาทในการแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่เลือกยึดติดช่วยแม่มากกว่าอย่างอื่น (ตรงข้ามกับแม่ที่ทำทุกอย่างเพื่อลูกไม่สนใจคนอื่นเช่นกัน) โดยมีคนอิสลามมาเป็นตัวเอกอีกคนที่สำคัญกับเรื่องในแง่ภาพลักษณ์ติดลบที่ถูกมองว่าโจรก่อการร้ายมักเป็นอิสลามไว้ก่อน โจรเองก็มีตัวร้ายโรคจิตที่ฉลาดสูสีต่อกรกับนางเอกได้ ตัวละครผู้โดยสารในช่วงวิกฤตอย่างนักศึกษาการบินที่มาขับเครื่องบินแทน ก็มีเหตุผลที่มาที่ไปว่าไม่ใช่บังเอิญมาอยู่บนเครื่องได้แบบที่หนังเรื่องอื่นมักชอบใช้กัน แม้แต่ตัวละครแนวสติแตกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ยังมีผลสำคัญกับเรื่องโดยไม่ได้ทำให้รู้สึกน่ารำคาญแม้แต่น้อย

จุดด้อยของเรื่องก็อาจจะเป็นที่เรื่องเลือกเอาตอนใกล้จบเครื่องลงจอดแล้วมาเป็นจุดเริ่มเรื่อง ซึ่งในแง่การเล่าเรื่องย้อนกลับมันก็ทำให้ผู้ชมได้เห็นจุดระทึกสุดท้ายนำมาก่อนแล้วค่อยย้อนไปดูต้นเหตุ อาจจะมองว่าดีก็ได้ แต่มองว่าไม่ดีก็ได้เช่นกัน เพราะเมื่อเรื่องเลือกเปิดเผยเลยว่าใครคือคนรอดตายตอนท้ายตั้งแต่แรก ทำให้ระหว่างทางไม่มีลุ้นกับการตายของตัวละครหลักไปทันที

อีกจุดก็คือเมื่อตัวเรื่องเลือกเป็นแนวสยองขวัญผสมดราม่าแม่ลูก ในซีนดราม่าที่แม่ต้องแสดงอารมณ์ผ่านการแมคอัพหน้าตาเป็นแวมไพร์มันเลยดูอินยากกว่าปกติ เพราะแวมไพร์ในเรื่องก็ออกแนวสัตว์ประหลาดไปเลย คือหัวโล้น หูแหลม มีเขี้ยวงอก ไม่ใช่แวมไพร์แบบหน้าตาเหมือนมนุษย์แบบที่หลายเรื่องใช้กัน แต่ไม่ใช่ดาราแสดงไม่ดี (นักแสดงที่รับบทชื่อ Peri Baumeister ) แต่มันไม่สามารถที่จะทำได้แบบนั้นนอกจากใช้ท่าทางการแสดงออกเป็นหลัก ไม่ค่อยพูดด้วยเพราะกลายร่างแล้วขาดสติบ่อย ซึ่งตรงนี้ก็ถือว่าตัวเรื่องกับนักแสดงพยายามมากที่สุดแล้ว แต่ดีที่นักแสดงเด็กส่งอารมณ์กลับมาได้ดี ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นนี้อยู่ (ในเรื่องลูกรู้อยู่แล้วว่าแม่เป็นแวมไพร์และก็พยายามหาทางช่วยกับบอกคนอื่นเพื่อปกป้องแม่)

นี่เป็นหนัง Original Netflix ที่พล็อตเรื่องที่เจ๋ง และใช้ทั้งงบและพื้นที่จำกัดได้อย่างคุ้มค่ามากจริงๆ จนน่าจะช่วยลบคำสบประมาทว่าหนัง Netflix ทำเองมักห่วยลงได้เรื่องหนึ่งเลยล่ะ ซึ่งจริงๆ ผู้เขียนคิดว่าเน็ตฟลิกทำหนังทุนน้อยได้ตามระดับของมันมากกว่าดีบ้างแย่บ้างปนกัน เฉลี่ยจริงๆ ก็พอกับหนังโรงที่ผิดหวังก็เยอะ แต่อาจจะไม่ได้เข้าไทยให้ดูกันเท่านั้น (มาลงเน็ตฟลิกซ์ก็หลายเรื่อง) แต่เรื่องนี้ทุนน้อยกลับทำได้มากเกินคาดจนดูเป็นหนังลงโรงขายทั่วโลกเลยก็ยังได้ครับ ซึ่งก็ถือว่าคุ้มค่ากับการรับชมมากครับ

 

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!