ห้ามพลาด! When They See Us ซีรีส์ Netflix ที่ทรงพลังมีคุณค่าสั่นสะเทือนจิตใจที่สุดแห่งปี 2019
When They See Us
สรุป
ยอดเยี่ยมทรงพลังทั้งในเรื่องจริงและการแสดง เป็นผลงานล้ำค่าของ Netflix ในแบบที่มีคุณค่าช่วยยกระดับจิตใจ มีความเปลี่ยนแปลงกับสังคมเกิดขึ้นได้จริง แม้หน้าหนังอาจจะดูรันทดหดหู่ แต่ภายในเรื่องราวมีความสนุกน่าติดตามแบบภาพยนตร์ดีๆ ที่แม้คุณรู้เรื่องราวอยู่แล้ว แต่ในรายละเอียดลึกซึ้งมากกว่าที่จะบรรยายได้ครับ นี่ไม่ใช่แค่หนังดีปี 2019 แต่เรียกว่าขึ้นหิ้งเป็นประวัติศาสตร์ในวงการไปเรียบร้อยแล้ว ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวงเลยครับ
Overall
9.5/10User Review
( votes)Pros
- เรื่องราวจริงที่ทรงพลังมีคุณค่ามากไม่ว่ากับใครที่ได้ดู
- บทภาพยนตร์ที่ช่วยให้เรื่องจริงดูสนุกและมีพลังมากขึ้นไปอีกขั้น
- นักแสดงวัยเด็กกับผู้ใหญ่สอดประสานและเล่นได้เข้าถึงบทบาทมาก
- บทคอรี่ย์ ไวส์ คือสุดยอดการแสดงที่เข้าถึงวิญญาณตัวจริง
- มีมิติของเรื่องราวสองด้านทั้งตัวเด็กและครอบครัว
- การตัดต่อถ่ายทำมุมกล้องส่งพลังให้เล่าเรื่องราวได้สวยงามขึ้นไปอีก
Cons
- ภาษาภาพในเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์ ดูชวนเชื่อให้คิดเป็นเรื่องบททดสอบของพระเจ้าไปสักนิด
When They See Us สายตาแห่งอคติ ซีรีส์ Netflix ที่สร้างจากเรื่องจริงของคดีประวัติศาสตร์ Central Park Five ในอเมริกา ที่สั่นสะเทือนจิตใจ สั่นคลอนความเป็นมนุษย์มากที่สุดที่เคยมีมาเรื่องหนึ่ง เป็นซีรีส์ที่ถูกยกย่องมากที่สุดของปี 2019 และขึ้นไปติดท็อประดับตำนานคู่กับ Roots ทาสทระนง ที่มีเรทติ้งสูงสุดอันดับ 2 ตลอดกาลของประวัติศาสตร์โทรทัศน์อเมริกา ซีรีส์เรื่องนี้มีอะไรพิเศษมากๆ ถึงควรค่าแก่การดูซีรีส์เรื่องนี้? มาหาคำตอบกับความพิเศษของเรื่องนี้กันครับ
ตัวอย่างซีรีส์ When They See Us สายตาแห่งอคติ
“สายตาแห่งอคติ (When They See Us)” สร้างจากเรื่องจริงที่สะเทือนใจไปทั้งอเมริกา ตีแผ่คดีจับกุมวัยรุ่นหลากผิวสีที่เรียกกันว่า “เซ็นทรัลพาร์คไฟฟ์” ซึ่งถูกตัดสินคดีข่มขืนสาวนักวิ่งผิวขาวที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ลิมิเต็ดซีรีส์ 4 ตอน เรื่องนี้จะมุ่งประเด็นไปที่กลุ่มวัยรุ่น 5 คนจากฮาร์เล็ม ประกอบไปด้วยแอนทรอน แม็คเครย์, เควิน ริชาร์ดสัน, ยูเซฟ ซาลาม, เรย์มอนด์ ซานแทนา และคอรี่ย์ ไวส์ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1989 เมื่อวัยรุ่นกลุ่มนี้ถูกนำตัวไปสอบสวนคดี และดำเนินเรื่องต่อไปอีก 25 ปีจนถึงการพ้นความผิดในปี 2002 และการระงับคดีในนครนิวยอร์กปี 2014
เรื่องราวสืบสวนของจริงในมุมมืดของตำรวจ
