playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Thai Cave Rescue ซีรีส์ถ้ำหลวงของ Netflix ที่งานหยาบและลวกมากในหลายจุด

Thai Cave Rescue

Summary

เป็นเวอร์ชั่นที่เรียกว่าผิดหวังทั้งจากตัวเครดิตผู้กำกับ งานสร้างที่ออกมาไม่ดีพอ เข้าขั้นลวกๆ หยาบๆ ในหลายจุด ขาดความสมจริง ตัดฉากสำคัญในถ้ำไป ไทม์ไลน์ไม่ตรง การเล่าเรื่องที่กระโดดข้ามขาดความสมูธ  ตัดบทไม่เคารพในอาสาสมัครตัวจริงที่มีมากมาย บทกับนักแสดงยังบิ้วอารมณ์ให้อินไม่ได้ เอาว่าใครที่ดูเวอร์ชั่นก่อนนี้มาโดยเฉพาะ 2 เรื่องหลัง The Rescue กับ Thirteen Lives นี่ข้ามเรื่องนี้ไปเลย แต่ถ้าใครไม่เคยดูมาก่อนสักเวอร์ชั่นก็ลองดูได้ เพราะเรื่องราวจำลองในเรื่องก็ยังมีส่วนจริงและมีความระทึก+น่าสนใจ ที่ทำให้คนที่เสพแต่ข่าวหรือคิดว่าเอียนพอได้ดูก็อาจจะชอบขึ้นมาบ้างได้อยู่ครับ

Overall
5/10
5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • เรื่องราวถ้ำหลวงที่เน้นเรื่องของเด็กในถ้ำมากกว่าเวอร์ชั่นอื่น
  • ญาญ่าเป็นเหมือนนางเอกของเรื่อง
  • มีดีเทลเล็กๆ บางอย่างของทางไทยที่เวอร์ชั่นอื่นไม่มี

Cons

  • ขาดความสมจริงในหลายส่วนมาก
  • บทเด็กเพิ่มมาน้ำเยอะไม่ค่อยมีเนื้อสำคัญ
  • บทกับนักแสดงไม่ดีพอให้ชวนอิน
  • เล่าเรื่องกระโดดข้ามๆ เยอะ
  • ตัดบทอาสาตัวจริงไปเกือบหมด
  • ฉากดำน้ำน้อยมาก

 

Thai Cave Rescue  ถ้ำหลวง ภารกิจแห่งความหวัง ลิมิเต็ดซีรีส์ Netflix 6 ตอนจบ ตอนละ 60 นาที ถ่ายทอดเรื่องราวเหตุการณ์ถ้ำหลวงในอีกแง่มุมหนึ่งต่างออกไปจากเวอร์ชั่นอื่นๆ โดยทีมงานไทยเป็นผู้สร้าง และได้ผู้กำกับบาสจากฉลาดเกมส์โกงมากำกับคุมงานเรื่องนี้โดยตรง 

 Thai Cave Rescue (2022) on IMDb

 

รีวิว Thai Cave Rescue  ถ้ำหลวง ภารกิจแห่งความหวัง

เกริ่นก่อนว่าผู้เขียนดูเรื่องถ้ำหลวงมาแล้ว 4 เวอร์ชั่นของต่างประเทศทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องแรกที่รีบทำออกมาฉายโรงในชื่อ  The Cave ต่อมาก็คือ Tham Luang Rescue : Power of Unity สารคดี 4 ตอนจบของไทยพีบีเอสที่ซื้อจากเมืองนอกมา แล้วก็  The Rescue หนังสารคดีของเนชั่นแนลจีโอกราฟิกที่ฉายทางดิสนีย์พลัส (อ่านรีวิวได้ที่นี่) ต่อด้วยหนัง Thirteen Lives ที่ฉายทาง Amazon Prime VDO ซึ่งประทับใจในสองเรื่องหลังมากที่สุด ถึงแม้ว่าจะเหมือนการดูเรื่องราวเดิมซ้ำๆ แต่สองเรื่องหลังนี้ก็มีจุดที่แตกต่างกันและก็มีส่วนที่เผยบางอย่างนอกเหนือจากข่าวให้เราได้รู้ทั้งคู่ มีความสนุกดีทั้งสองเรื่องแบบให้สูสีใกล้เคียงกันเลย แม้จะเป็นสารคดีกับหนังที่อาจจะเทียบกันโดยตรงไม่ได้ก็ตาม