ซีรีส์สร้างจากเรื่องกึ่งสารคดีที่มีรายละเอียดยิบมากที่สุด ไม่มีจุดน่าเบื่อเลย หนังทำออกมาได้น่าติดตาม ตั้งแต่ในมุมของการสืบสวนของฝ่ายตำรวจที่พยายามปักธงไว้ว่าเด็กทั้ง 5 มีความผิด โดยที่ไม่มีหลักฐานเอาผิดได้ จึงนำมาสู่วิธีการสืบสวนแบบเก่าที่ตำรวจยุคนั้นถูกสอนกันมา เรียกว่า “เทคนิคการสืบสวนแบบรี้ด” ที่ใช้จิตวิทยาเข้ามาหลอกล่อผู้ต้องสงสัยให้รับสารภาพแบบยินยอมจำนนเอง โดยการส่งตำรวจมาผลัดกันขู่กับปลอบ แล้วถามชี้นำจนทำให้หลงกลสารภาพทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำผิด หนังทำให้เห็นความดำมืดของการใช้อำนาจไปในทางที่ผิด บิดคดีให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ทุกช่องทาง โดยที่ฝ่ายตำรวจเองก็ไม่คิดว่าตัวเองทำผิดด้วย (จนถึงปัจจุบันก็ไม่มีคำขอโทษหรือการยอมรับผิดจากตำรวจนิวยอร์คในคดีนี้)
ในส่วนของการต่อสู้คดีในศาลผ่านทนาย 5 คนที่ดูเหมือนหวังจับคดีดังเพื่อให้มีชื่อเสียง เข้ามาช่วยสู้กับอัยการรัฐที่ฟ้องแทนเหยื่อ และก็มีเดิมพันแพ้ไม่ได้ ไม่ว่าจะต้องเล่นตุกติกในการนำสืบคดีก็ตาม หนังเล่าเรื่องแบบมีชั้นเชิงการหักล้างหลักฐานต่างๆ การต่อสู้ในศาลมีความลุ้นกับการนำสืบพยานที่ดุเดือดน่าติดตาม พร้อมทั้งฉากดราม่าสะเทือนใจในศาลที่สร้างจากเรื่องจริง เราจะได้เห็นว่าแม้ความจริงหักล้างเรื่องโกหกได้ แต่ใจที่อคติของคนไม่แปรเปลี่ยนไปอยู่ดี
หดหู่แต่มีความหวังเหมือน The Shawshank Redemption
เรื่องราวในหนังปฏิเสธไม่ได้ว่าดูแล้วหดหู่สะเทือนใจกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นจริง แต่หนังก็ไม่ได้ทำมาให้อารมณ์หดหู่เพียงด้านเดียว เพราะในเรื่องราวจริงเด็กทั้ง 5 คนก็ต่อสู้เอาตัวรอดมาได้โดยมีครอบครัวที่รักและเชื่อมั่นไม่เคยเปลี่ยนไปช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้ผ่านเรื่องราวโหดร้ายไปได้ หนังนำเสนอด้านความหวังกำลังใจจากคนในครอบครัวออกมาดีมาก แม้บางครอบครัวจะพังจากคดีนี้ไปด้วยก็ตาม ทุกฉากที่เป็นการเจอกันของเด็กกับครอบครัว มีพลังใจเติมกลับไปให้เสมอ ทำให้เห็นว่าแม้ในจุดที่ตกต่ำที่สุด ก็ยังมีความหวังรออยู่ที่ปลายทางเสมอ
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องราวเด็กทั้ง 5 คนแบบ 4+1 ซึ่งคนสุดท้าย คอรี่ย์ ไวส์ จะอยู่ในตอน 4 มีประสบการณ์ที่โหดร้ายสุด และเป็นคนเดียวในเรื่องที่เล่นนักแสดงตอนเด็กกับตอนโตเป็นคนเดียวกันโดยมาในรูปแบบอารมณ์เหมือน หนังขึ้นหิ้งในตำนาน The Shawshank Redemption ที่เรื่องราวและการแสดงทรงพลังจับใจมากๆ (มีเบื้องหลังต่อในสัมภาษณ์โอปราห์ วินฟรีย์)และก็เป็นตอนที่พลิกกลับเรื่องราวทั้งหมด ทำให้เห็นว่าสุดท้ายการต่อสู้ยืนหยัดว่าตัวเองไม่ผิดของ คอรี่ย์ ไวส์ เด็กที่ไม่รู้หนังสือ บุคลิกท่าทางแปลกๆ คนนี้ กลับกลายเป็นคีย์สำคัญของเรื่องจริง ในแบบที่เหมือนปาฏิหาริย์ ทำให้คดีนี้ได้รับการชำระล้างในที่สุด
และจากบทบาทในเรื่องนี้ทำให้นักแสดง Jharrel Jerome ที่เล่นเป็น คอรี่ย์ ไวส์ ได้รับรางวัลเอ็มมี่มาครองอีกด้วย (จากการเข้าชิงทั้งหมด 16 รางวัล ได้มา 3)
โดนัลด์ทรัมป์ในปี 1989 เป็นตัวสำคัญหนึ่งในเรื่อง
โดนัลด์ทรัมป์ในปี 1989 เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย โดยเขาได้จ่ายเงิน $85,000 ซื้อโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับของเมืองนิวยอร์ค กับประโยค “Bring Back The Death Penalty, Bring Back Our Police!” (นำโทษประหารกลับมา นำตำรวจกลับมา) ซึ่งช่วงนั้นเขาออกทีวีพูดแต่เรื่องของคดีนี้ (มีฟุตเทจของจริงให้ดู) โดยอยากให้เด็กพวกนี้ได้รับโทษประหาร ซึ่งการที่เขาหันมาจับเรื่องนี้ก็เพียงเพื่อต้องการเกาะกระแส กรุยเส้นทางการเมืองในอนาคต