แต่กับเวอร์ชั่นซีรีส์ของ Netflix ที่ทีมงานไทยทำ โดยได้ผู้กำกับบาสจากฉลาดเกมส์โกงที่มาช่วยดึงให้น่าสนใจตั้งแต่เริ่มสร้าง แต่แล้วก็เหมือนงานนี้เป็นงานหยาบลวกๆ ของเขาไปอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งรีวิวนี้ผู้เขียนขอข้ามส่วนเล่าเรื่องอะไรไปทั้งหมด เพราะทุกคนคงรู้อยู่แล้ว และมีเรื่องให้ติมากมาย ซึ่งถ้าสาธยายหมดก็อาจจะยืดยาวไป ขอเอาแค่เน้นๆ จุดที่งานเรื่องนี้ไม่ผ่านให้ฟังกัน

เริ่มตั้งแต่ตัวเรื่องที่พยายามเล่ามุมมองที่แตกต่างไปโดยโฟกัสไปที่เรื่องราวของเด็กในถ้ำเยอะกว่าเวอร์ชั่นอื่น ซึ่งก็ถือว่าดี และยิ่งเป็นซีรีส์น่าจะทำให้เล่าอะไรได้มากมาย แต่กลายเป็นว่าเรื่องราวของเด็กๆ นั้นยืดเยื้อมีแต่น้ำเยอะมาก ตั้งแต่ตอนแรกที่เล่าเรื่องต่างๆ ยาวเกือบชั่วโมงถึงเข้าไปติดในถ้ำ และต่อจากนั้นก็เป็นเรื่องราวย่อยๆ อย่างการถกเถียงทะเลาะกันมากกว่าจะเป็นการพยายามเอาชีวิตรอดที่ควรจะเป็น อย่างการตามหาน้ำเพื่อดื่ม หรือการเซฟถ่านไฟฉาย ในเรื่องแทบไม่ได้โฟกัสในจุดที่ควรจะทำให้เลย ทำให้เรื่องราวส่วนนี้เหมือนแค่แตกต่าง แต่แทบไม่มีประเด็นน่าสนใจเพิ่มเติมอะไร หลายๆ อย่างก็มาจากข่าวปกติที่ลงบทสัมภาษณ์พวกเขาไว้ด้วย จะบอกว่าซีรีส์แทบไม่ได้ทำการบ้านเพิ่มเติมเลยก็ว่าได้

และการที่โฟกัสไปที่เด็กค่อนข้างเยอะทำให้ตัวเรื่องเหมือนหลงทางไปตัดเรื่องผู้คนที่อาสามาช่วยในภารกิจนี้ซะเหี้ยนจนแทบไม่เหลือใครให้เห็นเลย แล้วก็ไปผลักดันให้บทของญาญ่าที่เหมือนเขียนเติมเต็มขึ้นมาแทนคนที่เป็นวิศวกรเรื่องน้ำจากอเมริกาขึ้นมาแทนที่ทุกคนที่มาช่วยเหลือสูบน้ำผันน้ำไปทั้งหมด ซึ่งแทบไม่น่าให้อภัยได้เลยถ้ามองว่าเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง เพราะเครดิตการช่วยเหลือของทีมสำคัญๆ ทุกคนที่ร่วมใจกันไม่ปรากฎให้เห็นในเรื่องเลยจริงๆ

นอกจากนี้ตัวเรื่องยังตัดข้ามไทม์ไลน์จริงไปหลายอย่างที่อ้างอิงได้จากข่าว อย่างกรณีนักดำน้ำฝรั่ง 2 คนแรกมาดำโดยพลการแล้วได้บังเอิญช่วยทีมสูบน้ำที่ติดในถ้ำวันแรกๆ ตรงส่วนนี้ถูกตัดหายไป แล้วกลายเป็นทีมดำน้ำนี้มาสอนหน่วยซีลแทน ทั้งๆ ที่ความจริงทั้งสองฝ่ายมีปัญหาไม่ยอมรับกันในตอนแรกด้วย หลายคนอาจจะคิดว่าทำให้ภาพลักษณ์ทีมซีลไทยเสีย อันนี้ไม่จริงเพราะเวอร์ชั่นอื่นที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นตรงนี้ไปหมดแล้ว และคนดูก็เข้าใจว่ามันเป็นจุดพบปะกันครั้งแรกของทีมดำน้ำในถ้ำที่ไม่มีคนไทยรู้จักมาก่อน  หรือแม้แต่ครูบาบุญชุ่มก็ไม่มีให้เห็นในเรื่อง ซึ่งพอไทม์ไลน์สำคัญๆ ถูกตัดหายไปและอื่นๆ อีกมากมาย ก็เหมือนเรื่องนี้อยากรีบไปจนกระโดดข้ามไปเกือบหมด จนไม่ควรเรียกว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ไว้อ้างอิงจากเรื่องจริงได้เลย ต่างกับของฝรั่งที่เก็บรายละเอียดครบ ด้วยเวลาจำกัดกว่ามากด้วยซ้ำ 

น้ำใสแจ๋ว

ฉากดำน้ำในเรื่องที่เหมือนเป็นฉากหลักที่ทำให้เรื่องราวนี้ตื่นเต้นระทึก และช่วยทำให้คนดูรู้ว่าภารกิจนี้ยากขนาดไหน แต่กับเรื่องนี้คือทำออกมาลวกๆ มาก ตั้งแต่น้ำในถ้ำที่ใสสีฟ้าตั้งแต่แรก (ดูได้จากภาพด้านบน)  มีไปขุ่นนิดหน่อยตอนหลังซึ่งก็ยังไม่ใกล้เคียงของจริงเลย ฉากพัทยาบีชที่เป็นหาดทรายขาวสำคัญที่เป็นข่าวก็ไม่มี ฉากช่องแคบสุดในถ้ำที่ลอดได้คนเดียวทำให้ภารกิจเอาเด็กออกตอนหลังยากก็ไม่มี และฉากดำน้ำในเรื่องน้อยมากๆๆ มีแต่ฉากโผล่มาเหนือน้ำแล้วก็พบเจออะไรเลย อย่างตอนพบเด็กครั้งแรก  แม้แต่ตอนท้ายที่เป็นปฏิบัติการสำคัญก็แทบจะใช้รูปแบบเดียวกันคือพยายามให้เห็นสั้นมากๆ จนผู้เขียนก็สงสัยว่าเหมือนไม่ลงทุน หรือไม่มีงบพอ หรือทีมถ่ายภาพใต้น้ำของไทยยังไม่มีความสามารถจำลองให้เหมือนจริงได้หรือยังไงก็ไม่ทราบ 

นอกจากนี้ตัวนักแสดงที่คนคาดหวังอยากดูอย่างคุณธเนศ ในบทผู้ว่าเชียงรายที่นำภารกิจนี้ก็เหมือนยังติดบทบาทห้าวแบบบทที่ผ่านมา คือแทบสลัดภาพไม่หลุด ไม่ได้รู้สึกสุขุมแบบตัวจริงเท่าไหร่ เอาว่าไม่ได้เป็นจุดขายเด่นอะไรของเรื่องเลย ญาญ่าเองก็เหมือนบทยัดใส่มาเพื่อพยายามขายเธอให้เป็นนางเอกที่พูดอังกฤษกับคนไทยตลอดเรื่อง แต่ดันฟังไทยรู้เรื่องหมด เป็นอะไรที่ขัดใจมากระหว่างดู หรือบีม ปภังกร ที่เสียชีวิตไปแล้วกับบทบาทเรื่องสุดท้ายในฐานะโค้ชเอก ก็เหมือนไม่ได้ตรงกับตัวจริงอะไรเลย บทก็ไม่ได้เด่นชวนอินอะไรมาก แม้แต่จ่าแซมก็ยังเหมือนใส่มาให้มี แต่บทบาทในเรื่องก็ไม่ได้ชวนอินสักเท่าไหร่ เรียกว่าตายแล้วก็จบไปตามไทม์ไลน์เท่านั้น ซึ่งนี่ไม่ใช่เพราะว่าผู้เขียนดูมาหลายเวอร์ชั่นแล้ว แต่เป็นเพราะตัวเรื่องทั้งบททั้งนักแสดงไม่สามารถบิ้วส่งอารมณ์ได้ขนาดนั้นจริงๆ

ตัวเรื่องมีแผลเหวอะหวะมากก็จริง แต่ก็มีส่วนดีนิดๆ ที่พอแตกต่างให้พูดถึงได้ อย่างฉากเล็กๆ ตอนท้ายที่มีซ้อมในสระกับเด็กก่อนนำไปใช้จริง หรือดีเทลการตัดสินใจของพ่อแม่ที่ต้องเซ็นต์ยินยอมให้ลูกถูกช่วยออกมาโดยการฉีดยาสลบ ตัวซีรีส์มีจุดเล็กๆ เหล่านี้พอทำให้เรื่องดูมีอะไรดีๆ แปะไว้อยู่บ้าง แม้ว่าโดยรวมก็ยังไม่ผ่านมาตรฐานอยู่ดี

เป็นเวอร์ชั่นที่เรียกว่าผิดหวังทั้งจากตัวเครดิตผู้กำกับ งานสร้างที่ออกมาไม่ดีพอ เข้าขั้นลวกๆ หยาบๆ ในหลายจุด ขาดความสมจริง ไทม์ไลน์ไม่ตรง การเล่าเรื่องที่กระโดดข้ามขาดความสมูธ  ตัดบทไม่เคารพในอาสาสมัครตัวจริงที่มีมากมาย บทกับนักแสดงยังบิ้วอารมณ์ให้อินไม่ได้ เอาว่าใครที่ดูเวอร์ชั่นก่อนนี้มาโดยเฉพาะ 2 เรื่องหลัง The Rescue กับ Thirteen Lives นี่ข้ามเรื่องนี้ไปเลย แต่ถ้าใครไม่เคยดูมาก่อนสักเวอร์ชั่นก็ลองดูได้ เพราะเรื่องราวจำลองในเรื่องก็ยังมีส่วนจริงและมีความระทึก+น่าสนใจ ที่ทำให้คนที่เสพแต่ข่าวหรือคิดว่าเอียนพอได้ดูก็อาจจะชอบขึ้นมาบ้างได้อยู่ครับ

ปล.เรื่องนี้นอกจากฉายที่เน็ตฟลิกแล้วยังมีฉายที่ช่อง 3 ด้วย เริ่มตอนแรก วันพฤหัสบดีที่ 22 ก.ย. 2565 เวลา 18:00 – 19:00 น., วันศุกร์ที่ 23 ก.ย. เวลา 17.40 – 19:00 น., วันจันทร์ที่ 26 และวันอังคารที่ 27 ก.ย. เวลา 19:00 – 20:00 น., วันพุธที่ 28 ก.ย. เวลา 18:50 – 20:04 น. และ วันพฤหัสที่ 29 ก.ย. เวลา 18:50 – 20:00 น.

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!