ในภายหลังคดีพลิกกลับมาในช่วงหาเสียงเมื่อปี 2016 เขาได้ให้สัมภาษณ์ถึง CNN เกี่ยวกับคดี Central Park Five ไว้ว่า พวกเขา (เด็กทั้ง 5) ยอมรับว่าทำความผิด และตำรวจก็สอบสวนว่าพวกเขามีความผิด เป็นความจริงที่ว่ามีหลักฐานเอาผิดพวกเขาได้ (คือโทษว่าสมัยนั้นหลักฐานชี้ว่าเด็กผิดจริง เขาเลยเชื่อแล้วออกมาเรียกร้องแบบนั้น)
ยูเซฟ ซาลาม เด็กในคดีนั้นที่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่วัย 40 ปี ให้ความเห็นเกี่ยวกับโดนัลด์ทรัมป์ในตอนนี้ว่า “เขามองดูโดนัลด์ทรัมป์ แล้วก็เข้าใจว่าเขาเป็นตัวแทนสัญลักษณ์ของอเมริกา พวกเราถูกตัดสินความผิดเพราะสีผิว ผู้คนคิดว่าเราเลวร้าย” ซึ่งความหมายก็ประมาณว่า อเมริกาก็เป็นแบบนี้แหละคนส่วนใหญ่ถึงเลือกโดนัลด์ทรัมป์ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน
คะแนนรีวิวล้นหลามผู้ชมต่างเทใจให้ทั่วโลก
นี่ไม่ใช่แค่หนังสร้างจากเรื่องจริงของคนผิวดำในอเมริกา แต่หนังสะท้อนถึงปัญหาความยุติธรรมที่ฝากไว้กับระบบในมือมนุษย์ ที่มีอคติจากอำนาจที่มีอยู่มากไป หนังว่าด้วยเรื่องความเกลียดชังคนดำก็จริง แต่ก็เจาะลึกให้เห็นว่าระบบความยุติธรรมในโลกมีเรื่องแบบนี้มากมาย ซึ่งไม่ใช่แค่อเมริกาเท่านั้นที่มีเรื่องราวที่เป็นหลุมดำของประวัติศาสตร์แบบนี้ ผู้ชมทั่วโลกที่ได้ดูก็คงเห็นตรงกันเป็นส่วนมากว่าหนังทำออกมาจับใจ และเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นได้ทุกที่เช่นกัน สะท้อนผ่านคะแนนโหวตของเรื่องนี้ใน IMDB ที่ค่าเฉลี่ยสูงถึง 9.0 ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ กับจำนวนโหวตเกือบ 6 หมื่นในตอนนี้ (คนนอก US. มาโหวต 2 หมื่นกว่าคน) รวมถึงคะแนนเว็บไซต์มะเขือ ก็สูงมากไม่แพ้กันเลย (แต่จำนวนยูสเซอร์น้อยกว่าเพราะที่นี่เน้นหนังโรง)
สร้างแรงกดดันทางสังคมจนเกิดเป็นบทลงโทษแทนกฏหมาย
โดยปกติหนังที่สร้างจากเรื่องจริงก็มีพลังมากอยู่แล้ว แต่ก็มีจำนวนไม่มากที่มีพลังพอทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ในสังคมได้ สำหรับเรื่องนี้เกิดเป็นปรากฎการณ์ทางสังคมอย่างรุนแรงกับผู้ที่เป็นฝ่ายที่เป็นผู้ถือกฎหมายเล่นงานเด็กทั้ง 5 คนในเวลานั้น โดยเฉพาะ Linda Fairstein ที่เป็นหัวหน้านำสืบคดีนั้นก่อนส่งให้อัยการ ซึ่งในเรื่องเราจะไม่ได้เห็นบทลงโทษใดๆ กับเธอเพราะกฎหมายเอาผิดไม่ได้ แต่หลังซีรีส์เรื่องนี้ออกฉายไป ก็ทำให้สังคมกดดันบอยคอตนิยายอาชญากรรมที่เธอเขียน รวมถึงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับงานของเธอก็ถูกตัดทิ้งหมด แม้ลินดาในวัย 72 ปีจะยังไม่ยอมรับว่าทำผิดพลาดและยืนกรานแบบเดิมว่าพวกเขาสารภาพผิดไว้เป็นหลักฐานเองก็ตาม…
โอปราห์ วินฟรีย์ กับ When They See Us
หลังซีรีส์เรื่องนี้ออกฉาย ก็เกิดปรากฏการณ์ผู้คนให้ความสนใจมากมาย โอปราห์ วินฟรีย์ พิธีกรรายการชื่อดังก็เชิญทีมงาน ดารานักแสดง รวมถึงตัวจริงทั้ง 5 คนมาออกรายการเจาะลึก (คลิกรับชมได้ที่นี่) ซึ่งแนะนำเลยว่าควรดูต่อ เป็นส่วนช่วยเติมเต็มหนังให้สมบูรณ์มากขึ้นไปอีก
ในรายการเราจะได้รับรู้เรื่องราวต่อมาจากตอนจบหลายอย่างในโลกจริง รวมถึงการแสดงฉากสำคัญๆ ในเรื่องราว โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกิดในตอน 4 กับ คอรี่ย์ ไวส์ ซึ่งสะเทือนใจสุด แม้แต่เพื่อนทั้ง 4 คนก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า คอรี่ย์ ไวส์ ที่ไปติดคุกผู้ใหญ่เพียงคนเดียวตั้งแต่เด็ก และก็ไม่เคยประกันตัวเพราะไม่มีเงิน รวมถึงการไม่ยอมรับผิดจากศาลจนไม่ได้ทัณฑ์บนเพื่อออกมาใช้ชีวิตถึง 12 ปี รู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้จนเป็นประสบการณ์เรื่องล่า 4+1 ในหนัง รวมถึงเรื่องที่เราอาจจะคิดว่าพวกเขาได้เงินชดเชยไปแล้วจำนวนมาก จริงๆ แล้วเทียบกันได้ไหมกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงการที่เรื่องราวของพวกเขาได้มาเป็นหนังแบบนี้ พวกเขาคิดอย่างไร รับรองเลยว่าไม่เหมือนอย่างที่คิดครับ และนี่ก็เป็นของเรื่องราวของจริงต่อจากหนัง ที่กลายมาเป็นประสบการณ์ต่อเนื่องกันจนทำให้ When They See Us กลายมาเป็นปรากฏการณ์ของหนัง Netflixในปี 2019
ส่วนเสริมเรื่องราวเพิ่มเติมจากบทความของสำนักข่าว BBC
Central Park Five: The true story behind When They See Us
Trisha Meili เหยื่อในคดีที่จำความอะไรไม่ได้เลย ในปัจจุบันแม้ยังหวาดผวากับเรื่องในอดีตอยู่ แต่เธอก็ได้กลายมาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ และเธอยังคงวิ่งอยู่
Matias Reyes ผู้ร้ายในคดีตัวจริง ไม่ได้รับการตัดสินโทษในคดีนี้ เขาถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต แม้ว่าการพิจารณาทัณฑ์บนของเขาจะมีกำหนดในปี 2022 เขารู้ว่ามันยากที่จะเชื่อได้ว่าผ่านไป 12 ปี ทำไมเกิดสำนึกยอมรับผิด แต่เขาคิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว
ข้อเสียของ When They See Us มีไหม?
ตอบเลยว่ามีครับ ในซีรีส์เรื่องนี้แม้ทำจากเรื่องจริง แต่ก็มีความเป็นภาพยนตร์สูง ตัวเรื่องราวมีการใช้ภาพนัยยะสื่อถึงความหวัง การต่อสู้ฝ่าฟันอดทนกับจุดต่ำสุดของชีวิตให้กลับมาใช้ชีวิตปกติได้ โดยมีความเชื่อศาสนาคริสต์เรื่องบททดสอบของพระเจ้าแทรกอยู่เป็นระยะๆ กับบางตัวละคร (ในเรื่องมีตัวละครที่หันไปนับถืออิสลามด้วย) ซึ่งบางครั้งภาษาภาพมุมกล้องบางฉากชวนให้คิดเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำออกมาแบบน่าเกลียดหรือยัดเยียดอะไรครับ ตรงนี้แล้วแต่คนดู ถ้าไม่ได้ติดใจอะไรสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้หนังดูมีพลังขึ้นได้เหมือนกัน
แต่ส่วนตัวคิดว่าเรื่องจริงของพวกเขาก็มีพลังมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้ และในการให้สัมภาษณ์กับ โอปราห์ วินฟรีย์ จะมีบอกเล่าถึงความเชื่อเรื่องพระเจ้าจากตัวจริงให้ได้ฟังกันด้วย ซึ่งเป็นอะไรที่ตรงไปตรงมากๆ กับความรู้สึกของเขาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครับ